ถ้าหากว่าซูย้าวสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเธอเดินทางมายังโรงพยาบาลคังเหริน ต่อให้ตายเธอก็จะไม่เลือกมาที่โรงพยาบาลนี้อย่างแน่นอน!
แต่เรื่องบังเอิญทุกสิ่งในโลกใบนี้ ก็เกิดขึ้นโดยที่ไม่อาจคาดเดาได้ไม่ใช่หรือไง?
เธอยิ่งคิดยิ่งรู้สึกสับสนจึงได้ส่ายหน้าออกมา ขณะที่เดินออกจากโรงพยาบาลนั้น ด้านนอกถูกความมืดครอบคลุมไว้ตั้งนานแล้ว เธอยืนอยู่ข้างถนนมองดูรถที่วิ่งผ่านไปมาแล้วพยายามหารถแท็กซี่ที่ยังว่างอยู่
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่เคยจะโบกรถแท็กซี่ได้คันหนึ่ง แต่เมื่อเธอเพิ่งจะขึ้นรถไปโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
หลังจากรับโทรศัพท์แล้ว อีกด้านหนึ่งคือเจียงจี้ฉีก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันชัดเจนว่า “สิ่งที่คุณให้ผมไปตรวจสอบ ผมสืบออกมาแล้วพบว่าซูหยวนหายไปจากโลกนี้ราวกับไอน้ำ หนึ่งปีกว่ามานี้ไม่มีข้อมูลใดของเธอเลย”
“แล้วก็อู๋หยาน คนของผมสืบพบมาว่าเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน เธอบินไปกลับที่ประเทศHอยู่หลายครั้ง อีกทั้งยังได้เข้าพบกับคณบดีของโรงพยาบาลศัลยกรรมหลายครั้งด้วย ดูเหมือนเธอจะทำเรื่องลับๆซ่อนๆ ตอนนี้คนของผมกำลังเดินทางไปตรวจสอบแล้ว คาดว่าคงจะรู้ผลภายในสองวัน”
เจียงจี้ฉีทำงานได้รวดเร็วมีประสิทธิภาพจริงๆ ซูย้าวเผยอยิ้มขึ้นอย่างพออกพอใจ “อืม ฝากด้วยนะคะ”
“ถึงอย่างไรเสียผมเองที่เป็นคนติดหนี้บุญคุณคุณก่อน อีกทั้งเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ถ้าหากว่าอู๋หยานผิดปกติไปจริงๆละก็ ด้านของพี่ชายผมก็คงได้รับความช่วยเหลือเช่นกัน ดังนั้นก็นับว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย!”
เจียงจี้ฉีพูดออกมาอีกสองสามประโยค จากนั้นทั้งสองคนก็จบการสนทนากัน
ซูย้าวกำโทรศัพท์เอาไว้ในมือ สายตาของเธอมองออกไปนอกหน้าต่างรถยังข้างทางที่มีแสงไฟสว่างไสว เธอตกอยู่ในความคิดอันหนักอึ้ง เป็นไปดังที่เธอคาดกันไว้จริงๆ อู๋หยานในตอนนี้คาดว่าคงจะเป็นซูหยวนปลอมตัวมา
น่าเสียดายเหลือเกินที่เธอยังไม่ได้รื้อฟื้นคืนความทรงจำเดิมกลับมาทั้งหมด ตอนนั้นระหว่างเธอกับซูหยวนเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาบ้างเธอก็จำไม่ได้
แต่ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้โดยบังเอิญ จึงได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และส่งข้อความฉบับหนึ่งไปให้กับเจียงจี้ฉีขอร้องให้เขาช่วยจัดการเรื่องอีกสักเล็กน้อย
ในขณะที่เธอส่งข้อความออกไป เธอก็ได้รับข้อความฉบับหนึ่งเช่นกัน
เป็นข้อความที่ซูหยวนส่งมา มันขึ้นต้นด้วยที่อยู่แห่งหนึ่ง จากนั้นก็มีรูปภาพหนึ่งใบประกอบกับคำอธิบายด้านล่างว่า “จะลองมาที่นี่ดูหน่อยไหม? มีเซอร์ไพรส์ให้คุณดู!”
