“บังเอิญ? สะเพร่า?”
น้ำเสียงอันต่ำทุ่มของลี่เฉินซีพูดคำเหล่านั้นออกมาซ้ำอีกหนึ่งครั้ง ดูเหมือนกับกำลังท้าทายโดยที่ไม่ต้องพูดคำนั้นออกมา ดวงตาอันลึกล้ำปรากฏความขุ่นเคืองออกมาเล็กน้อย “ประธานอานวางแผนทุกอย่างมาด้วยตนเองเป็นอย่างดี มันจะเป็นเพียงความบังเอิญหรือประมาทได้ยังไง?”
อานเจียเย้นหัวเราะขึ้น “แหม การได้รู้จักกับประธานลี่นี่มันสนุกมากทีเดียว”
ลี่เฉินซีปล่อยวางขาทั้งสองข้างของเขา ร่างกายโน้มน้าวไปด้านหน้าเล็กน้อย แขนทั้งสองข้างจับหัวเข่าเอาไว้ เขาเอื้อมมือไปหยิบ กล่องซิการ์ที่วางอยู่บนโต๊ะ เปิดออกแล้วหยิบมาตัวหนึ่ง เขาใช้กรรไกรตัดซิการ์ในส่วนท้ายทิ้งไปดัง “ฉึบ” แล้วนำเข้ามาวางไว้ตรงริมฝีปากแล้วก่อนจะจุดมันขึ้น ควันบุหรี่ที่ลอยออกมาค่อยๆ แผ่คลุมไปทั่ว
สายตาของเขามองผ่านควันอันหนาทึบเหล่านี้ไป แววตาของเขาดูเข้มงวดขึ้นเล็กน้อย “ซูย้าวเป็นคนฉลาด ต่อให้ประธานอานไม่จัดฉากทุกอย่างนี้ขึ้น แต่สักวันเธอก็จะรู้สึกด้วยตัวเอง”
อย่างไรเสียกระดาษก็ห่อน้ำเอาไว้ไม่ได้ ของปลอมต่อให้ปิดบังเอาไว้ยังไงมันก็เปลี่ยนตัวตนเองไม่ได้หรอก
สายตาของอานเจียเย้นมองมาทางเขาและหรี่ลง ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นค่อยๆ มืดมนลง
ลี่เฉินซีคาบซิการ์เอาไว้ในปากแล้วเอนตัวพิงไปทางด้านหลัง “การที่จะรอให้เธอค้นพบมันด้วยตัวเอง สู้คุณใช้วิธีนี้มาเปิดโปงด้วยมือของคุณเองจะดีกว่า”
เปิดโปงทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก นำออกมาเปิดเผยต่อหน้าซูย้าว
ส่วนท้ายที่สุดแล้วจะเป็นอย่างไร จะเลือกอย่างไร ก็ให้เธอเป็นคนเลือกเอง
มองไปแล้วอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ แต่ถ้าคุณคิดดูดีๆ มันก็ไม่ได้ผิดพลาดไปเสียหมด
เนื่องจากหากว่าเป็นเช่นนี้ ต่อให้วันหนึ่งซูย้าวรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเธอจะทำอย่างไรกับอานเจียเย้นเหรอ? อย่างน้อยความรู้สึกเกลียดแค้นนั้นก็คงจะลดลงไปบ้าง
ลี่เฉินซีครุ่นคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดนี้ ในตอนแรกเขาก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนัก เขาพยายามคิดไปต่างๆ นานาถึงความเป็นไปได้ อย่างเช่น การที่อานเจียเย้นพาตัวซูย้าวไปและดัดแปลงความทรงจำของเธอให้เธออยู่ข้างกายของเขา วัตถุประสงค์ที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?
