คำว่าไม่ค่อยดีนักที่หวางอี้ใช้อธิบายนั้น เขาได้ใช้คำเปรียบเปรยกับสถานการณ์ในตอนนี้ออกมาอย่างเบาที่สุดแล้ว
เนื่องจากสถานการณ์ของซูย้าวย่ำแย่มากเลยทีเดียว
ประการแรก การสอบสวนโครงการกู่อานออกมาแล้ว พบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับDouble Aceกรุ๊ป แต่อย่างไรก็ตามทางบริษัทยังคงจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้บาดเจ็บทั้งหมดด้วยความสมัครใจ อีกทั้งยังเพิ่มค่าชดเชยสำหรับการย้ายถิ่นฐานให้อีกครัวเรือนละสิบเปอร์เซ็นต์
หากพูดตามเหตุผลแล้วนี่ควรจะเป็นความยุติธรรมที่สมเหตุสมผล ซึ่งซูย้าวได้กำลังช่วยเหลือพวกเขาอยู่และแน่นอนว่าครอบครัวของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเสียหายเหล่านั้นควรจะยินยอมด้วยความเต็มใจ
แต่ในทางกลับกันผลลัพธ์ที่ออกมา
สมาชิกในครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บบางคนเต็มใจและยินยอมรับน้ำใจนั้นเอาไว้ แต่ก็มีอยู่อีกหลายคนกล่าวว่าเรื่องนี้ซูย้าวได้ใช้ความสัมพันธ์ของตนในการจัดการปัญหา โดยรวมแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเพราะDouble Aceกรุ๊ป ไม่อย่างนั้นทางบริษัทจะยอมจ่ายเงินชดเชยจำนวนมากนี้ได้อย่างไร?
พวกเขาพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลับหัวกลับหางไปหมด
อีกทั้งยังติดตามเรื่องนี้ไม่ปล่อย สร้างปัญหามากมายใหญ่โต บรรดานักข่าวก็ได้ใส่ความพูดเกินจริงทำให้เรื่องนี้ดูย่ำแย่จนถึงขั้นสุด ผลกระทบของการแสดงความคิดเห็นเหล่านี้ถึงงขั้นสุด แทบจะกลืนกินซูย้าวและDouble Aceกรุ๊ปของเธอไปได้
ประการที่สอง คือเรื่องคดีทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนา จู่ๆอู๋หงยุ่นก็ได้ยืนยันทัศนคติอันแน่วแน่ให้ลงโทษซูย้าวอย่างรุนแรง
แม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะไม่ร้ายแรงนัก แต่เขาก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ กลับติดต่อสื่อต่างๆและเปิดโปงเธอ
นอกจากนั้นยังมีเรื่องตัวตนของเธอ มีนักข่าวพร้อมผู้คนมากมายนำรูปภาพของเธอก่อนหน้าและปัจจุบันมาเปรียบเทียบกัน
ส่งผลให้มีหลายคนเริ่มออกมาโต้เถียงกันไม่หยุด กระทั่งเชื่อมโยงซูย้าวและลี่เฉินซีเข้าด้วยกัน สิ่งที่Double Aceกรุ๊ปต้องเผชิญหน้าทุกอย่างนี้ ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ล้วนดึงบริษัทลี่ซื่อเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ส่วนวัตถุประสงค์ที่แท้จริงนั้นคืออะไร ไม่ต้องอธิบายก็รู้ดี
นั่นก็คือเพื่อสร้างความวุ่นวายมากขึ้น
แม้จะกล่าวว่าเป้าหมายคือDouble Aceกรุ๊ปและซูย้าว แต่แท้จริงแล้วหอกนั้นได้มุ่งไปทางบริษัทลี่ซื่อ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทลี่ซื่อมีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางความโดดเด่นก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีศัตรูอิจฉาริษยา คนเหล่านั้นตั้งใจจะจัดการบริษัทลี่ซื่อ แต่พวกเขาก็ไม่รู้จะหยิบยกข้ออ้างอย่างไร โอกาสดีๆเช่นนี้พวกเขาจะปล่อยผ่านไปหรือ?
ลี่เฉินซีค่อยๆวางงานในมือลง เขาเอนกายพิงไปที่พนักเก้าอี้ด้านหลัง ในขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นดันแว่นตาไร้กรอบตรงสันจมูกของเขา ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “ไม่ต้องไปสนใจเธอ”
ดวงตาของหวางอี้กระชับลงทันใด “แต่ว่าท่านประธานลี่ครับ จากสถานการณ์ตอนนี้กำลังส่งผลกระทบต่อบริษัทของเราด้วย ถ้าเราไม่ไปออกหน้าอีกละก็เกรงว่า……”
“ให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์เตรียมการล่วงหน้าไว้ให้ดี แล้วก็ ด้านคุณลุงสามจัดเตรียมโอนหุ้นให้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลาแล้วจะมีการแถลงข่าวขึ้น” ลี่เฉินซีกำชับอย่างรวดเร็ว
หวางอี้ทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ “ครับ ผมจะรีบไปจัดการให้เร็วที่สุด เพียงแต่ว่าด้านของคุณอาน คุณจะ……”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันดูเหมือนหมดความอดทนเล็กน้อย ดวงตาอันเย็นชาของเขาประกอบกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นกล่าวขึ้นอย่างไร้ความปรานีว่า “ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดเหรอ?”
