เมื่อประโยคเหล่านั้นกล่าวออกมาจนจบ ซูย้าวก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตนดูไม่มั่นคงนัก มันค่อนข้างอ่อนไหวพลุ่งพล่าน เธอจึงได้พยายามนิ่งเงียบอยู่สักครู่เพื่อระงับอารมณ์ของตนเอง ก่อนจะผ่อนคลายและพูดขึ้นว่า “ขอโทษนะคะ เมื่อสักครู่ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้”
เธอเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วพยายามครุ่นคิด ภาพเมื่อสักครู่แม้ว่าซูหยวนจะแสร้งทำออกมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงแค่มารยาหญิง เธอไม่ควรที่จะทำให้วุ่นวายแบบนี้
ซูย้าวคิดได้ดังนั้นจึงพูดออกมาว่า “ฉันจะไปขอโทษคุณอู๋เดี๋ยวนี้ค่ะ”
เมื่อพูดจบเธอก็เอียงตัวเดินผ่านชายหนุ่มไป แต่กลับถูกร่างสูงใหญ่ของลี่เฉินซีเข้ามารั้งไว้อีกครั้ง ขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งของเขาก็เอื้อมไปโอบเอวอันบางของเธอเอาไว้ “ท่าทางของคุณตอนนี้ดูเหมือนอยากจะขอโทษหรือยังไง?”
เห็นได้ชัดว่าเธอเพียงแค่พูดออกมาเท่านั้น แต่ใบหน้ายังคงเยือกเย็น หาไม่พบถึงความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย
เธอไม่ได้อยากจะไป ทำไมลี่เฉินซีถึงมองไม่ออกล่ะ
เธอขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างรำคาญใจแล้วถามว่า “แล้วคุณอยากจะให้ฉันทำยังไง?”
ดวงตาอันลึกล้ำของชายหนุ่มจับจ้องไปที่เธอ ครุ่นคิดดูเหมือนกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่กลับได้ยินเสียงตามสายประกาศขึ้น
จากนั้นในเสียงตามสายก็พูดขึ้นว่า “คนไข้ห้อง1105เกิดอาการโคม่า ขอเชิญแพทย์แผนกทางเดินหายใจรีบติดต่อมาด่วน แพทย์แผนกทางเดินหายใจเชิญมาที่ชั้น11……”
ดวงตาของลี่เฉินซีเบิกกว้างและนิ่งขรึม ห้องผู้ป่วยหมายเลข1105คือห้องของลี่หมิงไม่ใช่หรือไง? และเนื่องจากห้องผู้ป่วยนั้นเป็นห้องเดี่ยวVVIP ดังนั้นผู้ป่วยที่ทางโรงพยาบาลประกาศก็หมายถึง……
เขาไม่ทันจะครุ่นคิดสิ่งใด ก็ได้ปล่อยซูย้าวออกแล้ววิ่งกลับขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว
ด้านของซูย้าวนั้นก็ยืนตกตะลึงอยู่ตรงที่เดิม ต่อมาเมื่อเธอได้สติแล้วจึงได้รีบวิ่งตามขึ้นไปเช่นกัน
ทั้งสองคนวิ่งตามกันไปถึงห้องผู้ป่วยชั้นบน ลี่หมิงนอนอยู่บนเตียงลมหายใจของเขาค่อนข้างยากเย็น อีกทั้งถูกใส่เครื่องช่วยหายใจจากทีมแพทย์พยาบาลซึ่งกำลังฉีดยาให้แก่เจ้าหนูน้อย ทั้งแพทย์และพยาบาลตกอยู่ในความวุ่นวายเนื่องจากกำลังช่วยชีวิตเจ้าหนูเอาไว้
ลี่เฉินซีใช้มือข้างหนึ่งพิงไปที่กำแพง ร่างของเขาเยือกเย็นดุจภูเขาน้ำแข็ง วินาทีต่อมาดวงตาอันเต็มไปด้วยเมฆหมอกปกคลุมนั้นก็หันไปจู่โจมซูย้าวที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาใช้มือข้างหนึ่งเข้าไปบีบคางของเธอเอาไว้แล้วถามว่า “คุณทำอะไรกับหมิงเอ๋ออีก?”