รูปภาพใบนั้นก็คือภาพที่เธอกำลังเดินจูงมือกับลี่เฉินซี เพียงแต่ไม่ได้ถ่ายออกมาให้เห็นหน้าทั้งสองคน ถ่ายให้เห็นเพียงนิ้วมือทั้งสิบของพวกเขาประสานกัน แม้จะเป็นภาพที่เรียบง่ายแต่ก็ทำให้เธอรู้สึกคิดไปต่างๆนานา
เมื่อซูย้าวเห็นสถานที่นั้น เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วครุ่นคิด ก่อนจะสั่งให้คนขับรถเปลี่ยนที่อยู่โดยกะทันหัน
ที่งานเลี้ยงการกุศล ณ ห้องโถงใหญ่อันหรูหราของโรงแรมซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงาน คนที่เดินทางร่วมงานล้วนเป็นนักธุรกิจในเมืองที่มีชื่อเสียง จึงดึงดูดนักข่าวมาจำนวนไม่น้อยและรอคอยจะถ่ายภาพอยู่ที่ด้านนอกโรงแรม
ตอนที่ซูย้าวเดินทางมาถึงนั้น ก็เกือบจะถูกห้อมล้อมไปด้วยนักข่าว แต่โชคดีเหลือเกินที่วันนี้เธอไม่ได้แต่งตัวเหมือนกับ บรรดาชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเธอช่างธรรมดาเหลือเกินจึงทำให้ไม่เป็นจุดสนใจ
ในขณะที่เธอกำลังจะใช้โอกาสนี้ซุกซ่อนเข้าไปในฝูงชนเพื่อจะเข้าไปในโรงแรม ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากที่ไกลๆแว่วเข้ามาในหูอย่างกะทันหัน
“คุณอาน!”
น้ำเสียงของซูหยวนดังฟังชัด วินาทีนั้นจึงทำให้บรรดานักข่าวที่กำลังล้อมรอบรอถ่ายภาพคนมาร่วมงานถูกรบกวนขึ้น และหันไปทางเธอ
ท่ามกลางฝูงชนใครบางคนสายตาค่อนข้างล่อแหลม มองออกได้ทันทีว่าเป็นซูย้าว “เป็นคุณอานหว่านชิงจริงๆด้วย!”
จากนั้นบรรดานักข่าวกลุ่มใหญ่ก็ได้แบกเครื่องไม้เครื่องมือของตนวิ่งมายังทางเธอ มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ คนจำนวนมากมายก็พากันถ่ายรูปเธออย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังมีใครบางคนยื่นไมโครโฟนเข้ามาใกล้ๆเธอถามว่า
“คุณอานคะ ได้ยินว่าเมื่อสามเดือนก่อนคุณและคุณชายลี่ประธานบริษัทลี่ซื่อได้จัดงานแต่งงานขึ้น แต่ในพิธีงานในวันนั้นเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ขึ้นมาเสียก่อนจึงทำให้ต้องยุติลง มีใครบางคนบอกว่า เหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนั้นเป็นการจงใจจุดไฟขึ้น อีกทั้งยังมีคนกล่าวว่าคุณคือคนที่จุดไฟมันขึ้นเอง ไม่ทราบว่าเป็นอย่างนี้จริงหรือเปล่าคะ?”
“และตอนนี้ความสัมพันธ์ของคุณและประธานลี่เป็นอย่างไรกัน?”
