เมื่อเครื่องบินมาถึงเมืองAและลงจอดอย่างช้าๆ อาคารบนพื้นดินส่องสว่างมากมาย ซูย้าวรัดเข็มขัดนิรภัยเอนตัวพิงเก้าอี้ และค่อยๆ หลับตาลง
เป็นการดีทีเดียวที่ได้มาเมืองAในครั้งนี้ อย่างน้อยเธอก็สามารถมั่นใจได้ว่ามีหลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเธอและอานเจียเย้นก็จงใจซ่อนมันไว้จากเธอ
ไม่ใช่เพราะเธอคิดมากหรือเข้าใจผิดไปเอง แต่บางอย่างนั้นมีคนจงใจเปลี่ยนแปลงให้เป็นเช่นนั้น
แต่แท้จริงแล้วมันคืออะไร และจุดประสงค์ที่แท้จริงของอานเจียเย้นคืออะไร เธอยังต้องการค้นหาความจริงเหล่านี้
เที่ยวบินมาถึงอย่างปลอดภัย ทันทีที่ออกจากด่านศุลกากร ซูย้าวก็เดินตามลี่เฉินซีซึ่งกำลังเดินออกไปพร้อมกับฝูงชน เธอหยุดยืนนิ่ง ดวงตาอันงดงามของเธอก็มองไปทางเขา “คุณลี่ ขอบคุณที่ส่งฉันกลับมา”
รูปร่างสูงใหญ่ของลี่เฉินซียืนอยู่ตรงหน้าเธอ ใบหน้าอันหล่อเหลาสง่างามยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ด้วยความยินดี”
“ไว้เจอกันใหม่ถ้ามีโอกาส ฉันไปก่อนนะ” เธอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินจากไป
ดวงตาที่ลึกล้ำของชายผู้นั้นจ้องมองดูเธอจากด้านหลัง ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง จากนั้นก็อันตรธานหายไป
หวางอี้ที่อยู่ข้างหลังเขามองไปที่ใบหน้าของเจ้านายและลังเล ก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ประธานลี่ คุณจะปล่อยเธอไปแบบนี้เหรอ?”
ลี่เฉินซีไม่ได้ตอบ แต่ริมฝีปากของเขาเม้มเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อเดินออกไปด้านนอก
หวางอี้เดินตามหลังเขาไป ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไปลี่เฉินซีกลับมาจากหรู่โจวแล้วจึงรีบตรงไปยุโรปทันที
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีการเท่าไหร่ ใช้กำลังคนและทรัพยากรมากเท่าไร เขาไม่พบข่าวใดๆ เกี่ยวกับชอลพุซเลย ราวกับว่าหายตัวไปจากอากาศได้เสียอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผ่านมาสองปี เมื่อลี่เฉินซีเดินทางไปถึงยุโรป เขาก็ได้รับคำเชิญจากอีกฝ่ายหนึ่งทันที
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นงานเลี้ยงหงเหมิน
แต่ถึงอย่างนั้นลี่เฉินซีก็ตกลงโดยไม่ครุ่นคิดทั้งยังไปคนเดียว ในคฤหาสน์ที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนาของอานเจียเย้น เขาไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง แต่รีบพาซูย้าวออกไปทันที เพราะกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้น ดังนั้นในวันเดียวกัน เขาจึงรีบจัดแจงเที่ยวบินกลับมาเมืองA
ผลของความพยายามมากมายขนาดนี้ สิ่งที่ได้มาคือการปล่อยให้เธอไปคนเดียวเหรอ?
หากเป็นแบบนั้น แล้วสิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้จะมีประโยชน์อะไร!
ด้านนอกสนามบิน รถโรลส์-รอยซ์คันหนึ่งจอดอยู่ข้างถนน ลี่เฉินซีเดินตรงเข้าไปในรถ ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยท่าทางเย็นยะเยือก
หลังจากที่ผู้ติดตามทำความเคารพเขาแล้ว หวางอี้ก็เข้าไปนั่งในตำแหน่งขับรถ
ขณะที่รถค่อยๆ ขับออกไปนั้น ลี่เฉินซีก็เอนตัวพิงเบาะหลัง เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างด้านข้าง บุหรี่ในมือของถูกจุดไฟขึ้น ดวงตาสีดำสนิทของเขาก็พร่ามัวไปด้วยควัน ราวกับว่ากำลังคิดถึงบางสิ่งหรือกำลังเหม่อลอยก็ไม่สามารถบอกได้
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็ทำท่าทางจะพูดบางอย่างออกมา แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเย็นชาเล็กน้อย “ตอนนี้โครงการกู่อานเป็นยังไงบ้าง?”