แต่เมื่อไม่นานมานี้ เขาและซูย้าวได้เดินทางไปหรู่โจวด้วยกัน จากคำบอกเล่าของชาวบ้านในท้องที่นั้นทำให้พวกเขารับรู้บางสิ่ง อีกทั้ง เพ้ยหยู่เจี๋ยคนคนนี้มีเรื่องราวที่ลึกลับซับซ้อน เขาเปรียบเสมือนกับจิ๊กซอว์ตัวสำคัญเมื่อใกล้จะต่อเสร็จสมบูรณ์ เรื่องระหว่างตระกูลอานและตระกูลเพ้ย บัดนี้ทุกอย่างได้เปิดโปงออกมาแล้ว
สีหน้าของอานเจียเย้นค่อนข้างตึงเครียด แต่รอยยิ้มดูเหมือนอ่อนโยนส่วนโค้งของริมฝีปากเผยอขึ้นได้องศาพอดี “จากตอนนี้ดูเหมือนว่า ประธานลี่จะพบอะไรเข้าแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นคุณลองเดาดูอีกครั้งสิว่าผมจะทำอะไรต่อจากนี้?”
ลี่เฉินซียิ้มอย่างเยือกเย็น แล้วมองดูซิการ์ในมือที่กำลังถูกเผาไหม้ ดวงตาของเขามืดมนลงเล็กน้อยดูซับซ้อน “ต่อไปนี้คุณจะทำอะไรน่ะเหรอ ผมไม่อยากเดา และไม่จำเป็นต้องเดา”
น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาและหยุดชะงักลง ดวงตาอันแหลมคมของเขาเป็นประกาย จ้องมองอีกฝ่ายหนึ่งจากระยะไกลอย่างเย็นชา “แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมจำเป็นจะต้องเตือนประธานอานเสียหน่อย Double Aceกรุ๊ปเป็นยังไง ผมคิดว่าคุณรู้ดีกว่าผมนะ ไพ่จะถูกสับใหม่ในสองสามปีทุกครั้ง เหมือนกับที่Jockทำในตอนนั้น”
ในขณะที่ลี่เฉินซีกำลังพูดอยู่ เขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทำท่าทางเหมือนครุ่นคิด “ดูเหมือนกับว่าถึงเวลาที่จะเปลี่ยนคนมาสับไพ่แล้วสินะ ผมไม่อยากจะรู้หรอกว่าพวกคุณตั้งใจจะวางแผนทำอะไรกันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คุณอย่าแตะต้องซูย้าว!”
เส้นเสียงของเขาแหบแห้ง น้ำเสียงดูหนักอึ้งทุกคำพูดนั้นน้ำเสียงขึ้นลง ทำให้หัวใจของคนฟังเย็นชา
แต่อานเจียเย้นไม่ตกหลุมพรางของเขานี้ ได้แต่ยิ้มอย่างสงบนิ่ง “นี่คุณกำลังขู่ผม หรือทำให้ผมกลัว?”
“ผมกำลังเตือนต่างหาก” ลี่เฉินซีพูดขึ้นมาขัดจังหวะ จากนั้นใช้มือหยิบซิการ์ขึ้นมาดับไฟ ดันตัวเพื่อลุกขึ้นจัดแจงกับชุดสูทของเขาให้เป็นระเบียบแล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “Double Aceกรุ๊ปเปลี่ยนไปเป็นชื่อของซูย้าว นั่นเป็นเพราะคุณพยายามจะผลักดันให้เธออยู่แถวหน้าไม่ใช่เหรอ? และคุณก็รู้ดีว่าผมจะไม่ยืนมองอยู่เฉยๆ แน่”
การที่ผลักซูย้าวออกไปต่อหน้าทุกคน เพื่อรับความผิดทุกสิ่งอย่าง ขณะเดียวกันก็สามารถทำลายบริษัทลี่ซื่อได้ บอกได้เลยว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว
ทั้งสามารถขจัดอันตรายที่อยู่ข้างกายของซูย้าว และยังทำให้บริษัทลี่ซื่อที่คอยคุกคามอยู่แบบนี้ได้ภายในครั้งเดียว จากนั้นพวกเขาก็จะถอยตัวออกมาเริ่มก่อตั้งบริษัทใหม่ และนั่งเสพความสุขไปโดยไม่ต้องรับโทษ
หลายปีมานี้สิ่งที่Jockมีอยู่ก็ล้วนแต่ใช้วิธีนี้ในการได้มันมา และอานเจียเย้นก็นับว่าเป็นตัวแทนในรุ่นต่อไปที่Jockเลือกขึ้น การที่เขามีความคิดเช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ
“คุณหมายความว่า คุณอยากให้ผมปล่อยเธอไปอย่างงั้นเหรอ? อานเจียเย้นพูดออกมาเบาๆ เขาหรี่ตาลงมองด้วยความเยือกเย็น
ดวงตาทั้งคู่ของลี่เฉินซีหดตัวลง แล้วเสียงอันเย็นชาและมีพลังตอบกลับไปว่า “ถ้าเป็นไปได้ ผมหวังว่าคุณจะไม่ทำแบบนั้น”
อานเจียเย้นขมวดคิ้วเข้าขากันด้วยความรู้สึกสนใจ “อย่างนั้นเหรอ?”
