ในห้องหนังสือขนาดใหญ่ ช่างเงียบงันเสียจนแม้แต่เสียงน้ำหยดยังได้ยิน
ริมฝีปากบางๆ ของอานเจียเย้นเม้มแน่น ดวงตาอันเย็นชาของเขาจ้องไปที่ซูย้าวซึ่งอยู่ใกล้ๆ อย่างไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจและพูดว่า “มันไม่ใช่การผลักไสไล่ส่ง อย่าพูดให้ดูแย่ขนาดนั้นสิ ถ้าไม่ชอบเขา เปลี่ยนเป็นคนอย่างก็ได้”
ซูย้าวได้ยินดังนี้ หากเป็นเมื่อก่อนเธออาจไม่ได้รู้สึกแบบนี้ แต่ตอนนี้ความรู้สึกต่อต้านที่อธิบายไม่ได้มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
เธอหลับตาลงและยิ้มอย่างผิดหวังเล็กน้อย “ฉันเป็นสิ่งของเหรอคะ? ใช้เพื่อเป็นเครื่องต่อรองให้คุณได้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์เหรอ?”
ดวงตาของอานเจียเย้นชะงักลงทันใด เขาก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “คุณรู้ดีว่ามันไม่ใช่ อย่าพูดอย่างนั้นสิ!”
เขาเพิ่มความหนักแน่นของน้ำเสียงมากขึ้น ความโกรธที่ออกมาจากเขาก็ชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน
ซูย้าวค่อยๆ ลืมตาขึ้นและมองที่เขาอีกครั้ง “คุณยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะคะ คนที่ฉันชอบคือคุณ แล้วคุณจะทำอย่างไร?”
“ชอบผมงั้นเหรอ?” อานเจียเย้นพูดซ้ำอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเบาๆ พร้อมท่าทางเยาะเย้ย เขาไม่ได้เยาะเย้ยเธอ ตรงกันข้ามเขากลับเยาะเย้ยตัวเอง “ผมมีอะไรดีพอที่จะทำให้คุณชอบงั้นเหรอ?”
ซูย้าวพูดว่า “แม้จะเป็นขยะสังคมก็ต้องมีใครสักคนที่รักคุณ ถือเสียว่าเป็นเรื่องควาอบส่วนบุคคลแล้วกัน!”
อานเจียเย้นพยักหน้าเห็นด้วย “งั้นเหรอ……”
เขาลากเสียงยาวแล้วยกมือขึ้นจับแก้มเธอ การเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยน ดวงตาลึกล้ำ “แต่คุณลืมไปหรือเปล่าว่าผมเป็นพี่ชายของคุณ!”
ถึงจะเป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็นับว่าเป็นญาติ
ซูย้าวทำท่าทางเหมือนได้ยินเรื่องใหญ่โต เธอกะพริบตาทำท่าเสแสร้ง “อ้อใช่สิ ฉันเกือบลืมไป คุณเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน!”
แต่ท่าทางแบบนั้นผ่านไปไม่ถึงสองวินาที เธอก็หันกลับมาด้วยใบหน้าอันสงบของเธอ แฝงไปด้วยคำถามและความสงสัยเล็กน้อย “คุณแน่ใจหรือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันจริงๆ ?”
ทันทีที่สิ้นเสียงเธอ อานเจียเย้นก็ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “แน่นอน!”
เขาตอบอย่างรวดเร็วจนความคิดของซูย้าวยังไม่ทันจะแล่นก็ได้รับคำตอบมาแล้ว
เธอมองเขาด้วยท่าทางค่อนข้างซับซ้อนและหรี่ตาลง “ลูกพี่ลูกน้อง ใช่ไหม?”
ซูย้าวถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ตอนนี้เขายังคงปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเธอ เขาเดาออกว่าเธออาจรู้อะไรมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงความลึกล้ำเอาไว้ แม้แต่แววตาก็ยังคงห่างเหิน นิ่งเงียบ ไม่มีแม้แต่วี่แววที่จะอธิบายอะไรมากกว่านี้
เธอหลับตาลงเนื่องจากไม่พบเบาะแสใดๆ บนใบหน้าลึกล้ำของชายผู้นี้เลย คงมีเพียงวิธีสุดท้ายเท่านั้นสินะ!