“คือ……” หวางอี้ตั้งใจลากหางเสียงให้ยาวขึ้น เห็นได้ชัดว่าหัวข้อที่เขาพูดถึงทำให้ปวดหัว เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ “หลังจากที่บริษัทLGออกไปแล้ว ก็ได้มอบหมายให้คนของคุณหนูอานเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ความคืบหน้าในตอนนี้มัน……”
หวางอี้เลิกคิ้วและมองไปที่ใบหน้าของเจ้านายผ่านกระจกมองหลัง เขาไตร่ตรองคำพูดอยู่เป็นเวลานาน แต่ในท้ายที่สุดเขาก็อธิบายได้เพียงประโยคเดียว นั่นคือ “เละไม่เป็นท่า!”
ริมฝีปากโค้งของลี่เฉินซียังไม่คลายลง ดวงตาของเขาไม่ได้รู้สึกอะไร ได้แต่เขี่ยขี้บุหรี่ทิ้งแล้วพูดว่า “ด้านสื่อเหล่านั้น ไม่สนใจโครงการนี้เหรอ?”
หวางอี้ตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้านายพูด หรือว่าจะ……
เขารีบบอก “ไม่ใช่ว่าไม่สนใจครับ แต่คนของคุณหนูอานจงใจกดขี่สื่อ ป้องกันไม่ให้คนในพื้นที่ที่ย้ายถิ่นฐานมาติดต่อกับสื่อ”
ลี่เฉินซีพยักหน้าเบาๆ “โครงการนี้เกี่ยวข้องกับลี่ซื่อไม่มากก็น้อย ลองไปคิดหาวิธีดูว่าจะติดต่อกับสื่ออย่างไร”
หวางอี้ชะงักลงทันใด หากว่าหน้าบริษัทลี่ซื่อติดต่อกับสื่อ และเปิดโปงเรื่องการย่านกู่อาน แน่นอนว่าซูย้าวจะถูกเปิดเผยเป็นเป้าหมายวิพากษ์วิจารณ์ต่อหน้าสาธารณชน ผลที่ตามมาอยากจะคาดคิด
แต่ว่าในเมื่อเจ้านายพูดถึงขนาดนี้แล้ว หวางอี้ก็จำเป็นต้องทำตาม เขาจึงตอบรับจากนั้นเตรียมตัวจัดการขั้นต่อไป
เพียงแต่ไม่ว่าใคร ก็ล้วนไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เหตุการณ์ถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้
เดิมที่หวางอี้ตั้งใจจะจัดการติดต่อสื่อให้มาสัมภาษณ์เรื่องโครงการกู่อาน แต่หลังจากที่เขาเดินทางไปยุโรปและส่งเจ้านายกลับบ้านพักผ่อนเพื่อปรับระยะเวลาที่แตกต่างกัน ส่วนตนก็กลับไปจัดการงานอื่นที่บริษัทจึงทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
เมื่อเขานึกขึ้นมาได้ก็พบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว และระหว่างนั้นก็ได้เกิดเรื่องหนึ่งขึ้น
……
เมื่อลี่เฉินซีกลับมาถึงบ้านก็พบว่าเป็นเวลากลางวัน เขาไม่คิดว่าลูกทั้งสามคนจะอยู่ที่บ้าน ซีซีกับลี่หมิงได้ยินเสียงก่อนเป็นคนแรก จึงได้รีบวิ่งลงมาจากด้านบนแล้วพุ่งเข้าสู่อ้อมอกเขา
เขาชะงักลงเล็กน้อยจากนั้นก้มตัวลงไปลูบศีรษะเจ้าหนูน้อยทั้งสองคนอย่างอ่อนโยน เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า “วันนี้เป็นวันจันทร์ไม่ใช่เหรอ?ทำไมถึงไม่ไปโรงเรียนกันล่ะครับ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ลี่หมิงก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาลงไม่ยอมพูดจาใดๆ เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องขึ้นแน่
ซีซีจึงอดไม่ได้ที่จะเม้มปากอันน้อยๆ ของเธอ ลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “คือหนู……หนู……ปวดท้องค่ะ เมื่อเช้านี้เลยให้ คุณลุงเฉิน ช่วยโทรลาป่วยให้”
ลุงเฉินก็คือพ่อบ้านของที่นี่ เขาทำงานอยู่ในบ้านหลังนี้มาหลายสิบปีแล้ว และลี่เฉินซีก็ค่อนข้างจะเชื่อมั่นในตัวเขา
“ปวดท้องเหรอครับ?” ลี่เฉินซีชะงักลงเล็กน้อยแล้วก้มลงไปอุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นมา “ตอนนี้ยังปวดไหม? ไปหาหมอหรือยัง?”
เมื่อพูดจบเขาก็หันไปเหลือบมองพ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ พ่อบ้านจึงได้รีบพูดขึ้นว่า “เชิญคุณหมอมาตรวจดูเรียบร้อยแล้วครับ คุณหนูน้อยเพียงแค่โดนความเย็นนิดหน่อยไม่มีอะไรมาก”
ชายหนุ่มจึงได้วางใจและพยักหน้า ซีซีโอบคอของเขาไว้แล้วหอมเข้าตรงที่แก้ม “หนูไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพ่อ ว่าแต่ พ่อกลับมาคนเดียวเหรอ?”
