สิ่งที่ซูย้าวพูดนั้นเป็นความจริง เดิมทีเธอก็เหมือนตกอยู่ในนรก แล้วจะมีอะไรต้องไปกลัวอีก?
ประกอบกับทุกสิ่งอย่างที่เธอทำก่อนหน้านี้ก็เพื่อปกป้องลี่เฉินซีพร้อมทั้งลูกอีกสามคน หากว่าเธอสืบพบว่าเรื่องเหล่านั้นมีความลับที่ไม่มีใครรู้อยู่ เช่นนั้น เธอควรจะจัดการอย่างไรกับคนร้าย?
จู่ๆซูหยวนก็รู้สึกตกใจกลัวเมื่อมองไปในดวงตาของหล่อน เธอหรี่ตาลงท่าทางตึงเครียดโดยทันที เธอไม่กลัวซูย้าวที่มีจิตใจงดงามคนนั้น แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้แม้จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับซูย้าวทุกอย่าง เรียกได้ว่าเป็นคนเดียวกันเสียด้วยซ้ำ แต่เหตุใดจึงให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแบบนี้?
“เอาแค่หอมปากหอมคอ ควรหยุดในตอนที่ยังหยุดได้ เข้าใจไหม?” น้ำเสียงอันเยือกเย็นของซูย้าวลดต่ำลง พร้อมกับดวงตาอันเป็นประกายไฟ “คุณชอบลี่เฉินซีและหากลี่เฉินซีก็ชอบคุณ ฉันจะขออวยพรให้พวกคุณรักกันชั่วฟ้าดินสลาย แต่ฉันจะพูดประโยคนี้เพียงแค่ครั้งเดียว ว่าเด็กๆสามคนนั้นถ้าคุณกล้าแตะต้องพวกเขาอีก……”
ซูย้าวจงใจลากน้ำเสียงให้ยาว เธอมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าคุณเป็นใคร แต่ฉันสามารถทำให้คุณอันธพาลหายไปจากโลกนี้ได้อีกครั้ง ไม่เหลือแม้แต่กระดูก”
ประโยคสุดท้ายซูย้าวพูดอย่างช้าๆ แต่ละคำช่างหนักแน่นเพราะเธอจงใจให้เป็นเช่นนั้น
ตอนที่เธอพูดประโยคนี้ออกมาก็ได้พยายามพิจารณาผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ไม่เว้นแม้แต่ปฏิกิริยาใดๆอันเล็กน้อย เธอสังเกตเห็นว่าดวงตาของซูหยวนเต็มไปด้วยความตกใจ เธอจึงแน่ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่อู๋หยาน
ก่อนหน้านี้เธอเพียงแค่คาดเดา ในตอนนี้วินาทีนี้เธอก็สามารถมั่นใจได้แล้ว
ซูหยวนเคยหายไปจากโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะตัวหล่อนเองยินยอมหรือเพราะเจี่ยงหลินต้องการทำเช่นนั้นก็ตามแต่ แต่เธอก็ได้หายไปจากสายตาของชาวโลกอย่างไร้ร่องรอย เหมือนกับไม่เคยมีตัวตนอยู่เลยบนโลกนี้ เธอเป็นเพียงแค่วิญญาณ ที่สลายหายไปเช่นไอน้ำ ดังนั้นเองประโยคนี้จึงทำให้ซูหยวนรู้สึกเหมือนกับจะเอาชีวิตเธอไป ขณะเดียวกันก็ได้ปลุกความโมโหและรุ่มร้อนในใจเธอขึ้น
เธอกัดฟันกรอดอย่างแรง “แก……อย่ามาพูดจาไร้สาระ มีหลักฐานอะไร!”
