ความรู้สึกกับความทรงจำ
ทั้งสองอย่างนี้ดูเหมือนเป็นภาพลวงตา และมักถูกผู้คนทิ้งขว้าง อยากที่จะขุดคุ้ยสิ่งที่ไม่ชอบ แต่ก็มักจะ มีความสัมพันธ์กัน และมีความสำคัญ
ความทรงจำในช่วงชีวิตหนึ่ง ตั้งแต่จดจำเรื่องราวแล้วค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จนกระทั่งล่วงลับ ลาโลกไป ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บ ความสุข หรือความเศร้า ความทุกข์ ล้วนเป็นสิ่งที่ได้ยินได้เห็นกับตัวเอง สัมผัสมันด้วยตัวเอง การมีอยู่ของมัน ถึงจะเป็นความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ของทุกคน
แล้วอารมณ์ ครอบครัว มิตรภาพ แม้กระทั่งความรักในช่วงชีวิตหนึ่ง ก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
การที่มนุษย์สามารถเป็นมนุษย์ได้ สามารถมีความแตกต่างระหว่างความดีความชั่ว แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน ก็เพราะมนุษย์มีความรู้สึกที่พิเศษ มีความเห็นอกเห็นใจ รวมถึงมีความสุขทุกข์จากการรักใครสักคน
อายุของลี่เจิ้งนับว่าไม่เด็กแล้ว เพราะผ่านวันเกิดปีนี้ไปแล้ว ดังนั้นจึงอายุสิบขวบเต็ม ผ่านช่วงอายุที่จะจดจำเรื่องราวมานานแล้ว ดังนั้นถ้าหากสูญเสียทั้งสองอย่างนี้ สำหรับอนาคตทั้งหมดของเขา……
มันเป็นหลุมบ่อเกินไป และไม่ยุติธรรมเกินไป
แต่การมีชีวิตอยู่บนโลก ที่ไหนเมื่อไหร่ที่มีความยุติธรรมอย่างแท้จริงอยู่ล่ะ?
ถึงยังไงลูกก็ยังเล็ก โรคก็กำลังพัฒนา ดังนั้นหมอจึงให้คำชี้แจงและคำอธิบายอย่างกว้างๆ หวังให้ทางครอบครัวเตรียมใจไว้ให้พร้อม แต่เรื่องพวกนี้สำคัญเป็นรอง รักษาชีวิตของเด็กไว้ให้ได้ก่อน ฟื้นฟูร่างกาย นี่ถึงจะสำคัญที่สุด
ลี่เฉินซีคุยกับหมออยู่สักพัก หลังจากเข้าใจอาการโดยทั่วไปของลูก และความเป็นไปได้ต่างๆ ในอนาคตแล้ว ก็สิ้นสุดบทสนทนา
เมื่อเขากลับมาที่ห้องผู้ป่วยอีกครั้ง ลี่หมิงกำลังนอนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย จับมือของพี่ชาย พูดบางอย่างเสียงเบา
จากการมาของลี่เฉินซี ลี่หมิงก็หยุดเสียงพูดลงทันที แล้วเอียงศีรษะมองเขา “พ่อ พ่อยังคิดว่าผมโกหกอยู่ไหม?”
เขาถูกลูกแซวจนขำพรวดออกมา โน้มตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างแล้วอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน “เด็กบ๊อง พ่อพูดเมื่อไหร่ว่าลูกโกหก? พ่อเชื่อลูกนะ”
ลี่หมิงกลับมุ่ยปากเล็กๆ เขาไม่เชื่อหรอก ถ้าพ่อเชื่อคำพูดของเขา งั้นก่อนหน้านี้เขาเคยพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าน้า ‘อู๋หยาน’ไม่ดี เป็นผู้หญิงใจร้าย แต่เขาก็ยังตัวติดกับเธอ คุยไปยิ้มไป
เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อเขาเลยสักนิด!
เห็นลูกชายเบะปากเล็กๆ ลี่เฉินซีก็ก้มหน้ามองไปที่เขา “สายตาเล็กๆ นี่ เป็นอะไรหรอ?”
ลี่หมิงยกมือขึ้นโอบคอของชายหนุ่ม อิงแอบข้างหูเขา “พ่อ ถ้าพ่อเชื่อผม งั้นก็ไม่ต้องสนใจน้าอู๋แล้ว เธอไม่ใช่คนดี!”