หวางอี้สะดุ้งโหยง เขารีบก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว “เข้าใจแล้วครับท่านประธานลี่ ผมไม่รบกวนแล้ว”
จากนั้นหวางอี้ก็ได้หันหลังเดินจากไป ลี่เฉินซีลุกขึ้นและเดินไปตรงหน้าต่างมองออกไปด้านนอกที่มีแสงแดดเจิดจ้าเสียจนเขาต้องหรี่ตาลง จึงสามารถมองเห็นรถที่สัญจรไปมาไม่ขาดสายได้ชัดเจน
ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียว ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะปรากฏรอยยิ้มจางๆขึ้น มองดูแล้วแม้แต่สวรรค์ก็ยังช่วยเขาอยู่! ดังนั้น เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน……
ขณะเดียวกัน ณ สถานีตำรวจ เมื่อทนายความเดินทางมาถึงก็ได้พยายามแก้คำต่างและจัดการกับปัญหาให้กับซูย้าว ท้ายที่สุดแล้วเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของอู๋หงยุ่นไม่ได้ร้ายแรงมาก คดีจึงกลายเป็นคดีทางแพ่งไป และทางตำรวจก็ได้ปล่อยตัวบุคคลต้องสงสัยอย่างชั่วคราว
แต่ท่าทางของอู๋หงยุ่นดูย่ำแย่มาก เมื่อเขาเห็นซูย้าวเดินออกมาก็รีบวิ่งเข้าไปแล้วพูดว่า “ทุเรศ! ฉันจะบอกแกให้ อย่าคิดนะว่าแกหาทนายความสุ่มสี่สุ่มห้ามาแล้วจะสามารถนี้เรื่องนี้ไปได้พ้น มันไม่จบง่ายๆแน่!”
ซูย้าวมองดูผู้ชายที่ตะโกนอยู่ตรงหน้าเธออย่างเงียบๆ มือข้างหนึ่งของเขาถูกพันไปด้วยผ้าก๊อซหนา แขนห้อยอยู่ตรงหน้าอก มองไปแล้วราวกับเหยื่อที่ถูกทำร้ายจนสาหัส แต่ด้วยท่าทางและแววตาอันชั่วร้ายเหล่านั้น ตรงกันข้ามกับบาดแผลทั่วตัวของเขาเลยทีเดียว
เธอจึงถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรงแล้วเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่เกรงกลัวว่า “เถ้าแก่อู๋คะ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันทำมือขวาของคุณบาดเจ็บไม่ใช่เหรอ?”
คำพูดเพียงประโยคเดียวและช่างแสนบางเบาแต่กลับเป็นการเตือนสติอู๋หงยุ่นได้เป็นอย่างดี
เขาชะงักลงแล่วมองไปทางมือขวาของเขาที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย ก่อนจะลังเลแล้วพูดออกมาว่า “มือซ้าย……”
ยังไม่ทันจะพูดจบ ทนายความของซูย้าวก็รีบพูดขึ้นว่า “คุณตำรวจครับเห็นหรือเปล่า? มือคุณอู๋หงยุ่นบาดเจ็บข้างไหนตัวเขาเองยังไม่รู้เลย เห็นได้ชัดว่าเป็นการกล่าวเท็จ! โปรดคืนความบริสุทธิ์ให้แก่ลูกความของผมด้วย!”
อู๋หงยุ่นได้สติกลับคืนมา ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้าง “ไอ้ฉิบหาย! แกกล้าเล่นกับฉันเหรอ! ฉันจะฆ่าแก……!”
เมื่อเขาพูดจบก็พุ่งตัวเข้ามา ซูย้าวเอี้ยวตัวหลบอย่างไม่รีบร้อน ส่วนทนายความที่อยู่ข้างๆเธอได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและจับภาพฉากนี้ไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ทนายความกล่าวว่า “คุณอู๋หงยุ่นครับ คุณใช้คำพูดข่มขู่ผู้อื่น อีกทั้งคุณกำลังจะตีเธอด้วย คุณว่าหากเรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกสอบสวนขึ้น เมื่อไปถึงชั้นศาลผู้พิพากษาจะตัดสินอย่างไร?”