ซูย้าวยักไหล่ขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว “เรื่องหลักฐานน่ะเหรอ มันมีไว้ให้สำหรับพวกที่มีจิตใจยุติธรรมเท่านั้นแหละ เป็นพวกที่จัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยเหตุผลเช่นลี่เฉินซีหรือลู่ส้าวหลิง แต่สำหรับฉันมันไม่จำเป็นเพราะฉันไม่ใช่คนแบบนั้น”
“ถ้าอยากจะลองดูก็เชิญได้เลยนะ!” ซูย้าวยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็น จากนั้นทำท่าปิดประตูห้อง ก่อนจะทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “และตอนนี้ขอเชิญคุณกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเองอย่างสงบเถอะ ไปนอนรอให้คนรักของคุณกลับมา อย่ามากวนใจฉันอีก” เมื่อพูดจบ ประตูห้องก็ถูกปิดลงดัง “ปัง”
ซูหยวนยืนงงอยู่ที่ตรงทางเดิน เธอมองไปที่ประตูห้องซึ่งปิดสนิทและโมโหเสียจนกัดฟันกรอด ซูย้าว นังผู้หญิงนี่……
ในขณะเดียวกันที่เมืองอีกแห่งหนึ่ง ณ ห้องพักผู้ป่วยVVIPอันอบอุ่นหรูหรา ลี่หมิงนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเล็กกัดกินน่องไก่กินอย่างตั้งอกตั้งใจ
ลี่เฉินซีนั่งอยู่ข้างๆ เขาส่งสายตาจับจ้องไปที่โทรศัพท์มือถือ พลางฉีกเนื้อไก่เป็นชิ้นเล็กให้กับลูก แล้วใส่ลงไปในชามของเขา อีกทั้งหยิบเครื่องดื่มขึ้นมากำชับให้เจ้าหนูน้อยดื่มอยู่บ่อยๆ
เมื่อลี่หมิงกินน่องไก่หมดแล้ว ก็หยิบลูกชิ้นขึ้นมากินพลางมองไปที่โทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ “พ่อครับ ดูอะไรอยู่เหรอ?”
เมื่อลี่เฉินซีได้ยินดังนั้นก็จงใจบังหน้าจอมือถือ ส่วนลี่หมิงยังไม่ทันมองอะไรชัดเจน รู้เพียงแค่ว่าหน้าจอโทรศัพท์มือถือของพ่อคือภาพจากกล้องวงจรปิดที่อยู่ในคฤหาสน์
“ไม่มีอะไรครับ หมิงเอ๋อกินอิ่มแล้วเหรอ?” น้ำเสียงของเขาเอ่ยถามด้วยความอ่อนโยน
ลี่หมิงส่ายหน้า “ผมอยากจะกินลูกชิ้นอีกหน่อย”
ลี่เฉินซีหัวเราะขึ้น เจ้าหนูคนนี้ปกติแล้วก็เป็นคนกินจุ ดังนั้นเมื่อตอนกลางวันแม้ว่าเขาจะกินอิ่มแล้วแต่ก็ยังกินขนมเค้กและซุปไก่ที่พยาบาลเอาเข้ามาให้อีก
ลี่หมิงกินลูกชิ้นเหล่านั้นหมดในไม่กี่คำ ก่อนจะวางไม้เสียบลงด้านข้าง ดื่มน้ำอัดลมเข้าไปอีกหลายอึก “พ่อครับ แม่กลับมาแล้วใช่ไหม?”
ลี่เฉินซีที่กำลังจะเอื้อมมือไปปิดหน้าจอโทรศัพท์ก็ชะงักลงเล็กน้อย เขาหันหน้าไปทางลูกชาย “ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะครับ?
ดวงตาของเจ้าหนูน้อยอันกลมโตกะพริบ “ผมเดาเอา”
ที่จริงแล้วลี่หมิงกำลังป้องกันตนเองอยู่ ถ้าเขาบอกกับพ่อไปว่าเมื่อตอนกลางวันเขาบังเอิญได้ยินทั้งสองสนทนากันที่ด้านนอกห้อง พ่อก็คงจะไม่ชอบ
ลี่เฉินซีจึงได้ถอนหายใจลงเล็กน้อยแล้วหยิบกระดาษชำระขึ้นมาเช็ดปากลูกชายพูดว่า “หมิงเอ๋อคิดถึงแม่มากใช่ไหมครับ?”