ดวงตาของลี่เฉินซีกะพริบเป็นประกาย “ใช่ครับ มีอะไรเหรอ?”
“แม่ล่ะคะ?” ศีรษะน้อยๆ ของซีซีรีบชะโงกออกไปทางด้านนอกทันที “แม่ไม่ได้กลับมาด้วยเหรอ?”
เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าท่าทางของลี่เฉินซีก็แข็งทื่อลงเล็กน้อย ลี่หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เข้ามาดึงชายกางเกงของเขาเบาๆ “นั่นนะสิครับ พี่ใหญ่กับซีซีก็เคยเห็นแม่แล้ว มีแต่ผมที่ไม่เคยเห็นเลย ผมก็อยากเห็นแม่เหมือนกัน……”
ลี่เฉินซีครุ่นคิดสักพักแล้ววางเจ้าหญิงน้อยลง เขานั่งยองๆ ตรงข้างเด็กทั้งสองแล้วปลอบโยนเบาๆ ว่า “คุณแม่ยังมีธุระต้องจัดการยังกลับมาไม่ได้ตอนนี้ หมิงเอ๋อและซีซีเป็นเด็กดีนะครับ รออีกสักหน่อยแล้วพ่อจะพาแม่กลับมา ตกลงไหมครับ?”
ใบหน้าขาวผ่องกลมๆ ของลี่หมิงดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย แต่เขาก็ยังกัดฟันพยักหน้าพูดว่า “ให้ไวๆ หน่อยนะครับ”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยนแล้วเอื้อมมือออกไปจับแก้มเด็กน้อยทั้งสองคน ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นอีกว่า “ซีซีไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะปวดท้อง แล้วหมิงเอ๋อล่ะ? ทำไมถึงไม่ไปโรงเรียน?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ลี่หมิงก็ทำสีหน้านิ่งเงียบไปทันที เขาพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “เอ่อ คือ……”
เมื่อพบว่าเขาไม่กล้าพูดอะไรออกมา ซีซีจึงได้ก้าวขึ้นมาแล้วพูดออกไปตรงๆ ว่า “หนูไม่ให้พี่รองไปเองแหละค่ะ ให้เขาอยู่เป็นเพื่อน!”
ลี่เฉินซีหรี่ตาลง “อะไรนะ?”
ทันใดนั้นน้ำเสียงเจื้อยแจ้วดังฟังชัดเจนก็ลอยมาแต่ไกล “พ่อครับ พ่อจัดการกับลี่หมิงบ้างเถอะ ซีซีให้เขาทำอะไรเขาก็ทำตามทุกอย่างไม่มีความคิดเห็นของตัวเองเลย!”
ลี่เฉินซีลุกขึ้นยืนแล้วมองไปตามเสียงนั้น และพบลี่เจิ้งที่ยืนอยู่ตรงบันไดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาสวมชุดออกกำลังกายสีอ่อน ใบหน้าละอ่อนนั้นช่างหล่อเหลา
ซีซีเบ้ปากน้อยๆ ของเธอขึ้นแล้วพูดว่า “อย่าไปฟังพี่ใหญ่พูดอะไรไร้สาระเลยค่ะ คุณพ่อคะ พี่รองเป็นพี่ชายที่อ่อนโยนที่สุดเลย ไม่เห็นจะเหมือนพี่ใหญ่เลยสักนิดวันๆ เอาแต่ดุๆ ๆ !”
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วทั้งสองข้างเข้าหากันด้วยอาการปวดหัวเล็กน้อย สายตาของเขามองไปยังลูกชายคนโต “เจิ้งเอ๋อ ลูกก็ไม่ได้ไปโรงเรียนด้วยไม่ใช่หรือไง?”
ลี่เจิ้ง “……”
เดิมทีพ่อบ้านตั้งใจจะเข้ามาอธิบายบางอย่าง แต่กลับถูกลี่เฉินซีเดินเข้ามาขัดเอาไว้ เขาเดินไปทางลี่เจิ้ง ก้มตัวลงลูบศีรษะน้อยๆ ของลูกชาย “ทำไมถึงไม่ไปโรงเรียนครับ?”
ลี่เจิ้งเบ้ปาก ใบหน้าของเขาดูอึดอัดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี
ลี่หมิงวิ่งเข้ามา มือน้อยๆ ของเขาจับไปที่นิ้วมือของลี่เฉินซี “พ่อครับ ที่จริงแล้ว เรื่องที่พวกเราเรียนในโรงเรียนเหล่านั้น พวกเรารู้มันตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ได้ไปโรงเรียนสักสองสามวันก็คงไม่มีผลกระทบอะไรหรอก……”
“หืม?” ดวงตาคู่นั้นของลี่เฉินซีดูประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปทางลูกชายทั้งสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เจ้าหนูทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน
วินาทีนี้เขารู้สึกว่าตัวเองปวดหัวหนักกว่าเดิม