โม่หว่านหว่านนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร มือทั้งสองข้างของเธอยกขึ้นเท้าคางเอาไว้ แต่พบว่าซูย้าวกินไปได้เพียงไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง เธอจึงขมวดคิ้วถามว่า “ไม่อร่อยเหรอ? หรือว่าไม่สบายตรงไหน?”
คำเอ่ยทักทายที่ค่อนข้างอบอุ่นแบบนี้ทำให้ซูย้าวดูไม่เคยชินและอึดอัดใจเล็กน้อย แต่เธอก็ยังยิ้มตอบอย่างสุภาพว่า “อร่อยมาก แต่ฉันแค่กินอิ่มแล้ว”
โม่หว่านหว่านขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เธอเพิ่งจะกินไปได้เพียงไม่กี่คำเอง จะอิ่มได้อย่าง?!
“ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มซุปสักหน่อยสิ! สักถ้วยก็ยังดี” โม่หว่านหว่านพูดจบก็รีบตักซุปร้อนใส่ชามให้เธอ
เมื่อซูย้าวมองเห็นซุปในชามที่อยู่ตรงหน้า อีกทั้งด้านในยังมีขาไก่อยู่หนึ่งขา จู่ๆความทรงจำอันแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นในสมองของเธอ
เมื่อนานมาแล้วตอนที่ยังไม่ได้เกิดเรื่องนั้นขึ้น ตอนที่เธออาศัยอยู่ในบ้านตระกูลลี่ มีอยู่ครั้งหนึ่งลี่หมิงและซีซีพากันร้องขอจะให้เธอทำกับข้าวให้กิน
ในตอนนั้นเธอกำลังยุ่งกับอะไรบางอย่างอยู่ จึงได้ไล่เด็กทั้งสองคนไป
ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว รู้สึกว่าเธอทำผิดต่อเด็กๆมาก
เมื่อมองไปในซุปไก่ในชามนี้จึงทำให้เธอไม่อาจลืมมันได้ลง เธอนั่งนิ่งอยู่เนิ่นนานเลยทีเดียวก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นพูดว่า “เอ่อคือ คุณโม่คะ ฉันมีเรื่องอยากจะร้องขอไม่รู้ว่า……”
“พูดมาๆเร็วเข้า มีเรื่องอะไร? ไม่ว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น!” โม่หว่านหว่านตอบไปอย่างรีบร้อนกังวลใจและตกลงโดยไม่คิด
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ซูย้าวรู้สึกมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าอันเขินอายของเธอก็ได้กระซิบขึ้นมาว่า “เอ่อ คือ ให้ฉันยืมใช้ห้องครัวที่บ้านคุณหน่อยได้ไหม?”
ที่บ้านของลี่เฉินซีหลังนี้ดีทุกอย่าง เพียงแต่ในบ้านค่อนข้างที่จะเยือกเย็น ไม่มีแม้แต่ข้าวสารสักเม็ดหรืออาหารแม้แต่นิดเดียว
โม่หว่านหว่านถอนหายใจโดยไม่ได้คิดอะไร จากนั้นก็ลากมือเธอพูดว่า “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เองทำเป็นเกรงใจกับฉันไปได้ ถ้าอยากจะใช้ก็ใช้ตามสบายเลย! พูดว่ายืมอะไรกันเห็นฉันเป็นคนอื่นหรือไง?!”
แต่เธอก็ยังรู้สึกเขินอายเล็กน้อย โชคดีที่โม่หว่านหว่านค่อนข้างกระตือรือร้นและจูงมือเธอเดินไปยังบ้านด้านข้าง
ที่นี่ห้องครัวใหญ่มากวัตถุดิบก็มีครบครัน เธอลงมืออบขนมเค้กก้อนเล็ก จากนั้นก็นำซุปไก่มาอุ่นใส่ลงไปในกล่องอาหาร เก็บอุณหภูมิ ก่อนจะเอ่ยอำลาโม่หว่านหว่าน
เมื่อเธอเดินออกไปจากบ้านก็พบเข้ากับหวางอี้ที่เพิ่งขับรถมาถึง ทั้งสองคนมองหน้ากัน จากนั้นหวางอี้ก็รีบลงจากรถเข้าไปทักทายว่า “คุณอาน จะ……ออกไปข้างนอกเหรอครับ?”
