ณ ห้องทำงานของท่านประธาน เป็นจุดสูงสุดของตึกระฟ้าตระหง่านตาท่ามกลางเมืองอันเจริญรุ่งเรือง
ลี่เฉินซียืนอยู่ข้างหน้าต่างซึ่งสูงตั้งแต่เพดานจรดพื้น กระจกอันโปร่งใสสะท้อนแสงอาทิตย์อัสดงจากเบื้องนอก พร่างพรายด้วยแสงอันสว่างไสว ตกกระทบมายังร่างของชายหนุ่มทำให้เขาเสมือนถูกปกคลุมไปด้วยทองคำ
หวางอี้ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มผู้นั้น ก้มศีรษะลงแล้วรายงานว่า “ประธานลี่ครับ วันนี้คนของราวกับมารายงานว่าคุณอานเดินทางไปพบคุณชายรองเจียง จากนั้นก็เดินทางไปที่โรงพยาบาลคังเหริน”
ทันทีที่ลี่เฉินซีได้ยินคำว่าคังเหริน ดวงตาของเขาก็ลึกล้ำลง ดูเหมือนจะเกิดความกังวลเล็กน้อย เนื่องจากโรงพยาบาลดังกล่าวเป็นเครือข่ายภายในประเทศ นับว่าอยู่ในการดูแลของกรุ๊ปหลิน และหลินโม่ป่ายก็ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลคังเหรินนี้
“ดูเหมือนว่าจะไปตรวจสภาพร่างกายธรรมดาเท่านั้นไม่มีอะไรผิดปกติครับ” เมื่อหวางอี้พูดจบก็ได้ยื่นเอกสารอีกฉบับหนึ่งไปให้ชายหนุ่ม “ประธานลี่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ คนของเราพยายามตรวจสอบเรื่องที่ต่างประเทศแต่ก็ตรวจไม่พบเรื่องอะไรเกี่ยวกับคุณหญิงเลย”
“ส่วนญาติของคุณอาน ก็มีเพียงแค่เซียวหยางและหลี่สวี่ตงแค่สองคน ทั้งสองคนนี้ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา ส่วนธนาคารบัญชีธนาคารของคุณอานก็ไม่มีบันทึกอะไรที่น่าสงสัย ท่านลองดู……”
หวางอี้ลากน้ำเสียงยาว ตัวเขารู้สึกว่ามันน่าประหลาดใจจริงๆ การที่เจี่ยงเวินอี๋หายตัวไปนั้นต้องเกี่ยวข้องกับซูย้าวอย่างแน่นอนและเธอคงจะตั้งใจทำดังนั้น แต่ผ่านไปเนิ่นนานขนาดนี้ก็ยังไม่พบแม้แต่ร่องรอยใดๆทั้งสิ้นซึ่งมันหมายความว่าอะไรกันแน่?
ลี่เฉินซีรับเอกสารนั้นไปเปิดดู ภายในนั้นก็คือตารางการเดินทางของคนที่หลายเดือนมานี้เคยติดต่อกับซูย้าว ซึ่งมันไม่มีอะไรที่น่าสงสัยเลยจริงๆ
“ท่านว่าเป็นไปได้หรือไม่ ว่าคุณหญิงจะไม่ได้ถูกลักพาตัว?” ที่จริงหวางอี้ก็เพียงเดาออกไปอย่างกล้าหาญ เมื่อเขาพูดจบก็ได้เสริมขึ้นอีกประโยคหนึ่งว่า “ไม่เช่นนั้นพวกเราสืบมาเป็นเวลาเนิ่นนานขนาดนี้ทำไมถึงไม่มีข่าวคราวอะไรคืบหน้าเลยครับ?”
อานหว่านชิงไม่เหมือนกับอานเจียเย้น เธอไม่มีลูกมือมากมายนัก และไม่มีคนที่ไว้ใจได้สักเท่าไหร่ ดังนั้นการที่จะตรวจสอบออกมาก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ดวงตาของลี่เฉินซีลึกล้ำลงก่อนจะปิดเอกสารแล้วยื่นส่งคืนไปให้หวางอี้ “เรื่องไตของเธอตรวจสอบเรียบร้อยแล้วเหรอ?”
