การปรากฏตัวที่กะทันหันของเพ้ยส้าวหลี่ทำให้ซูย้าวตกใจ และก็ทำให้นักข่าวที่อยู่ในที่เกิดเหตุตกตะลึง
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา รอยยิ้มอันแผ่วเบานั้นมักจะพอดีเสมอ อบอุ่นราวกับพระอาทิตย์ในฤดูหนาว อ่อนโยนและสบาย
“ทุกท่าน ประธานอานบอกแล้วไม่ใช่เหรอครับ?สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ จะไม่มีการตอบกลับใดๆ ทุกท่านไม่เข้าใจความหมายของประธานอานเหรอครับ?หรือว่าคุณมีเจตนาอื่น?”
น้ำเสียงที่แผ่วเบาของเพ้ยส้าวหลี่นั้นนุ่มนวล แต่มันหลับมีหมานซ่อนอยู่ข้างใน เผยให้เห็นคำพูดที่กระแทกแดกดัน
นักข่าวในที่เกิดเหตุต่างพากันตกใจ ดูถูกความสามารถของเพ้ยส้าวหลี่ไม่ได้ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเพ้ยส้าวหลี่ไม่ได้มีพฤติกรรมของที่เย่อหยิ่งอะไร ไม่ต้องพูดว่าจะปั้นน้ำเป็นตัว แม้แต่ข่าวฉาวโฉ่เขาก็ยังไม่มี
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันในตอนนี้ เป็นโอกาสที่ดีจริงๆ พวกนักข่าวต่างต้องการคว้าโอกาสนี้เอาไว้ แต่ว่า บนใบหน้าที่ดูอ่อนโยนของผู้ชายคนนี้ ดวงตาที่เย็นชาและมืดมิดคู่นั้น บรรยากาศที่เยือกเย็นรอบๆตัวของเขามันทำให้ผู้คนหวาดกลัว มันมองไม่เห็น แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกถึงแรงกดดันที่แรงกล้า
ทุกคนต่างหวาดกลัว แม้แต่นักข่าวที่ยังถ่ายทอดสดอยู่ข้างๆก็ตกใจจนพูดไม่ออก
ถือโอกาสนี้ เพ้ยส้าวหลี่จับแขนของซูย้าวและเดินออกมาจากฝูงชน เมื่อทุกคนได้สติขึ้นมา ทั้งสองคนก็ขึ้นรถออกไปแล้ว
ความโกลาหลก็จบลงตรงนี้
หลังจากที่รถขับออกไปได้สักพัก ซูย้าวถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมาแล้วถอนหายใจเบาๆ
เพ้ยส้าวหลี่นั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าที่หล่อเหลาหันไปมองเธอ สายตาที่ลึกลับของเขาก็มีรอยยิ้มออกมา เขาเอื้อมมือออกไปจับหัวเธออย่างธรรมชาติ แต่ซูย้าวกลับหลบเขา
มือของเขาจับไม่โดนหัวของซูย้าว แต่รอยยิ้มในดวงตากลับชัดเจนกว่าเดิม “ปกติคุณพูดจาฉะฉานไม่ใช่เหรอ? ทำไมเมื่อเผชิญหน้ากับนักข่าวพวกนั้น คุณถึงได้กลายเป็นใบ้ล่ะ?”
ซูย้าวเหลือบไปมองเขาอย่างไม่สะทกสะท้านและพูดว่า “บางครั้งฉันขอเป็นใบ้ดีกว่า”
อย่างน้อย แบบนั้น มันสามารถลดปัญหาที่ไม่จำเป็นออกไปได้ตั้งมากมาย
เช่นเดียวกับเมื่อกี้ ทั้งๆที่รู้ว่านักข่าวพวกนั้นใช้อารมณ์ของคนในครอบครัวผู้เสียหาย ยุยงให้พวกเขาโกรธเคืองและหาเรื่องเธอ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้
ตอนนั้น การพูดจาฉะฉานรับมือกับมันไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะรอดตัวไปได้ชั่วคราว แต่โฆษณาและการใส่ร้ายป้ายสีของสื่อต่างๆ ผลกระทบของการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณะ มันสามารถกดทับคนคนหนึ่งได้จากทุกทิศทาง
สายตาของเพ้ยส้าวหลี่มืดมนลง เขายิ้มอย่างมีเลศนัยและพูดว่า “แต่ผมไม่ค่อยชอบคนใบ้ คุณเป็นแบบนี้ พูดจาฉะฉานแบบนี้ผมชอบ”
ซูย้าวมองไปที่เขาด้วยสายตาที่สั่นคลอน “ดูคุณพูดสิ ทำอย่างกับว่าเมื่อก่อนฉันเป็นคนใบ้”
เธอจงใจพูดแบบนี้
เธอสงสัยในตัวตนของตัวเองตั้งนานแล้ว แล้วเธอจะไม่สืบค้นประวัติของซูย้าวอย่างละเอียดได้ยังไง?