เธอชะงักลงพูดไม่ออก ในสมองพยายามครุ่นคิดไปต่างๆนานาแต่ก็ยังคงคิดไม่ออก จึงทำได้เพียงยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้นแล้วให้ชายหนุ่มใช้กำลังบีบบังคับเธอแต่มันก็ไม่เป็นผลได้
อารมณ์โมโหฉุนเฉียวของลี่เฉินซียังไม่อาจคลายลงได้ แต่ความโกรธกลับทวีคูณมากขึ้นเป็นล้นพ้น ซูหยวนที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบวิ่งตามออกมาแล้วใช้มืออ่อนโยนเอื้อมไปสัมผัสที่แขนของชายหนุ่มพูดว่า “เฉินซี คุณใจเย็นก่อนนะคะ……”
เธอดึงแขนของเขาเอาไว้ต้องการให้เขาปล่อยมือซูย้าวออกพูดว่า “แพทย์กำลังพยายามช่วยชีวิตไว้นะคะ เดี๋ยวรอให้ผลตรวจออกมาก็รู้เองอย่าเพิ่งรีบไป หมิงเอ๋อไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
ดวงตามืดมนของลี่เฉินซีบอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร เขาเพียงสะบัดมือของซูหยวนออกด้วยความเยือกเย็นแล้วเดินหันหลังกลับไปยืนอยู่ปากประตูห้องคนไข้มอง รอคอยด้วยความรีบร้อน
ทุกวินาทีที่ผ่านพ้นไป ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าเห็นจะได้ ทีมแพทย์ก็ค่อยๆทยอยเดินออกมา
ผู้ที่เป็นแพทย์ใหญ่ถอดหน้ากากอนามัยออกมองมาทางลี่เฉินซีรีบรายงานว่า “ท่านประธานลี่ไม่ต้องกังวลใจไป ลูกคุณไม่เป็นอะไรแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้นหัวใจอันตึงเครียดของลี่เฉินซีก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่เขาก็รีบเอ่ยถามขึ้นโดยไม่ให้เสียเวลาว่า “เป็นเพราะอะไรกันครับ?”
“แพ้อาหาร” แพทย์ให้คำตอบสั้นๆง่ายๆ “ลี่หมิงน่าจะแพ้อาหารประเภทถั่ว เมื่อกินเข้าไปจึงทำให้เกิดอาการแพ้ ไม่อาจหายใจได้เป็นปกติ โชคดีที่พบได้ทันเวลาตอนนี้จึงไม่มีอันตรายอะไรแล้ว แต่ต่อจากนี้ต้องจำเอาไว้และระวังให้ดีอย่าให้เด็กกินของประเภทนี้อีก”
อาหารจำพวกถั่ว
ตอนนี้ สมองของลี่เฉินซีเต็มไปด้วยความคิดมากมายเมื่อเขาได้ยินแพทย์กำชับเช่นนั้น หลังจากส่งทีมแพทย์กลับไปแล้ว พบว่ายังมีพยาบาลคอยดูแลลี่หมิงอยู่ในห้อง เขาจึงได้หันกลับไปมองซูหยวนด้วยสายตาเยือกเย็นพูดว่า “อาหยาน ให้หวางอี้ส่งคุณกลับไปก่อนโอเคมั้ย?”
ซูหยวนชะงักลงเล็กน้อย ดวงตาของเธอเหลือบไปมองซูย้าวที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างไม่พอใจ แม้ว่าเธอไม่อยากจะทำตามเท่าไรนัก แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง ดังนั้นจึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย
เมื่อพบว่าซูหยวนจากไปแล้ว ลี่เฉินซีก็ได้เอื้อมมือไปคว้าข้อมือของซูย้าวไว้อย่างแรงดึงเธอเดินตรงไปที่บันได
เมื่อประตูตรงทางเดินถูกปิดดัง “ปัง” ใบหน้าอันหล่อเหลาและเยือกเย็นของชายหนุ่มก็ก้มลงมาทางเธออย่างดุเดือดน่าเกรงขาม บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความอาฆาต
เขาใช้แรงบีบข้อมือของเธอเอาไว้ก่อนจะสะบัดเธอผลักไปตรงกำแพงอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ก้มลงไปตามเธอ มือข้างหนึ่ง จับไว้ที่ศีรษะซึ่งกระทบกับกำแพง ก้มหน้าลงถามเธอว่า “ลี่เจิ้ง ลี่หมิงและซีซี เด็กสามคนนี้แพ้อาหารประเภทถั่ว คุณรู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
ด้วยเหตุผลนี้เองในตระกูลลี่จึงแทบไม่มีอาหารประเภทถั่วเลย เนื่องจากป้องกันไม่ให้เด็กสามคนนี้เกิดอาการแพ้
เขาพยายามกำชับนักหนา แต่คิดไม่ถึงว่าปัญหาเช่นนี้จะเกิดขึ้น
ซูย้าวรู้สึกตกใจหวาดกลัว ดวงตาอันงดงามของเธอสั่นคลอนเล็กน้อย ขนตาอันเดียวยาวกะพริบรัว แต่ก็รู้สึกแปลกใจและขมวดคิ้วเข้าหากัน น้ำเสียงอันแหบแห้งของเธอเอ่ยถามขึ้นว่า “เพราะ เพราะอะไรคะ?”
เมื่อสิ้นเสียงลง มืออีกข้างหนึ่งของชายหนุ่มก็บีบคางเธอขึ้นมาแล้วใช้แรงกดไปที่กระดูกจนแทบแตกร้าว “ก็เพราะว่าพวกเขาได้รับพันธุกรรมมาจากคุณ เพราะคุณแพ้อาหารจำพวกถั่ว!”