แววตาลี่เฉินซีขยับเล็กน้อย คำพูดแบบนี้ ลี่หมิงเคยพูดหลายครั้งแล้ว
หลังจากเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่นั้น ลี่หมิงก็ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพื่อทำการผ่าตัดช่วยเหลือ หลังได้รับการรักษา ลูกก็ฟื้นขึ้นช้าๆ คำพูดแรกก็เป็นคำพูดประมาณนี้
ตอนนั้น ต่อหน้าเขาไม่ได้สนใจซักเท่าไหร่ แต่โดยส่วนตัว ก็ให้หวางอี้ตรวจสอบอู๋หยานไม่หยุด และส่งคนไปติดตามอยู่ลับๆ จนกระทั่งวันนี้ คนที่ส่งไปก็ยังดำเนินการต่อ
แต่ก็ยังไม่มีเบาะแส และตรวจไม่เจออะไร ดังนั้น ตอนนี้ทำได้เพียงเท่านี้
หลังจากนั้น ลี่หมิงเองก็เคยพูดคำพูดประมาณนี้ไม่หยุด แต่เขาก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ จากนั้นก็ยิ้มให้ ถึงอย่างไร ลูกก็ยังเล็กเกินไป เร็วไปที่จะเข้าสู่ข้อพิพาทของผู้ใหญ่ ไม่ค่อยดี
เขาไม่ต้องการให้เรื่องเหล่านี้ มาทำให้ลูกเกิดแรงกดดัน หรือส่งผลกระทบที่ไม่ดี
ตอนนี้เขาก็เป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงเพียงแค่ยิ้มออกมา “หมิงเอ๋อ น้าอู๋เป็นเพื่อนของพ่อ ลูกต้องรู้มารยาท จะพูดลับหลังผู้อื่นแบบนี้ไม่ได้ รู้ไหม?”
ลี่หมิงมุ่ยปากเล็กๆ ขึ้นอีกครั้งอย่างไม่อดทน “ดูสิ ผมรู้อยู่แล้วว่าพ่อไม่เชื่อผม เอาแต่คิดว่าผมยังเด็ก เห้อ…..”
เด็กน้อยขมวดคิ้วไม่ปล่อย เขาก็ดูเหมือนใกล้จะโตแล้ว จากนั้นก็สามารถแก้แค้นศัตรูได้ ไม่งั้นต้องมองดูพี่ใหญ่กลายเป็นแบบนี้ทุกวัน ผ่อนคลายตัวเอง อู๋หยานที่เข้าๆ ออกๆ ที่นี่ หัวใจดวงเล็กๆ ของเขา ก็ทนไม่ไหวแล้ว อยากที่จะระเบิดออกมา!
ลี่เฉินซีเกลี้ยกล่อมเขา “เอาน่า ไม่ต้องไม่พอใจแล้ว เรื่องที่ลูกเป็นห่วง ปล่อยให้พ่อจัดการเถอะ! สิ่งที่ลูกต้องทำ ก็คือเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณหมอกับพี่สาวพยาบาล รักษาให้ดี กินยาให้ดี ฟื้นฟูร่างกายเร็วๆ ”
ลี่หมิงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “โอเค ผมหายดีได้เร็ว ก็ได้ไปหาซีซีที่ต่างประเทศแล้ว ถูกไหม?”
“ถูกแล้ว คิดถึงน้องสาวแล้ว ใช่ไหม?”เขาประคองหน้าเล็กๆ ของลูกชาย ก่อนหน้านี้หมิงเอ๋อกับซีซีมีความสัมพันธ์ต่อกันดีที่สุดเป็นการส่วนตัว อาจเพราะเป็นฝาแฝดกัน เด็กสองคนนี้ แทบจะไม่อยู่ห่างกันเลย
ตอนนี้แยกกันกะทันหัน ไม่เพียงแค่ลี่หมิงไม่ชิน แม้แต่ซีซีที่อยู่ต่างประเทศอันห่างไกล เวลาที่วิดีโอคอลหาเขา บางทีก็จะร้องไห้ฟูมฟาย
นึกถึงตรงนี้ ดวงตาเหยี่ยวแคบยาวของลี่เฉินซีก็จมดิ่งลง หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ตอนนี้เลวร้าย เขาจะยินยอมส่งลูกสาวไปไกลจากเขาได้ยังไง?
ลี่หมิงโอบคอเขา “ผมไม่ใช่แค่คิดถึงน้องสาว ผมคิดถึงแม่ด้วย พ่อ แม่ผมล่ะ? แม่อยู่ไหน? พ่อพาแม่มาเยี่ยมผมกับพี่ใหญ่ ดีไหม?”
ฟังคำออดอ้อนของลูกชาย ลี่เฉินซีก็ถอนหายใจเบาๆ บีบจมูกเล็กๆ ของเด็กน้อย “รอลูกหายดี พ่อจะส่งลูกไปหาซีซี”
เขาจงใจปิดปากไม่พูดเรื่องซูย้าว และไม่อยากพูดถึงเธอต่อหน้าลูกๆ
ลี่หมิงถอนหายใจยาวอย่างไม่พอใจ “ในอนาคตผมจะกำพร้าแม่แล้วใช่ไหม? ผมกับพี่ใหญ่ แล้วยังซีซี จะเป็นเด็กไม่มีแม่แล้วหรอ?”
ลี่เฉินซีชะงักทันที ถือโอกาสยิ้มตบตาไป “พูดอะไรเลอะเทอะ?”