บรรดานักข่าวที่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านเหล่านั้นเอ่ยถามคำถามมามากมาย คำพูดอันแหลมคมดุจกับดาบพุ่งทะยานมาทางเธอไม่หยุดหย่อน
ซูย้าวขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างรำคาญใจ ต่อจากนั้นเธอก็ถูกฝูงคนเหล่านี้ทำให้ปวดหัว จู่ๆสายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำลังเดินควงกับหญิงสาวของเขา
ลี่เฉินซีเหลือบตามามองยังเธอ และสังเกตเห็นได้ว่าตัวเธอในตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกอยู่ในความสับสน แต่กลับทำเป็นไม่ชี้ไม่รู้ไม่ชี้ แล้วละสายตาไปด้วยความเยือกเย็น
ซูหยวนที่วันนี้แต่งกายอย่างสง่างามเดินควงชายหนุ่มเอาไว้ รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้า แม้ว่าตอนนี้เธอจะถูกนักข่าวรายล้อมจำนวนมาก แต่เธอก็ยังรู้สึกสงบนิ่งและผ่อนคลาย
ซูย้าวสุดลมหายใจเข้าลึก ดูเหมือนเธอกำลังครุ่นคิดว่าจะจัดการกับปัญหานักข่าวที่ตามตอแยไม่เลิกเหล่านี้อย่างไร ชายหนุ่มก็ได้พูดขึ้นว่า
“ผมและคุณอานหว่านชิงได้ยกเลิกสัญญาการแต่งงานกันเมื่อสามเดือนก่อน ดังนั้นผมและเธอในตอนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด”
ประโยคนี้ของลี่เฉินซีได้ขจัดความสงสัยและการคาดเดาของนักข่าวก่อนหน้านี้ไปจนสิ้น ต่อจากนั้นเขาก็ได้เอ่ยขึ้นอีกประโยคหนึ่งว่า “ดังนั้นกรุณาอย่าเข้าใจคุณอู๋ผิดไปเนื่องด้วยเหตุนี้”
แต่ละประโยคเมื่อพูดจบ ก็ราวกับมีมีดแหลมคมล่องหนแทงเข้ามากลางใจของซูย้าว
ที่จริงแล้วการที่เขาอยากจะตัดความสัมพันธ์เด็ดขาดออกจากเธอ ก็เพียงเพราะต้องการรักษาชื่อเสียงของหญิงสาวข้างกายของเขานั่นเอง!
ด้านของนักข่าวที่รุมล้อมอยู่ตรงหน้านั้น รู้สึกได้ว่าไม่อาจได้รับข่าวประเด็นร้อนใดๆจากเขาอีก จึงได้หันมาให้ความสนใจกับซูย้าว และยิงคำถามไปยังเธอต่างๆนานา คำถามเหล่านั้นมากมายและหัวข้อก็เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย
ซูย้าวได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออด แต่ทันใดนั้นก็ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาโอบเอวของเธอด้วยแรงมหาศาล อีกทั้งดึงตัวเธอเข้าไปในอ้อมอก วินาทีที่เธอกำลังตกตะลึงก็ได้เงยหน้าขึ้นมองพบใบหน้าอันหล่อเหลา และสง่างามของเพ้ยส้าวหลี่
เขาโอบเอวเธอไว้แน่น สายตาอันเยือกเย็นมองไปยังนักข่าวเหล่านั้น ก่อนจะเหล่ตามองไปที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงได้เข้ามาคุ้มกันเอาไว้ เขาพูดขึ้นต่อหน้าทุกคนว่า “เหตุการณ์ ไฟไหม้เมื่อสามเดือนก่อน ทางตำรวจกำลังเร่งสืบหาเหตุผล และไม่เกี่ยวข้องใดๆกับคุณอาน เธอไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องใด”
“ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของคุณอานและท่านประธานลี่ เมื่อสักครู่ประธานลี่ก็ได้อธิบายด้วยตนเองแล้ว คาดว่าทุกคนคงจะได้ยินใช่หรือไม่?”
เมื่อพูดจบ เขาก็โอบเอวซูย้าวจะหันหลังเดินจากไป แต่นักข่าวเหล่านั้นหรือจะปล่อยโอกาสที่ยากจะพานพบเช่นนี้ได้ พวกเขาไม่สนใจการสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่กลับมีคนแทรกตัวเข้าไป
นักข่าวใจกล้าคนนั้นยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งสองคนถามขึ้นว่า “ดังนั้น เรื่องที่ได้ยินมาว่าคุณอานหว่านชิงเป็นคู่หมั้นของประธานเพ้ยเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่ครับ?”