อู๋หงยุ่นรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเล่นงานเข้าแล้ว เขากัดฟันกรอดทำท่าทางโมโหหงุดหงิดเหมือนวัวกระทิงตัวผู้ แววตาของเขานั้นดูเหมือนจะสามารถกัดกระชากอีกฝ่ายหนึ่งให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้
ตำรวจแม้แต่ตำรวจที่ยืนอยู่ข้างๆก็ทนดูไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอื้อมมือเข้ามารั้งเอาไว้แล้วพูดว่า “คุณอู๋หงยุ่นเรื่องนี้พวกคุณไปจัดการกันเองเป็นการส่วนตัวแล้วกัน แต่อย่าใช้คำพูดจารุนแรงและอย่าทำร้ายร่างกายคนอื่น!”
อู๋หงยุ่นโมโหใส่จนตัวสั่นไปทั้งตัว เนื่องจากเขาได้ถูกตำรวจเรียกตัวเข้าไปสั่งสอนอบรม แต่ซูย้าวและทนายความกลับเดินทางออกจากสถานีตำรวจไปอย่างง่ายดาย
หลังจากที่ทนายความได้รับรูปคดีนี้เขาก็มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักฐานการจ่ายเช็คที่ซูย้าวบันทึกเอาไว้นั้น อีกทั้งตอนที่ซูย้าวจ่ายเช็คให้กับอู๋หงยุ่น ก็ถูกกล้องวงจรปิดบันทึกภาพเอาไว้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เมื่อขึ้นไปถึงชั้นศาลจะสามารถใช้เป็นหลักฐานชั้นดี ทนายความจึงมีความมั่นใจมากขึ้น
ซูย้าวและทนายสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่ทนายความเดินทางจากไป เธอก็มีเวลาว่างเล็กน้อยและนำมือขึ้นนวดบริเวณหัวคิ้ว
วันนี้ทั้งวันเธอยุ่งอยู่กับเรื่องนี้ กว่าจะมีเวลาว่างพอเปิดอ่านข่าวได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน
เห็นได้ชัดว่าเธอจ่ายค่ารักษาพยาบาลจำนวนเหมาะสมให้แก่ผู้บาดเจ็บ อีกทั้งค่าชดเชยให้กับครอบครัวเหล่านั้นแล้วค่อนข้างสูง แต่ผู้คนเหล่านั้นเลือกฟังแต่สิ่งที่พวกเขาอยากได้ยิน สาดน้ำสกปรกลงมายังเธอ และผลักดันเธอกับบริษัทไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมที่โหดร้าย
แม้ว่าหัวใจของผู้คนจะเกินคาดเดา แต่นี่มันยิ่งกว่างูที่จะกลืนช้างเข้าไปเสียอีก!
ความเห็นแก่ตัว เป็นธรรมชาติของมนุษย์
ซูย้าวได้ประสบกับมันอีกครั้งหนึ่ง เธอหันไปมองดูกองเอกสารที่วางสูงอยู่บนโต๊ะแล้วรู้สึกเหนื่อยใจ ก่อนจะตกอยู่ในความ เงียบงันอีกครั้ง
วันนี้วุ่นวายมาทั้งวันแล้ว ตัวเธอรู้สึกเหนื่อยล้าจริงๆ
เธอลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเปิดดู นอกเสียจากรายงานของอาตงและอาเจว๋ ดูเหมือนจะไม่มีข้อความใดๆจากคนอื่นเลย
ซูย้าวขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย นิ้วมือของเธอสัมผัสไปยังบันทึกการโทรเข้าโทรออกและมองดูหมายเลขโทรศัพท์ของลี่เฉินซี เธอรู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่ง ผู้ชายคนนี้พยายามโทรหาเธอหลายครั้งหลายครา แต่อยู่ๆเขาก็กลับหายตัวไป เขากำลังคิดทำอะไรกันอยู่แน่?
หลังจากที่เธอลังเลอยู่สักพักในที่สุดเธอก็ตัดสินใจต่อสายออกไป
ไม่นานต่อมาอีกฝ่ายหนึ่งก็รับสายขึ้น นำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังเข้ามาในหูของเธอว่า “คุณอานมีธุระเหรอครับ?”
ซูย้าวได้แต่ขมวดคิ้วแล้วสูดหายใจเข้าอย่างหมดความอดทน “ก็ทำนองนั้นค่ะ คุณกู้คะ อีกสักครู่พอจะว่างทานอาหารด้วยกันไหม?”
ลี่เฉินซียิ้มขึ้นมาก่อนจะพูดเพียงว่า “คาดว่าคงไม่สะดวกครับ เพราะอีกสักครู่ผมมีประชุมน่าจะเสร็จดึกเลยทีเดียว ขอโทษด้วยนะคุณอาน”
วินาทีนี้ ซูย้าวได้แต่ตกตะลึง
เขากล้าปฏิเสธเธอจริงๆ!
เมื่อชายหนุ่มพูดจบเขาก็วางสายลงไปทันที
ซูย้าวได้แต่มองดูหน้าจอโทรศัพท์ของเธอ ด้วยความงุนงง ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียวในที่สุดเธอก็รวบรวมความคิดและเดินไปคว้ากระเป๋ากับเสื้อคลุม ก่อนจะเดินตรงออกไปจากโรงแรม