“เอ่อคือเรื่องนี้……” ดูเหมือนหวางอี้จะละเลยไปเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะชะงักลงแล้วก้มหน้า “ขอโทษครับ ผมลืมไปเลย ผมจะไปสืบมาเดี๋ยวนี้”
ใบหน้าเย็นชาของลี่เฉินซีไม่ได้แสดงอารมณ์ได้ออกมา เขาเพียงจ้องไปที่พระอาทิตย์ด้านนอกแล้วหรี่ตาลงอย่างช้าๆ
ผู้หญิงคนนี้แม้เธอจะพูดออกมาอยู่เสมอว่าตัวเธอเคยถูกนำไปขาย แต่เขาจะเชื่อได้อย่างไร!
ไม่ว่าเธอจะเป็นซูย้าวหรือเป็นอานหว่านชิง แต่ไอคิวและความคิดของเธอก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ถ้าเธอไม่ถูกบีบบังคับจนถึงที่สุด เธอจะใช้ร่างกายของตนเองมาล้อเล่นแบบนี้เหรอ ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องมีเหตุผลอื่นอย่างแน่
หวางอี้ที่อยู่ข้างๆดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบพูดขึ้นว่า “ประธานลี่ครับ คืนนี้มีงานเลี้ยงอาหารค่ำการกุศล ไม่ทราบว่าท่าน……”
งานเลี้ยงเพื่อการกุศลนี้ไม่ใช่ว่าจัดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ทุกๆไตรมาสจะถูกจัดขึ้นโดยใช้ชื่อของเจี่ยงเวินอี๋ และต่อมาก็ได้กลายเป็นกิจวัตรในชนชั้นสูงอย่างไม่รู้ตัว
ใบหน้าอันเยือกเย็นของชายหนุ่มดูเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง จู่ๆประตูห้องทำงานก็ถูกเคาะขึ้นเสียงดัง “ก๊อกๆ” ผ่านไปชั่วครู่ร่างของซูหยวนก็เดินตรงเข้ามาอย่างสง่างาม
“เฉินซี ยุ่งอยู่เหรอคะ? ฉันเข้ามารบกวนคุณหรือเปล่า?” เธอหยุดฝีเท้าลงไม่ได้เดินหน้าต่อไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความลังเลใจและดูเขินอายเล็กน้อย
สีหน้าของลี่เฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลงเขาพูดขึ้นเพียงว่า “ไม่เป็นไร” จากนั้นเขาก็จงใจให้หวางอี้ออกไปจากห้อง ซูหยวนจึงใช้เวลาช่วงที่เหมาะสมเดินเข้าไปพบเขาแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสกับแขนของชายหนุ่มอย่างเป็นกันเอง “ฉันไปเดินช้อปปิ้งมาทั้งตอนบ่ายเมื่อยจังเลยค่ะ ตอนกลางคืนเรากินข้าวด้วยกันไหม?”
ลี่เฉินซีมองไปยังเธอ ในตาอันลึกล้ำของเขาเต็มไปด้วยความซับซ้อน แต่ทันใดนั้นริมฝีปากบางเบาก็เผยอขึ้นเล็กน้อย พูดอย่างสงบว่า “คุณไปออกงานราตรีกับผมหน่อยเถอะนะ”
ซูหยวนตกตะลึง “งานราตรี? ให้ฉันไปเป็นเพื่อนคุณเหรอคะ?”
หลายเดือนมานี้เธอพยายามทำตัวว่านอนสอนง่ายและอยู่ข้างกายเขา ต่อให้รู้ว่าชายหนุ่มจงใจจะสร้างสถานการณ์ขึ้นมา เธอก็เพียงแค่ให้ความร่วมมืออย่างเงียบๆ ส่วนการเดินทางไปงานราตรีด้วยกัน สถานการณ์ที่เปิดเผยเช่นนี้ก็หมายความว่าเขายอมรับในการมีอยู่ของตัวตนเธอไม่ใช่หรือไง?!
ในใจเธอรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็พยายามเก็บความปลื้มปีตินั้นเอาไว้แล้วก้มหน้าทำเป็นเขินอาย “ทำแบบนี้จะดีจริงๆเหรอคะ? สถานการณ์งานเช่นนั้นพาฉันไปด้วยจะเหมาะสมจริงๆเหรอคะ?”
ลี่เฉินซียิ้มขึ้นอย่างสดใส “จะเป็นไรไปล่ะครับ คุณไปเตรียมตัวเถอะ!”
“ค่ะ!” เธอรีบพยักหน้าตอบรับ ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวังและรอยยิ้มที่ไม่เคยมีมาก่อน
……
ในขณะเดียวกันที่โรงพยาบาลคังเหริน ณ ห้องผ่าตัดชั้นบนสุด ซูย้าวเพิ่งจะให้แพทย์ดึงไหมออก แม้จะมีอาการรอยแดงบวมอยู่บ้างแต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้นก็นับว่าดีขึ้นมากเลยทีเดียว
“รอยแผลยังมีร่องรอยของการติดเชื้ออยู่บ้างถ้ายังบวมแบบนี้ต่อไปก็จะต้องมารักษาที่โรงพยาบาลอีก ในช่วงเวลานี้ให้ทานยาแก้อักเสบไปก่อนนะครับ” แพทย์ให้คำชี้นำและกำชับ
ซูย้าวพยักหน้าอย่างตั้งใจ หลังจากที่แพทย์เดินทางออกไปแล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย เธอตรงไปยังที่แผนกCTซึ่งก่อนหน้านี้ได้ทำการเอ็กซเรย์เอาไว้ ตอนนี้ได้เวลาไปรับพอดี
ตรงแผนกที่รับผลมีคนอยู่บ้างเล็กน้อย ซูย้าวยืนต่อแถวอยู่ที่ท้ายแถว ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นร่างหนึ่งเดินมาท่ามกลางฝูงชนโดยบังเอิญ
ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดสูทรองเท้าหนัง เสื้อคลุมสีขาวตัวยาว ด้านหลังมีคนติดตามมาอยู่หลายคน การถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชน ทำให้เขาดูโดดเด่นและหล่อเหลามาก
บริเวณไม่ไกลไม่ไกลออกไปนั้น ชายหนุ่มก็ได้สังเกตเห็นเธอท่ามกลางฝูงชนมากมายเช่นกัน ดวงตาของเขาชะงักลง จากนั้นก็รีบให้คนที่ติดตามมากลับไปทำธุระของตนเองก่อนจะเดินตรงมาที่ข้างกายของเธอ เมื่อเดินมาใกล้ๆ เขาก็โผเข้ามากอดเธอโดยไม่ลังเล
“ซูย้าว!” หลินโม่ป่ายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันกลมกล่อมดุจเสียงของสวรรค์เป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์ที่สุด
เธอชะงักลงเล็กน้อยจากนั้นก็ได้ยินเขาพูดขึ้นว่า “ผมรู้ว่าจะต้องพบคุณที่นี่!”