และก็มีคนวิ่งตามเข้ามาถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าท่านประธานเพ้ยกับคุณอานในตอนนี้สถานะเป็นอะไรกัน?”
นักข่าวเหล่านี้หันเหความสนใจไปยังเรื่องของเพ้ยส้าวหลี่ ดูเหมือนว่าถ้าพวกเขาไม่ได้คำตอบที่ต้องการก็คงจะไม่หยุดลงง่ายๆ
ดวงตาของซูย้าวดูลึกล้ำลงไป แม้ว่าในตอนนี้เธอจะทำตัวไม่ถูก แต่สำหรับเธอแล้วมันควรจะเป็นโอกาสที่ดีไม่ใช่หรือ?
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็หันหลังกลับไปยกมือขึ้นโอบคอเพ้ยส้าวหลี่ มืออีกข้างหนึ่งดึงไปที่เนกไทของชายหนุ่ม เธอเขย่งเท้าขึ้นแล้วจูบไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายผู้นั้น
การกระทำของเธอนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แม้แต่เพ้ยส้าวหลี่เองก็คิดไม่ถึง จึงทำให้เขารู้สึกมึนงงตั้งแต่แรกเริ่มจนบัดนี้
ซูย้าวเพียงแค่จุมพิตเบาๆ แล้วปล่อยเขาออก ก่อนจะหันไปทางนักข่าวที่ยืนตกตะลึงเหล่านั้นพูดว่า “เห็นหรือยังคะ? ทุกท่านว่าดิฉันและประธานเพ้ยเป็นอะไรกันล่ะ?”
“ข่าวก่อนหน้านั้นไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล่าข่าวลือ ฉันคือคู่หมั้นของประธานเพ้ย ส่วนเรื่องระหว่างประธานลี่นั้นเป็นเพียงแค่ข่าวลือ แต่ก็จะว่าไปประธานลี่เป็นชายหนุ่มที่มีความโดดเด่นมากเลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อฉันต้องเผชิญหน้ากับตัวเลือกเช่นนี้จึงทำให้รู้สึกสับสนและเลือกผิดไปก็เท่านั้น แต่โชคดีเหลือเกินเหตุการณ์ไฟไหม้ในขึ้นก่อน ทำให้ฉันเข้าใจและชัดเจนว่าแท้จริงแล้วภายในใจของฉันใครคือคนที่รักมากที่สุด”
เมื่อเธอพูดจบก็เข้าไปโอบแขนของเพ้ยส้าวหลี่เอาไว้ ดวงตาของเธอเหลือบไปสังเกตเห็นใบหน้าอันมืดมนน่าสะพรึงกลัวของลี่เฉินซีที่อยู่ด้านข้าง แต่เธอก็ยังแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น สายตาอันอ่อนโยนอบอุ่นมองไปทางเพ้ยส้าวหลี่แล้วพูดว่า “ส้าวหลี่คะ พวกเราแต่งงานกันเถอะ!”
จู่ๆบรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างพลิกผัน เดิมทีนักข่าวเหล่านี้เพียงแค่อยากจะรู้ข่าวซุบซิบ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ละคนจึงได้ทำตัวสดชื่นกระฉับกระเฉงและคอยดูท่าทางของทั้งสองคนอย่างจริงจัง
อีกทั้งยังมีคนกลุ่มหนึ่งเอ่ยเสียงเชียร์ขึ้นว่า “ตกลงตกลง!”
เพ้ยส้าวหลี่เองก็ค่อยๆตื่นขึ้นจากภวังค์ท่ามกลางเสียงเชียร์โห่ร้องอันดังสนั่น เขามองไปยังหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างอย่างตกตะลึง จากนั้นกำมือแน่นแล้วโน้มตัวลงไป จับใบหน้าของเธอก่อนจุมพิตลง