สายตาของเพ้ยส้าวหลี่มืดมนลง ราวกับว่าเขาดูออก เขาหันหน้าไปหาเธอ “ยังสงสัยตัวตนของตัวเอง?”
ซูย้าวไม่ได้ตกใจ ครั้งก่อนที่ยุโรปเธอกับอานเจียเย้นจากกันไปไม่ค่อยดี คาดว่าเพ้ยส้าวหลี่ก็คงเคยได้ยินเรื่องนี้
เธอพยักหน้าเบาๆ “สงสัยแน่นอน ฉันสงสัยมาตลอดว่าตัวเองคือคนใบ้ที่ถูกทุกคนรังเกียจ ถูกตระกูลซูขับไล่ แล้วยังยอมแต่งงานกับตระกูลลี่คนนั้นรึเปล่า”
ริมฝีปากของเพ้ยส้าวหลี่ที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ถ้าผมบอกคุณว่าใช่ คุณจะเชื่อไหม?”
“คุณมีอะไรที่ทำให้ฉันเชื่อได้รึเปล่า?” เธอถามกลับไปตรงๆ ความหมายชัดเจน
สำหรับเพ้ยส้าวหลี่คนนี้ ซูย้าวไม่ได้ติดต่อกับเขาบ่อยนัก แต่อย่างน้อยในความทรงจำที่ยังหลงเหลืออยู่ของเธอ เธอไปมาหาสู่กับเขาบ่อยขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา
แล้วเขายังรุกจีบเธอต่างๆนานาอย่างรุนแรง
แต่เนื่องจากความสัมพันธ์อันยาวนานของตระกูลเพ้ยส้าวหลี่และตระกูลอาน ไม่จำเป็นต้องให้ซูย้าวปฏิเสธ เขาก็รู้ว่ามันมีขอบเขตที่ข้ามผ่านไปไม่ได้
การติดต่อกันของพวกเขาทั้งสองคน ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่เรื่องงาน
ในด้านการทำธุรกิจ สามารถพูดได้ว่าเขามีกลยุทธ์และกลอุบายทุกรูปแบบ
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้อานเจียเย้นก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าเขา แต่ว่า มันทำให้ซูย้าวมองคนคนหนึ่งออกอย่างชัดเจน
พวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน เพื่อบรรลุเป้าหมาย พวกเขาทำได้ทุกอย่าง ถึงแม้ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง พวกเขาก็สามารถทิ้งขว้างและทรยศ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความรัก เรื่องพวกนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องเหลวไหล
ดูเหมือนว่าเพ้ยส้าวหลี่ไม่พอใจกับคำพูดของเธอ เขาขมวดคิ้วที่เฉียบแหลม “ผมจำได้ว่าผมไม่เคยรังแกคุณนะ!”
ซูย้าวยิ้มอย่างเย็นชาและหลบหน้าออกไป “นั่นเป็นเพราะว่าฉันไม่เคยให้โอกาสนั้นกับคุณ”
เขาพยักหน้าอย่างผิดหวัง สายตาที่มีเลศนัยยังคงจ้องมองไปที่หน้าของเธอ “แต่คุณยิ่งเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกวู่วาม!”
ซูย้าวมองออกไปนอกหน้าต่างรถและพูดเบาๆ “เพราะผู้ชายล้วนแต่ชอบผู้หญิงที่ไม่สนใจตัวเอง เกลียดตัวเองเหรอ?”
“ประโยคนี้ไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ” เพ้ยส้าวหลี่หัวเราะ เอื้อมมือออกไปจับมือเธอมาวางมันไว้ที่หัวใจของตัวเอง “ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ผมจริงจังกับคุณ”
ซูย้าวดึงมือออกมาตามสัญชาตญาณ สายตาที่หมดความอดทนของเธอมืดมนลง “จะจริงจังแค่ไหน แต่ก็สู้การบีบบังคับของผลประโยชน์ไม่ได้ ประธานเพ้ย ฉันบอกไปตั้งนานแล้ว อย่ามาเสียเวลากับฉัน มันไม่มีประโยชน์”
และก็ไม่มีผลลัพธ์
“มีหรือไม่มีประโยชน์ ต้องลองดูถึงจะรู้” เขาขมวดคิ้ว สายตาที่ลึกซึ้งเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ซูย้าวไม่อยากพูดเรื่องนี้กับเขาอีก เห็นว่ารถกำลังจะแล่นเข้าไปใกล้โรงแรม เธอก็พูดว่า “จอดรถข้างทางก็ได้”
คนขับรถทำตามที่เธอบอก เขาจอดรถข้างถนนที่ใกล้กับโรงแรม พอรถหยุด เธอก็เหลือบไปมองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ “เมื่อกี้ขอบคุณนะ ไว้วันหลังเลี้ยงข้าวคุณ”
เธอพูดพร้อมกับผลักประตูลงจากรถ
“วันหลังไม่สู้วันนี้” เสียงของเขาดังขึ้นมาจากข้างหลัง ท่ามกลางน้ำเสียงนั้น มันมีคำข่มขู่ที่ปฏิเสธไม่ได้
ซูย้าวหยุดเดินและหันหลังกลับไป เธอก็เห็นว่าเพ้ยส้าวหลี่ลงมาจากรถและยืนอยู่ข้างรถแล้ว สอดมืออยู่ในกระเป๋ากางเกงอย่างสง่างาม
เขามองเธอด้วยสายตาที่มั่นคง “อยากจะหาคำปฏิเสธ?”