“เนื่องจากมองอีกมุมหนึ่งแล้วนั้น คุณก็นับว่าเป็นพี่ชายของเขา” ลี่เฉินซีละสายตาไปทางอื่น ใต้ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความมืดมน “ตั้งแต่เล็กมา ญาติของเธอมีเพียงอยู่ไม่กี่คน ตอนที่เธออาศัยอยู่ในตระกูลซูก็มักจะถูกคนอื่นๆ กดขี่บีบบังคับ เธอมีญาติน้อยมากจนนับนิ้วได้ ดังนั้นผมจึงไม่คิดว่าคุณจะทำลายความทรงจำเกี่ยวกับญาติในหัวใจของเธอเพียงเพราะเพื่อผลประโยชน์”
เมื่อน้ำเสียงของลี่เฉินซีสิ้นสุดลงเขาก็กลับมาหัวเราะอีกครั้งพูดว่า “แม้ว่าชีวิตต่อจากนี้ของเธอจะไม่จำเป็นต้องมีคุณแล้วก็ตาม ที่จริงไม่ว่าคุณคิดจะทำอย่างไรก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”
การที่เขาพูดออกมาเช่นนี้แน่นอนว่าเขาได้เตรียมตัวมาไว้แล้ว เขาไม่ได้มีความหวาดกลัวหรือหวั่นเกรงอานเจียเย้นแต่อย่างใด เพียงแค่บุกเข้ามาเขาก็พร้อมสู้!
ความหมายของการท้าทายชัดเจนขนาดนี้ สีหน้าของอานเจียเย้นในตอนนี้จึงไม่น่ามองเอาเสียเลย เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “การที่คุณประกาศสงครามตรงๆ แบบนี้ไม่ได้มีผลดีกับคุณเลยคุณ”
ลี่เฉินซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ประธานอานจะลองดูก็ได้ ลองดูซิว่าจะเอาชนะผมได้ไหม? และจะสามารถยึดบริษัทลี่ซื่อไปได้หรือเปล่า? ถ้าคุณทำได้สำเร็จละก็ ไม่เพียงแต่ซูย้าวจะกลับไปอยู่ข้างกายของคุณอีกครั้ง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างของบริษัทลี่ซื่อก็จะเป็นของคุณ เป็นแบบนี้ไม่ดีเหรอ?”
อานเจียเย้นหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ขณะนี้ใบหน้าอันดูนุ่มนวลของเขาก็ค่อยๆ เผยความเป็นศัตรูออกมา “เป็นวิธีที่ไม่เลวนี่ จะลองดูก็ได้”
ทั้งสองคนสนทนากันด้วยดาบที่ต่างฝ่ายต่างชักออกมา
ท้ายที่สุดแล้วก็จากกัน อย่างไม่ลงรอย
แต่จุดประสงค์ของทั้งสองฝ่ายนั้นชัดเจนแล้ว
เพียงแต่ยังมีอยู่บางส่วนที่ทำให้ลี่เฉินซียังไม่ค่อยแน่ชัด นั่นก็คือการกระทำของอานเจียเย้นในครั้งนี้เป็นเพียงเพราะว่าต้องการที่จะปลดปล่อยซูย้าว และเข้ายึดบริษัทลี่ซื่อเหรอ?