หวางอี้สังเกตเห็นกล่องอาหารในมือของเธอ จึงได้ชี้ไปที่รถแล้วพูดว่า “ผมไปส่งครับ!”
ซูย้าวลังเลอยู่เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะตอนนี้เธอไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียวอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรถไฟใต้ดิน หรือรถโดยสารประจำทางก็คงเป็นไปไม่ได้ ถ้ามีคนไปส่งเธอก็คงจะสะดวกกว่าไม่น้อย เค้กจะได้ไม่เย็นจนเกินไป
เมื่อเธอขึ้นรถ ก็ได้กอดกล่องอาหารกลางวันนั้นไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่ามันจะหกเสียก่อน หรือกลัวว่า มันจะเอนและทำให้ไม่สวยงาม
หวางอี้แอบมองเธอผ่านกระจกมองหลังเป็นครั้งคราวแล้วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาไม่ได้เดินทางมาที่คฤหาสน์โดยบังเอิญ และก็ไม่ได้รับคำสั่งให้มาจับตามองเธอ เขาเพียงแค่สังเกตเห็นท่าทางของเจ้านายและรู้ถึงความต้องการของเจ้านาย จึงได้เดินทางจะมาถามซูย้าวว่ามีอะไรต้องการอีกหรือไม่ อย่างเช่นผักผลไม้หรือเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน แต่คิดไม่ถึงว่าจะต้องพาเธอไปที่โรงพยาบาล
สีหน้าของเขาลังเลและดูเป็นทุกข์ เมื่อมองผ่านกระจกหลังไปเขาสับสนอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณอานครับ ของพวกนี้จะนำไปให้คุณชายรองเหรอ?”
ซูย้าวได้ยินดังนั้นก็ชะงักลงเล็กน้อย ดูเหมือนเธอจะคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง เธอไม่รอให้หวางอี้พูดอะไรออกมาอีกอย่างอ้อมค้อม เธอก็ได้กล่าวขึ้นว่า “ของพวกนี้ฉันจะนำไปให้พยาบาล ฉันไม่ไปหาเด็กๆโดยตรงหรอก”
ก่อนหน้านี้ลี่เฉินซีได้พูดเอาไว้แล้วว่าไม่อนุญาตให้เธอไปพบลูกทั้งสองคน ดังนั้นเธอก็ไม่อยากทำให้หวางอี้ต้องรู้สึกอึดอัดใจ
หวางอี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เขาครุ่นคิดแล้วพูดต่อไปว่า “ที่จริงคุณอานน่าจะรู้อยู่ว่าก่อนหน้านี้ประธานลี่ต้องการจะแต่งงานกับคุณและใช้ชีวิตกับคุณจริงๆ”
“แม้ว่าจะเกิดเรื่องราวต่างๆขึ้นมากมายแบบนี้ แต่ถ้าคุณมีความคับข้องใจหรือปัญหาใดๆก็พูดออกมากับประธานลี่เถอะครับ อย่าได้มัวแต่เก็บไว้ในใจเลย ถ้าคุณพูดออกมาเขาถึงจะปลดปล่อยได้!”
ที่จริงคำพูดเหล่านี้หวางอี้ไม่ได้อยากพูดออกมาหรอก หากเป็นก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่ปีเขาคงจะไม่แสร้งทำตัวเป็นคนดีแบบนี้ แต่หลายปีมานี้เขาได้เห็นความพัวพันระหว่างซูย้าวและลี่เฉินซีซึ่งผูกพันกันมาไม่เพียงแค่สิบปีแล้ว บัดนี้แม้แต่ลี่เจิ้งก็อายุปาเข้าไปสิบขวบแล้ว ทั้งสองวนไปเวียนมา ในตอนนี้ท้ายที่สุดทั้งสองคนก็กลับมาหยุดอยู่ที่เดิม
ในฐานะคนนอกเขามองดูแล้วยังรู้สึกร้อนใจแทน คนหนึ่งถาม คนหนึ่งไม่ตอบ อีกคนหนึ่งให้ความรักแก่ลูกแต่อีกคนหนึ่งกลับลืมมันไปเสียทุกสิ่งอย่าง ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ปมในใจเมื่อไหร่จะถูกคลายออกสักที!