ลี่หมิงกะพริบตาดวงโตสีดำสวยงาม “พ่ออ่ะ พวกเราสามารถเป็นเด็กน่าสงสารที่ไม่มีแม่ชั่วคราวได้ เหมือนกับผักกาดขาวน้อยในพื้นดิน สองสามขวบก็ไม่มีแม่แล้ว แต่ว่า พ่ออย่าแต่งกับน้าอู๋ได้ไหม? ผมไม่ชอบเธอ แล้วก็ไม่อยากให้เธอมาเป็นแม่เลี้ยงของพวกเราด้วย!”
พูดจบ ลี่หมิงก็กอดคอของชายหนุ่มแน่นขึ้นอีก พูดเสริมอีกด้วยคำพูดชอบธรรม “พูดให้ถูกต้องคือ พวกเราไม่เอาแม่เลี้ยง ต้องการแค่แม่แท้ๆ !”
ถ้าถามถึงใจจริงของเด็กทุกคน จะมีเด็กคนไหนละทิ้งแม่แท้ๆ แล้วเลือกแม่เลี้ยงกันล่ะ?
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ “ลูกชาย ในสมองเล็กๆ นี้ของลูก ทั้งวันมัวแต่คิดอะไรอยู่บ้าง?”
เขาจงใจเบี่ยงประเด็น และจงใจเลี่ยงคำต้องห้ามเหล่านี้
ลี่หมิงใช้สายตาที่ไม่อาจระบุและไม่อาจเข้าใจได้มองไปที่เขา “พ่อเอาแต่คิดว่าผมเด็กเกินไป แต่ที่จริงผมไม่เด็กแล้ว ผมเข้าใจตั้งหลายอย่างนะ เฮ้อ…..”
ลี่เฉินซีถูกท่าทางเล็กๆ ของลูกคนนี้ทำให้ขบขันโดยสมบูรณ์ ควรใช้คำไหนมาบรรยายดีล่ะ ทำไมรู้สึกล้าสมัยอยู่เสมอเลย?
เป็นแค่เด็กอายุ 7 ขวบแท้ๆ จะเข้าใจได้ซักแค่ไหน?
เขาส่ายศีรษะ โอ๋ลูกเล่นต่ออีกสักพัก กินข้าวกลางวันเป็นเพื่อนลี่หมิง เมื่อถึงเวลานอนกลางวัน เขาถึงดึงตัวออกจากโรงพยาบาล
หวางอี้ขับรถพาเขาไปที่บริษัท ระหว่างทาง หวางอี้ได้รับโทรศัพท์ จากนั้นก็พูดขึ้น “ประธานลี่ พึ่งได้รับข่าวเมื่อกี้ คุณอานออกไปตั้งแต่เช้าแล้วครับ ไป…..”
เขาลากเสียงยาวโดยไม่ได้ตั้งใจ บางทีอาจจะรู้สึกได้ว่าหัวข้อต่อไปนี้ ค่อนข้างคลุมเครือ จึงอยากที่จะละเว้นไว้ แต่ลี่เฉินซีกลับสังเกตได้ถึงสิ่งเหล่านี้ จึงยกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย พูดแค่ “พูด”
หวางอี้ขมวดคิ้ว ถึงพูด “คุณอานไปที่บริษัทเพ้ยซื่อกรุ๊ป อยู่ในออฟฟิสกับประธานเพ้ยสามชั่วโมงกว่า จากนั้นถึงกลับครับ”
ใบหน้าเยือกเย็นของลี่เฉินซีมืดมนลงทันที ดูท่า ผู้ชายคนนั้นจะพูดถูกแล้วจริงๆ เธอตื่นเช้ามา ก็วิ่งไปหาเขาแล้วจริงๆ !
ผู้หญิงคนนี้……
ใบหน้าของเขามืดมนจมดิ่ง ยกมือขึ้นถูคิ้วที่ขมวดแน่นไม่หยุด แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรอีก และดูแล้วไม่ต่างไปจากปกติ แต่ออร่าเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างกายเขา ทำให้ความกดอากาศทั่วทั้งคันรถพุ่งถึงจุดเยือกแข็ง แม้แต่หวางอี้ยังรู้สึกหนาว ได้แต่แอบมอง ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก
รถมาถึงบริษัทลี่ซื่อ ลี่เฉินซีเดินตรงจากลานจอดรถใต้ดิน ไปขึ้นลิฟต์เฉพาะบุคคลจนถึงชั้นบนสุด เมื่อก้าวไปถึงประตูออฟฟิส ถึงสังเกตเห็นว่าประตูห้องแง้มอยู่ เผยช่องว่างเล็กน้อย
แววตาของชายหนุ่มมืดมนลงทันที จากนั้นก็ยกมือขึ้นผลักประตูออก ก็เห็นว่าบนโซฟา ซูย้าวนั่งอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งท้าวแก้มพลิกอ่านนิตยสาร