ดูเหมือนมันจะไม่ได้ง่ายอย่างนั้น
เขาพยายามสลัดความคิดในสมองเหล่านั้นทิ้งไป เมื่อเดินลงมา เขามองทะลุกระจกลงไปพบเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ตรงริมสระน้ำ
ร่างกายอรชรอ้อนแอ้นของเธอสวมบิกินีสีฟ้าอ่อนและสวมหมวกกันแดดใบใหญ่นั่งอยู่ข้างสระน้ำ ขาเรียวยาวขาวผ่องของเธอ วางไว้ตรงขอบสระแล้วส่ายมันไปมาอย่างช้าๆ มองดูน้ำที่กระเซ็น
ซูย้าวจิตใจเหม่อลอย สมองของเธอดูหนักอึ้งและมึนงง เป็นเพราะเนื้อหาการสนทนากับอานเจียเย้นเมื่อสักครู่ทำให้เธอยังตกอยู่ในความคิดนั้น แม้แต่มีคนเดินมาอยู่ข้างๆ เธอก็ไม่รู้สึก
ตอนที่เธอรู้สึกตัวก็ให้เธอตกใจเสียยกใหญ่
เธอมองดูผู้ชายที่อยู่ข้างๆ นี้ด้วยสายตาแปลกประหลาด และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า “คุณมาได้ยังไงคะ?”
ลี่เฉินซีก้มหน้าลงมองเธอขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “ทุกครั้งที่เจอผมคุณจะพูดแต่ประโยคเดียวหรือไง?”
ซูย้าว “……”
การที่เขามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ทำให้เธอรู้สึกสับสนไปหมด เธอได้แต่ถอนหายใจออกมาซ้ำๆ แล้วเงยหน้ามองดูเขา “คุณรู้จักพี่ชายฉันเหรอ?”
ลี่เฉินซีตอบรับอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นมองไปตรงที่นั่งข้างๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าน้ำเสียงอันต่ำทุ้มของเขาจึงค่อยๆ พูดขึ้นว่า “คุณจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่?”
เธอไม่ค่อยเข้าใจ “คุณหมายความว่ายังไงคะ?”
ชายหนุ่มไม่ได้หันไปมองดูเธอ เขายื่นมือออกไปทางเธอข้างหนึ่งแล้วพูดว่า “กลับบ้านกับผมเถอะ!”
ซูย้าวสะดุ้งเล็กน้อย เธอรู้สึกสับสน หัวใจของเธอยุ่งเหยิง วินาทีนี้ความรู้สึกต่างๆ ผสมผสานกัน เธอรู้สึกว่าสมองของเธอหนักอึ้ง ความคิดต่างๆ ช่างวุ่นวายไปหมด “คะ อะไรนะ?”
“กลับบ้าน” น้ำเสียงแผ่วเบาของเขาชัดเจนและหนักแน่น จากนั้นมือใหญ่ของเขาก็ยื่นเข้าไปกุมข้อมือเรียวบางของเธอเอาไว้ ดึงตัวเธอให้ลุกขึ้น ซูย้าวยังไม่ทันได้ตั้งตัวจึงทำให้ร่างกายของเธอเอนเอียงไปมาและเซเข้าไปยังอ้อมกอดของลี่เฉินซี
ซูย้าวทำอะไรไม่ถูก เธอรีบผลักตัวเองออกมาจากอ้อมอกของเขา “ที่นี่คือบ้านของฉันจะให้ฉันกลับไปที่ไหนล่ะ?”
“คุณอยากจะอยู่ที่นี่ต่อหรือไง?” ลี่เฉินซีหรี่ตามองเธอ น้ำเสียงของเขาหนักอึ้ง บ่งบอกถึงความโมโหเล็กน้อย
เธองุนงงและทำอะไรไม่ถูก ขมวดคิ้วขึ้นถามว่า “คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
สีหน้าของชายหนุ่มตึงเครียด มองไปก็รู้ว่าอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก เขาพูดเพียงแค่ว่า “จะอยู่ต่อหรือไปกับผม?”
ให้เธอเลือกเหรอ?!
ดวงตาของซูย้าวกระชับลงเล็กน้อย “แน่นอนว่าฉันจะอยู่ที่นี่ต่อสิคะ ทำไมฉันต้องไปกับคุณด้วย?”
ลี่เฉินซีพยักหน้าเบาๆ “ตกลง!”
วินาทีต่อมาเขาก็ปล่อยมือข้างหนึ่งออก ซูย้าวรู้สึกว่าร่างกายของเธอเบาหวิว จากนั้นเธอก็โซซัดโซเซและตกลงไปในสระว่ายน้ำ
“ตูม!” เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัวหรือป้องกันใดๆ ก็ตกลงไปในน้ำแล้ว น้ำในสระกระจัดกระจายไปทั่ว