ซูย้าวถอนหายใจลึกๆ ยกมือขึ้นแล้วปลดกระดุมชุดออก เสื้อคลุมบางๆ ตกลงไปที่พื้นพร้อมกับเสียงดัง “พรึบ”เรือนร่างของเธอถูกเผยออกมาอย่างชัดเจน
“พิสูจน์สิ” น้ำเสียงของเธอแน่วแน่ โดยไม่ให้โอกาสใครได้หักล้าง
อานเจียเย้นมองมาที่เธอ นัยน์ตาลึกล้ำของเขาเย็นชาไม่มีระลอกคลื่นหรือสิ่งผิดปกติใดๆ ในวินาทีต่อมาเขาก็เอนตัวไปหยิบเสื้อคลุมที่เธอปลดออกมาคลุมรอบตัวเธอเอาไว้ แล้วพูดว่า “ทำเรื่องไร้สาระอะไรเนี่ย? บอกแล้วไงว่าผมคือพี่ชายของคุณ”
เขาดึงเสื้อคลุมของเธอให้แน่น แล้วยกมือขึ้นลูบหัวเธอ “ไม่ว่าคุณจะรู้อะไรมาก็ตาม อย่าคิดมาก ผมบอกว่าเป็นพี่ชายของคุณมันก็เป็นแบบนั้น คุณไม่เชื่อผมแล้วเหรอ?”
ซูย้าวก้มศีรษะลงอย่างโกรธจัด และเธอยอมรับว่าทุกอย่างในตอนนี้ รวมทั้งสิ่งที่เธอพูดว่า “ชอบ” เธอกำลังทดสอบเขาอยู่
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยอยากรู้อยากเห็น อย่างน้อยเธอก็สงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเธอมาตลอด
ทั้งยังส่งคนไปตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับอานโล๋แม่ผู้ให้กำเนิดของเธออย่างลับๆ เป็นไปดังนั้น “ซูย้าว” เธอไม่พบชื่อนี้เลย แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เธอก็ยังมีความรู้สึกสงสัยมาก
ในตอนแรก มันดูเหมือนเป็นความฝันที่แปลกประหลาด
ในฝันนั้นมักจะมีเด็กน้อยคนหนึ่งคอยเรียกเธอว่า “แม่” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จากนั้นจะมีร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ข้างหน้าเธอ ค่อยๆ ยื่นมือเข้าหาเธอ แต่เมื่อเธอต้องการสัมผัสเขาจริงๆ มันจะกลายเป็นเงาดำหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ในขณะเธอที่สงสัยในตัวเอง ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอได้เริ่มสงสัยในตัวอานเจียเย้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การควบคุมของเขา เธอแทบจะไม่พบเบาะแสอะไรเลย
ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้ง ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม
มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ที่เธอเดินทางไปยังหรู่โจว เธอค่อนข้างประหลาดใจกับผลลัพธ์ที่ได้
เมื่อเทียบกับการรู้ข้อมูลการดัดแปลงของเธอแล้ว สิ่งที่เธอได้รู้มาจากละแวกนั้นทำให้เธอเชื่อมันมากกว่า
ซูย้าวนิ่งเงียบอยู่นานก่อนจะพูดว่า “คุณยังทำตัวให้ฉันเชื่อถือได้อีกเหรอคะ?”
อานเจียเย้นถอนหายใจเบาๆ และเอื้อมมือออกไปจับไหล่ของเธอ “เพียงเพราะคุณได้ยินบางอย่างมาจากหรู่โจวแถวนั้น แล้วคุณก็มาสงสัยว่าผมแบบนี้เหรอ?”
ซูย้าวเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ “คุณรู้เรื่องนี้อยู่แล้วจริงๆ ด้วย”
การที่เธอเดินทางไปยังเมืองAในครั้งนี้ มีคนคอยจับตามองเธออยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงแค่อาตงและอาเจว๋แค่สองคนเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เธอไปพบกับลี่เฉินซี หรือการที่ได้พบปะกับคนอื่นๆ ก็ตาม เพียงแค่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เธอเดินทางไปค้นหาความจริงที่หรู่โจว อานเจียเย้นก็รู้เรื่องทุกอย่างโดยละเอียด
ในส่วนนี้ซูย้าวไม่แปลกใจเลย
“ผมรู้ทุกอย่าง และรอให้คุณถามผม” เขาพูดพลางปล่อยเธอ จากนั้นหันหลังเดินไปตรงหน้าต่าง
สายตาที่ลึกล้ำของชายผู้นั้นกวาดมองทุกอย่างที่อยู่นอกหน้าต่าง เสียงของเขาต่ำและแข็งทื่อ “ผมไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของคุณ หรืออานเจียเย้นตัวจริง แต่ผมก็อาศัยอยู่กับป้าของคุณหรือแม่บุญธรรมของผมมาถึงแปดปี เธอช่วยชีวิตผมไว้ เธอมีความเมตตากรุณาในการเลี้ยงดูผมมา ดังนั้นในแง่ของเหตุผล ยังไงผมก็เป็นพี่ชายของคุณ”
เขาหันกลับมามองเธอจากระยะไกล “ที่เรียกกันว่าญาตินั้น ไม่เพียงแต่จะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องรักษาและผูกมัดเอาไว้ และจะกลายเป็นความสัมพันธ์ทางครอบครัว”
คิ้วที่ละเอียดอ่อนของซูย้าวขมวดขึ้น ดวงตาของเธอดูยุ่งเหยิง “ดังนั้น เพื่อให้บรรลุความสัมพันธ์แบบพี่น้องเช่นนี้ คุณจึงเลือกที่จะแก้ไขความทรงจำของฉัน ดังนั้นคุณจึงไม่ลังเลเลยที่จะทำให้ฉันเป็นคนแบบคุณ และคุณไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในบริษัท แล้วโอนมันมาภายใต้ชื่อของฉันใช่ไหม?”