“แน่นอนครับ!” ลี่หมิงเข้าไปซุกอยู่ในอ้อมอกของชายหนุ่มทันที มือน้อยข้างหนึ่งที่ยังกำลูกชิ้นอยู่สอดแทรกซุกตัวเข้าไป “พ่อครับ พ่อยังโกรธแม่อยู่เหรอ?”
เมื่อพูดจบ ลี่หมิงก็ขยับก้นน้อยๆของเขาแล้วเข้าไปนั่งอยู่ในตักของลี่เฉินซี มือข้างหนึ่งเกี่ยวไปที่คอของชายหนุ่มพูดว่า “อย่าโกรธเลยนะครับพ่อ ได้ไหม? แม่ไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่แต่งงานกับพ่อหรอก พ่อครับพ่อเป็นผู้ชายนะ ลูกผู้ชายต้องใจกว้าง พ่อยกโทษให้แม่นะ นะครับ นะ?”
เจ้าหนูน้อยพูดพลางยื่นใบหน้าอันหล่อเหลาของตนเข้ามาใกล้ ทำเอาเสียลี่เฉินซีทำตัวไม่ถูก เขาจึงทำได้เพียงดึงตัวเจ้าลูกชายลงมาแล้วกำชับให้เขากินอาหารต่อ ขณะเดียวกันก็พูดว่า “พ่อไม่ได้โกรธ”
“จริงเหรอครับ?” ลี่หมิงแอบสังเกตท่าทางของพ่อก่อนจะเบ้ปากน้อยๆพูดว่า “ผมไม่เชื่อ!”
เมื่อตอนกลางวันเขายังได้ยินพ่อดุแม่อยู่เลย พ่อไม่ได้โกรธตรงไหนกัน?!
ลี่เฉินซีจึงทำได้เพียงยิ้มขึ้นอย่างหมดหนทาง มือสัมผัสไปที่ศีรษะของลูกชายพูดว่า “จริงสิครับ พ่อกับแม่แค่มีปัญหา ขัดแย้งกันนิดหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”
บางทีหากว่าเจิ้งเอ๋อสามารถตื่นฟื้นขึ้นมาและแข็งแรงดังเดิมได้ หรือบางทีถ้าขาของหมิงเอ๋อสามารถหายดีเป็นปกติได้ ความผิดที่เขารู้สึกกับเธอก็อาจจะลดน้อยลงบ้าง
หรือบางทีถ้าเธอยอมอธิบายอะไรมากกว่านี้……
ช่างมันเถอะ ลี่เฉินซียิ้มออกมาเบาๆ รอยยิ้มอันอ่อนโยนนั้นแฝงไปด้วยความขมขื่น เขาพยายามเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ ซ่อนไปจากดวงตาพูดเพียงว่า “ตอนนี้หมิงเอ๋อยังเป็นเด็ก ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี จะได้แข็งแรงและไปโรงเรียน ส่วนเรื่องของพ่อกับแม่ ยังไม่ถึงขั้นที่หมิงเอ๋อต้องมาเป็นกังวล!”
ลี่หมิงเบะปากออกมาด้วยความรำคาญใจ “ที่จริงผมก็ไม่ได้อยากจะไปกังวลอะไรหรอกครับ แต่ว่า เฮ้อ……”
เสียงถอนหายใจของเจ้าหนูยืดยาว ลี่เฉินซีมองไปแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ส่วนลี่หมิง ก็ไม่มีความอยากอาหารแล้ว เขาจึงหยุดกิน
หากเขาบอกว่าพ่อเป็นคนใจร้าย และเข้าใจผิดคิดว่าคนเลวเป็นคนดีก็คงไม่เชื่อแน่ อีกทั้งยังจะบอกว่าเขายังเด็กเกินไป ไร้เดียงสา ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่เขาพยายามอดทนอดกลั้นเอาไว้ไม่พูดออกมา!