น้ำเสียงอันแหบแห้งแต่ละคำของเขาดูหนักแน่น เนื่องจากพยายามเน้นย้ำในทุกๆคำที่กล่าวออกมา น้ำเสียงนั้นแสบแก้วหู ทำให้เธอชะงักลง
“อาหารของลี่หมิงทั้งสามมื้อในหนึ่งวันรวมถึงขนมและผลไม้ ผมเป็นคนจัดการให้เอง เป็นไปไม่ได้ที่พยาบาลและพี่เลี้ยงจะทำผิดพลาด มีเพียงความเป็นไปได้อย่างเดียวนั่นก็คือ นี่เป็นอาหารที่คุณนำมาให้!”
ขณะที่น้ำเสียงของเขาลดลงนั้น มือก็ดึงแย่งกล่องข้าวจากมือของเธอมาอย่างแรงและหงุดหงิด ก่อนจะเขวี้ยงลงไปที่พื้น
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แสบแก้วหูซูย้าวมาก
อาหารที่เธอนำมา…..
สีหน้าของซูย้าวดูกังวลเล็กน้อย เธอมองไปยังกล่องข้าวที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่……”
จู่ๆเธอก็ไม่กล้าพูดต่อไป ความคิดแทรกเข้ามาในสมองดูเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ขนมเค้กนั้นเธอเป็นคนทำด้วยตัวเอง เนื่องจากเธอแพ้อาหารจำพวกถั่วอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่เธอทำอาหารเองก็มักจะเลือกหลีกเลี่ยงจำพวกนั้น แน่นอนว่าเค้กคงไม่มีปัญหา
เช่นนั้นมีเพียงความเป็นไปได้อย่างเดียว นั่นก็คือซุปไก่!
ซุปไก่นี้โม่หว่านหว่านสั่งมาจากภัตตาคาร เธอเพียงแค่นำไปอุ่นเท่านั้นจึงไม่ได้มั่นใจเท่าไรนัก
เมื่อลี่เฉินซีเห็นว่าเธอพูดไม่ออก ดังนั้นเขาจึงได้พูดต่อไปด้วยความเย็นชาว่า “คุณไม่รู้หรือไงว่าตัวเองแพ้อาหารอะไร? ทำไมถึงให้เด็กๆ กินอาหารมั่วซั่วไปหมด คุณมัน……”
เขาเองก็พูดไม่ออก ความโมโหที่อยู่ในจิตใจนั้นแทบจะระเบิดออกมา แต่เมื่อมองดูเธอก็รู้สึกบอกไม่ถูกอย่างน่าประหลาดใจ!
ซูย้าวเองก็ไม่อยากจะฟังเขาพูดอีกต่อไป จึงได้พยายามหลีกเลี่ยงจากการควบคุมของชายหนุ่ม ก่อนจะเดินไปตรงกล่องข้าวที่เขาเขวี้ยงทิ้งเมื่อสักครู่แล้วก้มลงไปเก็บเศษกระเบื้องที่ด้านในยังคงมีซุปไก่เหลืออยู่เล็กน้อย เธอหยิบมันขึ้นมาโดยไม่สนใจปลายแหลมคมก่อนจะอ้าปากแล้วดื่มลงไป
เมื่อชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ชะงักลง ต่อมาคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน
ซูย้าวดื่มซุปไก่ที่อยู่ในภาชนะอันแตกร้าวจนหมด ก่อนจะหยิบชิ้นส่วนของไก่ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ปากอย่างไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น เธอกลืนมันลงไปทีละคำ ในขณะที่เธอตั้งใจจะใส่เข้าไปในปากอีกนั้นก็ถูกลี่เฉินซีเข้าไปห้ามเอาไว้
เขาก้มตัวลงไปเล็กน้อยแล้วดึงตัวเธอขึ้นมาถามว่า “คุณจะทำอะไร? คิดจะแสดงละครให้ผมสงสารหรือไง? คุณไม่คิดว่ามันไร้ความหมายเกินไปหน่อยเหรอ?”
ซูย้าวรีบกลืนทุกสิ่งในปากของเธอลงจากนั้นก็ยกมือขึ้นปัดเขาออกอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ได้แต่ลังเลไปมาและท้ายที่สุดก็กล่าวว่า “ขอโทษค่ะ”
จากนั้นเธอก็เดินผ่านเขาไป วิ่งตรงไปยังประตูลิฟต์ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่ลิฟต์มาเปิดชั้นนี้ เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปในลิฟต์เพื่อลงไปข้างล่าง
ลี่เฉินซีเดินก้าวขาออกมาแล้วมองไปยังเธอที่จากไปอย่างรีบร้อนเช่นนั้น ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความโกรธ มือทั้งสองข้างแนบลำตัวและกำเอาไว้
หลายวินาทีต่อมา ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือกดโทรออกแล้วกำชับว่า “ไปตามเธอกลับมาเดี๋ยวนี้!”
ถ้าหากว่าซุปมีความผิดปกติไปจริงๆ เธอเองก็ต้องมีอาการแพ้ด้วย หากละเลยไปบางทีอาจจะอันตรายถึงชีวิต!