เมื่อเธอพูดจบก็เหลือบมองที่คอมพิวเตอร์บนโต๊ะ แล้วพูดต่อไปว่า “บริษัทจะมีการล้างไพ่ใหม่ในทุกสองสามปี คราวนี้ คุณอยากจะผลักฉันให้ไปที่จุดสูงสุดและให้ฉันเป็นแพะรับบาปของคุณสินะ”
“จะให้ฉันรับแทนคุณทุกอย่างก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ทำไมถึงต้องใช้วิธีการแบบนี้? ยกเอาความสัมพันธ์แบบพี่น้องมาทำไม?”
อานเจียเย้นหลับตาลง เขารู้ว่าตนไม่สามารถปกปิดเธอได้อีกต่อไป
จากนั้นจึงหยิบบุหรี่ออกมาช้าๆ เขายังไม่รีบร้อนจุดไฟ เพียงใส่มันเข้าไปตรงริมฝีปาก เงยหน้าขึ้นมองเธอพูดว่า “ผมตั้งใจจะโอนบริษัทให้เป็นชื่อของคุณ แล้วฝากมันไว้คุณในอนาคต ไม่ได้ต้องการให้คุณมาเป็นแพะรับบาป!”
“ผมเคยพูดไปแล้วไม่ใช่หรือว่าวันหนึ่งผมจะมอบบริษัทเหล่านี้ให้คุณ แต่ก่อนหน้านั้น ผมจะทำการล้างไพ่และจัดการกับเน่าเฟะให้สะอาดหมดจดก่อนจะวางไว้ในมือคุณ”
ซูย้าวมองมาที่เขา “แค่นี้เองเหรอ?”
อานเจียเย้นหลับตาลงและจุดบุหรี่ “ส่วนเรื่องความทรงจำอะไรนั่น คุณไปได้ยินใครพูดมาล่ะ?”
ดวงตาของซูย้าวกะพริบเล็กน้อย เรื่องนี้เธอไม่มีความมั่นใจเท่าไหร่ หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่มีด้วยซ้ำ เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น
อานเจียเย้นเห็นแววตาของเธอและเข้าใจในทุกอย่าง “ฉันแค่ช่วยให้คุณกำจัดสิ่งไม่ดีออกไปและพาคุณกลับบ้าน ส่วนเรื่องอื่นๆ คุณจะค่อยๆ เข้าใจหลังจากนี้”
“พาฉันกลับบ้าน?” ซูย้าวได้ยินความหมายลึกซึ้ง “คุณจะบอกว่าฉันและซูย้าวเป็นคนคนเดียวกันเหรอ?”
ลี่เฉินซีเป็นอดีตสามีของเธอจริงๆ !
แล้วเด็กสามคนนั้นก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ?!
“ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ดีเหรอ?” อานเจียเย้นยื่นมือออกมา “คุณกลับมาเป็นน้องสาวของผมและใช้ชีวิตอย่างที่คุณต้องการ อย่างผ่อนคลายและสบาย มันแย่มากเลยหรือไง?”
เขาจงใจไม่เผชิญกับคำถามของเธอโดยตรง
ในทางกลับกัน เหมือนเป็นการตอบคำถามของเธอทางอ้อม
ซูย้าวตกตะลึงอยู่กับที่ ใบหน้าของเธอหยุดชะงักลง การแสดงออกของเธอน่าเกรงขาม ความคิดของเธอสับสนในทันที เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีกและจะทำอย่างไรต่อไป
ทุกสิ่งตอนนี้ไม่ดีหรือ?
คำตอบก็คือไม่
ชีวิตไร้กังวล ช่างผ่อนคลายและมีความสุข เธอมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ที่เธอต้องการ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรในวงการธุรกิจแม้ว่าจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่ ก็จะมีคนคอยดูแลผลที่ตามมาของเธอเสมอ
แต่ถ้าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหก เธอควรทำอย่างไรล่ะ?