“หลายสิ่งหลายอย่างจำเป็นที่จะต้องอธิบายให้กระจ่างแจ้ง คนอื่นถึงจะเข้าใจนะครับ ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวเป็นอย่างไรคุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องแบกรับมันไว้คนเดียว ถ้าพูดออกมาประธานลี่คงจะเข้าใจ”
หวางอี้ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เจ้านายของเขาเมื่อหลายเดือนมานี้ผ่านชีวิตมาได้อย่างไร!
ในตอนแรกเขาพยายามค้นหาเธอทั่วทุกมุมโลก เนิ่นนานทีเดียวในที่สุดก็หาเธอพบ แต่กลับโยนเธอเข้าไปไว้ในเรือขนส่งสินค้าและพากลับมา ตอนนี้ก็เช่นกัน เมื่อได้ยินว่าเธอจะเดินทางไปที่โรงพยาบาล แม้เจ้านายจะพูดว่าช่างมันอย่าได้ไปสนใจ แต่สีหน้านั้นเหมือนคนไม่สนใจเสียที่ไหน!
แล้วก่อนหน้านี้ที่น้าชิวทำร้ายเธอ ลี่เฉินซีหงุดหงิดโมโหมาก หากไม่ใช่เพราะหวางอี้เข้าไปจัดการกับน้าชิวอย่างทันท่วงที เขายังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น!
เมื่อซูย้าวได้ยินดังนี้เธอก็ก้มหน้าลง ดวงตาคู่นั้นมีหมอกจางลอยออกมา
ถ้าพูดออกมาแล้วเขาจะเข้าใจเหรอ?
แต่ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะมีผลลัพธ์อยู่สองอย่าง อย่างแรกเขาอาจจะเข้าใจและยอมรับมัน จากนั้นเพื่อปกป้องเธอกับลูกๆ เขาจะต้องกลายเป็นศัตรูของอันเจียเย้นอีกครั้ง แต่อีกคนหนึ่งอยู่ในที่สว่างอีกคนอยู่ในที่มืด แม้อำนาจของลี่ซื่อจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่ก็เป็นเพียงแค่ภายในประเทศ สำหรับสถานการณ์ในต่างประเทศนั้นสำหรับเขายังไม่คุ้นเคย ต่อให้เขาเต็มใจที่จะเคลื่อนไหว แต่ถ้ามันล้มเหลวล่ะ?
นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะนำเขาและลูกเผชิญหน้ากับหายนะอีกครั้งเหรอ?!