พวกผู้ใหญ่นี่ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เสมอ ลี่หมิงรู้สึกว่าตัวเขาน่าจะเป็นเด็กอายุเจ็ดขวบที่น่าสงสารที่สุดในโลกเลยก็เป็นได้ แต่ละวันจะต้องมาคอยกังวลใจเรื่องของพ่อแม่แบบนี้ ชีวิตเขามันง่ายนักหรือไง?
ลี่เฉินซีนำโต๊ะทานอาหารเลื่อนไปด้านข้างแล้วจัดการเก็บกวาด เมื่อเขาเหลือบไปมองก็พบว่าลี่หมิงนอนอยู่บนเตียง แล้วใช้หมอนขึ้นมาปิดศีรษะอันน้อยเอาไว้ ร่างกายดิ้นไปมาดูเหมือนกับงู
ลี่เฉินซีทำได้เพียงขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเดินตรงไปนั่งข้างเตียง มือข้างหนึ่งเข้าไปสัมผัสที่ขาของลูกน้อยถามว่า “เป็นอะไรอีก?”
“ปวดหัว ใช้เซลล์สมองเยอะไปหน่อย!” คำตอบที่ลี่หมิงให้เขานำมานั้นยิ่งทำให้ลี่เฉินซีงงไปมากกว่าเดิม
เขารู้ว่าลี่เจิ้งนั้นอายุไม่น้อยแล้ว ประกอบกับไอคิวจึงทำให้เจ้าหนูเข้าใจเรื่องราวหลายๆอย่างซึ่งไม่อาจปกปิดเขาได้ แต่ลี่หมิงเป็นเพียงแค่เด็กอายุเจ็ดขวบ……
“ใช้เซลล์สมองทำอะไรกัน? แล้วทำไมถึงปวดหัวอีก?”
เขาพูดจบก็เอื้อมมือไปอุ้มลูกชายเอาไว้ เนื่องจากขาของเจ้าหนูน้อยข้างหนึ่งยังคงใส่เฝือกอยู่ จึงทำให้เดินไม่ถนัดนัก ขณะที่เขาอุ้มขึ้นจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะกลัวว่าจะเจ็บ
ลี่หมิงซุกตัวเข้าไปในอ้อมอกของเขาเงยหน้ามองพูดว่า “พ่อครับ ผมอยากเจอแม่ ให้แม่มาโรงพยาบาลหน่อยได้ไหม!”
ลี่เฉินซีชะงักลงทันใด “ลูก……”
“โธ่ ผมรู้ว่าแม่กลับมาแล้ว ให้แม่มาหาผมหน่อยเถอะ! นะครับ ผมขอร้อง ได้ไหม?” ลี่หมิงไม่อยากจะปิดบังต่อไปอีกแล้ว เพราะการทำเช่นนั้นมีแต่ทำให้สมองน้อยๆของเขายิ่งปวดหนักกว่าเดิม
จากนั้นเขาก็ได้เปิดโหมดออดอ้อนขึ้น มือทั้งสองข้างจับไปที่แขนของชายหนุ่มส่ายโยกไปมา “พ่อครับ คุณพ่อแสนดี ขอร้องล่ะ ผมอยากจะเจอแม่จริงๆ!”
“แล้วก็ผมจะบอกให้เป็นความลับนะ ที่จริงพี่ใหญ่ก็ชอบแม่มากเลยล่ะ ถ้ารู้ว่าแม่มาหาบางทีพี่อาจจะฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน!”
ดวงตาของลี่เฉินซีตกอยู่ในความลึกล้ำอีกครั้งหนึ่ง เขานิ่งเงียบไปเนิ่นนานทีเดียว ท้ายที่สุดแล้วก็ทำเพียงหน้าเคร่งขรึมพูดว่า “แม่ยังไม่ได้กลับมา หมิงเอ๋อ ลูกยังเล็ก จะไปเดาอะไรซี้ซั้วกัน ดูแลตัวเองให้หายไวๆเถอะ”