เวลาสองปีที่ซูย้าวหายตัวไปนั้น หลินโม่ป่ายก็เชื่ออย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกับลี่เฉินซีว่าเธอไม่ได้ตาย และยังมีชีวิตอยู่ที่ใดที่หนึ่งในโลกใบนี้ แต่เขาไม่ได้ส่งคนออกไปตามหา เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าถ้าทั้งสองคนมีโชคชะตาต่อกันก็จะมีโอกาสพบหน้ากันอีกครั้งหนึ่งเป็นแน่
ไม่จำเป็นต้องไปจงใจหรือคำนวณใดๆ คำว่าโชคชะตานั้นคือสิ่งที่นำมาโดยไม่รู้ตัว มันเป็นความรู้สึกที่เผชิญหน้าโดยไม่ได้คาดเดาและงดงามยิ่งนัก
ซูย้าวชะงักลงจากนั้นพยายามผละออกจากอ้อมแขนของเขา สายตาเหลือบไปเห็นป้ายที่ติดหน้าอกของชายหนุ่มเขียนว่า ผู้อำนวยการหลินโม่ป่าย ดวงตาของเธอก็เป็นประกาย
“หลินโม่ป่าย” เธอพึมพำชื่อของเขาออกมา “พวกเราน่าจะรู้จักกันมาก่อน”
ก่อนหน้านั้นเธอเคยทำการสำรวจข้อมูลของซูย้าวและเคยพบชื่อนี้ อีกทั้งได้ยินเรื่องเล่าจากปากของโม่หว่านหว่านด้วยดังนั้น เธอจึงรู้ได้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่เพียงแต่แค่รู้จักกันอย่างธรรมดา แต่อาจจะ……
หลินโม่ป่ายขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เขาครุ่นคิดแล้วจับมือเธอเดินตรงขึ้นไปที่ชั้นบน “ไปที่ห้องทำงานผมก่อนเถอะ”
เขารับรู้สถานการณ์ของซูย้าวมาจากโม่หว่านหว่านบ้างเล็กน้อย รู้ว่าเธอสูญเสียความทรงจำไปอีกทั้งยังรู้ถึงชื่อและตัวตนของเธอในตอนนี้
รอเมื่อเดินขึ้นไปถึงห้องทำงานเรียบร้อยแล้วเขาก็เชิญให้เธอนั่งลง เดินอ้อมไปรินน้ำร้อนให้กับเธอแก้วหนึ่ง หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจึงได้นั่งลงที่ตำแหน่งข้างๆเธอ สายตาของเขามองไปยังเธอด้วยความลึกล้ำ “พวกเราไม่เพียงแค่รู้จักกันธรรมดาเท่านั้น”
“พวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก และมีความสัมพันธ์อันดีงาม เติบโตขึ้นมาด้วยกัน หลายต่อหลายครั้งที่พวกเราเกือบจะได้แต่งงานกันแล้ว ดังนั้น……ผมนับว่าเกือบจะเป็นแฟนเก่าของคุณก็ได้!”
แม้ว่าจะไม่เคยคบกันอย่างเป็นทางการ จึงไม่สามารถนับได้ว่าเป็นแฟนเก่า แต่เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยมากมายที่เข้ามาปะปนท่ามกลางพวกเขา ต่อให้เขาจะพูดออกมาว่าตนเป็นแฟนเก่าก็เป็นเรื่องปกติ
ซูย้าวพยักหน้าอย่างงุนงง “อ๋อ เหรอคะ อย่างนี้นี่เอง”
เขายิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยนแล้วยกมือขึ้นลูบหัวของเธอ มองไปยังผมยาวสลวยแล้วยิ้มอย่างสดใสมากขึ้น “ไหนเล่าให้ผมฟังสิว่าทำไมถึงมาที่โรงพยาบาลได้? ไม่สบายตรงไหนเหรอครับ?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ จู่ๆเธอก็นึกขึ้นมาได้แล้วตอบกลับไปว่า “ฉันเกือบจะลืมไปแล้วเชียวฉันต้องไปเอาแผ่นฟิล์ม!”
หลินโม่ป่ายตกตะลึง “แผ่นฟิล์ม?”
จากนั้นไม่รอให้ซูย้าวตอบอะไรกลับมา เขาก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วกดโทรออก หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนส่งแผ่นฟิล์มของเธอเข้ามาในห้อง
เมื่อหลินโม่ป่ายรับมันไปอ่าน เขาก็ส่องไปยังทิศทางที่มีแสง ทันใดนั้นใบหน้าอันขาวผ่องหล่อเหลาของเขาก็ปรากฏเป็นสีหน้าเคร่งเครียด