ซูย้าวไม่กล้าเดิมพันเรื่องนี้และไม่กล้าที่จะลองเสี่ยง มันเสี่ยงมากเกินไปเหลือเกิน หากเปรียบเทียบกับการเสียสละตัวเองแล้ว มันต้องสูญเสียมากมายจริงๆ
ส่วนอีกผลลัพธ์หนึ่งนั่นก็คือ เมื่อเขารู้ทุกสิ่งอย่างเพื่อปกป้องเด็กๆเอาไว้จึงจำเป็นต้องจะต้องขีดเส้นตายกับเธอแม้ไม่เต็มใจ
ถึงแบบนี้จะเป็นไปอย่างที่เธอต้องการ แต่หากจะต้องให้เขาเหินห่างไปจากเธอจริงๆ สู้ให้เขาเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไปไม่ดีกว่าหรือ เนื่องจากอย่างแรกนั้นความเจ็บปวดมันยากเกินกว่าที่เธอจะจินตนาการได้
ตลอดระยะทางเธอได้แต่นั่งนิ่งเงียบ และฟังหวางอี้พูดออกมามากมาย พูดจนปากเขาจะฉีกถึงหูก็ว่าได้ แต่เมื่อเห็นว่ารถขับมาถึงทางเข้าโรงพยาบาลแล้วเธอก็ลงจากรถกล่าวเพียงว่า “ขอบคุณเลขาหวางที่อุตส่าห์เป็นห่วงนะคะ แต่ฉันไม่มีเหตุผลอะไรจะอธิบายหรอกค่ะ”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมานั้น เธอพูดได้เพียงว่าแผนการของเธอคำนวณผิดพลาดไป และไม่ได้ตั้งใจจะเชื่อมโยงเด็กทั้งสองให้มาเกี่ยวข้องด้วย เพียงแค่นี้เท่านั้น
ส่วนเรื่องอื่นเธอไม่อยากจะพูดให้มากกว่านี้และไม่ต้องการอธิบายอะไรให้มากความ
ไม่ว่าลี่เฉินซีจะเกลียดเธอหรือต้องการแก้แค้นมันก็เป็นที่สมควรแล้ว เนื่องจากเธอทำร้ายลูกทั้งสองคน และเธอไม่สามารถขจัดอันตรายที่เกิดขึ้นกับลูกๆได้
หวางอี้ดูตกตะลึงไปเล็กน้อย เขาพยักหน้าและมองไปที่ซูย้าว จากนั้นเธอก็เดินหันหลังเข้าไปในโรงพยาบาล เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา และอยากจะบอกกับเธอเหลือเกินว่าท่านประธานลี่กำลังรอให้เธออธิบายอยู่ เธอไม่รู้หรือไง?!
ซูย้าวเดินตรงขึ้นไปด้านบน พยายามตามหาห้องผู้ป่วยของเด็กทั้งสองคนนั้นตามที่เธอพอจะจำได้คลับคล้ายคลับคลา เธอมองเห็นลี่เจิ้งที่ยังคงหมดสติอยู่บนเตียงผ่านหน้าต่างกระจก หัวใจของเธอก็ตึงเครียดทันที ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียวจึงได้เดินไปยังห้องผู้ป่วยด้านข้าง
เธอไม่กล้าที่จะมองนานกว่านี้ เพราะกลัวว่าลี่หมิงจะเห็นตนเข้า บังเอิญที่พบกับพยาบาลเธอจึงได้ยื่นกล่องอาหารกลางวันไปให้แล้วพูดว่า “ขอโทษนะคะ รบกวนคุณนำสิ่งนี้ให้กับคุณหนูลี่หมิงหน่อยได้ไหม?”
พยาบาลได้ยินดังนั้นก็ชะงักลงเล็กน้อย ซูย้าวจึงได้รีบอธิบายว่า “ต้องขออภัยด้วยนะคะ ฉันไม่สะดวกเข้าไป ดังนั้นคงต้องรบกวนคุณด้วย……”
“เอ่อคือ……” พยาบาลรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเธอร้องขอจากใจจริงจึงไม่อยากปฏิเสธออกไปโดยตรง ได้แต่พูดว่า “เมื่อสักครู่ลี่หมิงเพิ่งจะทานอาหารเข้าไป น่าจะทานไม่ลงแล้วละค่ะ”
“อ๋อ เหรอคะ……” ซูย้าวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เธอก้มหน้าก้มตาลง
พยาบาลคนนั้นจึงรู้สึกว่าเธอพูดตรงเกินไปหรือเปล่า ทำร้ายจิตใจคนฟังหรือไม่ จึงได้ครุ่นคิดและจะปลอบโยน แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้น
“เอาเข้าไปให้เธอเถอะ!”
พยาบาลและซูย้าวหันไปตามเสียงในเวลาพร้อมเพรียงกัน พบว่าอู๋หยานเดินมาจากอีกทิศทางหนึ่งด้วยท่าทางอันมีเสน่ห์ สง่างาม รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ มองไปช่างใจดีและอ่อนโยนยิ่งนัก แต่รอยยิ้มนั้นมันไม่ได้ออกมาจากดวงตา มองไปแล้วดูเหมือนเธอเพิ่งจะเดินทางมาถึง