เขามองออกทุกอย่าง ถ้าซูย้าวปฏิเสธ เธอคงจะดูดัดจริตเกินไป เธอขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ พยักหน้าและพูดว่า “งั้นประธานเพ้ยอยากกินอะไรคะ?”
เพ้ยส้าวหลี่มองตาเธอไม่คลาดสายตา มืดมนจนมองไม่ออก “แล้วแต่คุณ”
“งั้นก็……” ซูย้าวยืดเสียงยาว กวาดตามองไปที่ร้านอาหารต่างๆริมถนน แล้วพูดขึ้นมาว่า “หม้อไฟ?”
ถึงแม้ว่าเธอจะเลือกไปแบบส่งๆ แต่มันก็ตอบสนองความปรารถนาของเธอ
มาที่เมืองAตั้งนานแล้ว ในประเทศมีอาหารอร่อยๆเป็นพันๆ แต่เธอกลับไม่เคยได้ชิม เมื่อเทียบกับร้านอาหารต่างประเทศ เธอชอบที่นี่มากกว่า
และหม้อไฟก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เพ้ยส้าวหลี่พยักหน้าเบาๆ “งั้นก็หม้อไฟ”
เขาพูดพร้อมกับเดินเข้าไปจับมือเธอ “ผมรู้ว่ามีร้านหม้อไฟอร่อยๆอยู่แถวนี้ ผมพาคุณไป!”
จากนั้นเขาก็โน้มตัวลงไปสั่งคนขับรถในรถ คนขับรถก็ขับรถออกไปทันที
“ไม่ค่อยไกลเท่าไหร่ เราเดินไปกันเถอะ!” เขาพูดเบาๆและจับมือเธอแน่นไม่ยอมปล่อย
ซูย้าวพยายามระงับความซับซ้อนในใจ ให้ความร่วมมือเดินตามเขาไป เดินไปตามข้างถนน
ที่เพ้ยส้าวหลี่บอกว่าไม่ค่อยไกล แต่พวกเขาเดินมาแล้วเกือบจะหนึ่งชั่วโมงแล้ว เมื่อถึงจุดหมาย ซูย้าวแทบพูดไม่ออก
ระหว่างทาง เขายังซื้อชานมที่ร้านชานมให้เธอ ยัดใส่มือเธอแล้วพูดว่า “ผู้หญิงในประเทศชอบดื่มกันทั้งนั้นคุณลองชิมดู”
ซูย้าวเลิกคิ้วขึ้นและจงใจพูดว่า “เมื่อก่อนฉันก็ชอบดื่ม?”
เขาหยุดเดิน ก้มลงไปมองหน้าเธอแล้วหัวเราะ “นี่คุณไม่ได้สงสัยแล้ว แต่คุณมั่นใจแล้วจริงๆ!”
ซูย้าวไม่สะทกสะท้าน สีหน้าก็ไม่ได้ไม่สบายใจ แต่เพ้ยส้าวหลี่กลับพูดว่า “ไม่ว่าจะสงสัยหรือมั่นใจ แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนก็คือความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณ”
เธอขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจแล้วพูดว่า “ถ้าคุณพูดแบบนี้อีก ฉันจะไปแล้วนะ!” จากนั้นเธอก็เดินเร็วขึ้น
ร้านหม้อไฟที่เพ้ยส้าวหลี่เลือก เป็นร้านที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองนี้ พอถึงเวลาอาหาร ในร้านก็มี ลูกค้าจำนวนมากมารวมตัวกัน จนแทบจะไม่มีที่นั่ง
ทันทีที่ทั้งสองคนเดินเข้ามา สายตาที่ลึกซึ้งของเพ้ยส้าวหลี่ก็สังเกตเห็นร่างที่คุ้นเคยที่อยู่ไกลออกไปจากห้องโถง และสายตาของเขาก็มืดมนลงทันที