“เหมาะสม! เหมาะสมมากค่ะ!”
ซูย้าวพูดโพล่งออกมาโดยไม่คิด จากนั้นพยายามจะปลีกตัวออกมาจากเขา แต่เมื่อรู้ว่าเธอไม่อาจขยับเขยื้อนได้ จึงได้เริ่มขยับปากพูด
แต่ดวงตาปฏิกิริยาและท่าทางอันว่องไวของลี่เฉินซี เขารีบใช้มือดึงแขนเธอเข้ามาจากนั้นใช้มืออีกข้างหนึ่งยกคางเธอขึ้นเล็กน้อย “ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือไงว่าให้เก็บเขี้ยวเล็บน้อยๆ ของคุณไว้ให้ดี ทำไมยังทำตัวเป็นสุนัขอยู่นะ?”
เธอพยายามสะบัดเขาออกไปอย่างโมโห เพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถหลบเลี่ยงเขาได้ จากนั้นไปแอบอยู่ด้านข้างเพื่อป้องกันไม่ให้เขามีความคิดอื่นใดอีก ดังนั้นเธอจึงไปซ่อนตัวอยู่ค่อนข้างไกล เขานั่งอยู่ที่โซฟาส่วนเธอวิ่งไปหลบอยู่ตรงเก้าอี้นวมอีกฝั่งหนึ่ง
ลี่เฉินซีมองดูเธออย่างเงียบๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะเผยอปากยิ้มขึ้น
เวลาที่เขาหัวเราะมันช่างสดใสดุจสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิที่กำลังพัดโชย เหมือนแสงแดดที่ส่องประกาย เหมือนกับฟ้าหลังฝนที่ปรากฏสายรุ้ง เหมือนกับหิมะที่โปรยปรายลงมา แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายแต่กลับให้ความรู้สึกอันสดใสแก่ผู้คนที่มองไปเสมอ
ซูย้าวมองไปยังรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแล้วตกตะลึงใจลอย
เมื่อมาครุ่นคิดดูดีๆ แล้ว สองวันมานี้แม้ว่าทั้งสองคนจะดูใกล้ชิดกันมากเกินไปกว่าที่เธอต้องการ แต่ในช่วงเวลาอื่นอย่างเช่นทั้งสองไปร้านอาหารด้วยกันและเขาปอกกุ้งให้เธอ อีกทั้งยังทำตัวเป็นเด็กโยนขนมปังเธอซื้อมาให้ทิ้งไป พาเธอไปรับประทานอาหารกับเพื่อนๆ ของเขา
แม้สิ่งเหล่านี้จะเรียบง่ายและดูธรรมดาเสียยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ก็น่าแปลกที่ทำให้เธอมีความรู้สึกว่าเธอสนุกสนานและเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวนั้น
บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ มันปรากฏมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ชีวิตของคนเรานั้นหากได้พบใครคนหนึ่งที่ทะนุถนอมซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องพูด อยู่ร่วมกัน ทานอาหารร่วมกัน และผ่านทั้งสี่ฤดูไปพร้อมกัน……
ชีวิตที่ธรรมดาเรียบง่ายเช่นนี้ บางครั้งกลับกลายเป็นความฝันที่เธอรู้สึกว่ามันหรูหรายิ่งใหญ่ที่สุด เมื่อทุกอย่างวกไปวนมาท้ายที่สุดแล้วดูเหมือนสิ่งที่เธอต้องการก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ และมันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย
ลี่เฉินซีไม่สนใจต่อความอันซับซ้อนบนใบหน้าของเธอ เขาทำเพียงนั่งอยู่ที่นั่นแล้วกวักมือมาทางเธอพูดว่า “มานี่”
เธอจึงตื่นจากภวังค์ เมื่อรู้สึกตัวจึงได้ส่ายหัวสลัดความคิดเหล่านั้นออกไป บ้าไปแล้วหรือไง คิดว่าเธอจะเดินเข้าไปอย่างว่าง่ายเหรอ?
แต่ลี่เฉินซีก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้ามาจับเธอ เขาเพียงพูดว่า “โรคนอนไม่หลับเป็นมานานเท่าไหร่แล้ว”
เธอตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง “เอ่อ…… คุณรู้ได้ยังไง?”
เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเหยียดแขนข้างหนึ่งออกไป แล้วใช้แขนอีกข้างหนึ่งตบลง “มานี่ ผมกอดคุณนอน ถ้าคุณอยู่ในอ้อมอกผม มีเหรอจะนอนไม่หลับ”
ซูย้าว “……”
หากว่าเธอเชื่อในคำพูดไร้สาระของเขาแบบนี้เธอก็คงไม่ต่างอะไรกับเด็กอายุสองสามขวบเหรอ!
ที่จริงลี่เฉินซีก็ไม่ต้องการบังคับอะไรเธอ เขาเพียงพูดขึ้นว่า “ผมจะนับถึงสาม ถ้าคุณยังไม่มา คุณคิดดูเอาเองว่าจะมีผลอะไรตามมา ผมไม่รังเกียจที่จะขยับร่างกายก่อนนอนเหรอนะ”
“คุณ……” ซูย้าวโมโหจัดกัดฟันกรอด เขากำลังข่มขู่เธออยู่
“หนึ่ง……” เขาเริ่มนับขึ้น
ซูย้าวลังเลเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นไปตรงประตูห้อง หลังจากที่พยายามหมุนลูกบิดประตูอยู่หลายครั้งปรากฏว่าประตูเปิดออกไม่ได้ เธอจึงหันกลับมามองเขาด้วยท่าทางขมขื่น “คุณสั่งให้คนล็อคจากข้างนอกนั้นเหรอ?”
ลี่เฉินซียิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขายังคงนับต่อไปว่า “สอง……”
เธอโมโหกัดฟันกรอด “คุณ…… คุณนี่มันจริงๆ เลย”
เธอไม่อาจหาคำใดมาบรรยายนิสัยของเขาได้ กลอุบายนั้นมีมากมายเหลือเกิน เธอนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยเยาะเย้ยขึ้นว่า “คุณนี่มันสุดยอดจริงๆ นะคะ นอกจากเอาเรื่องแบบนี้มาข่มขู่ฉันแล้วคุณทำอะไรอีกบ้าง?”
“ผมทำเป็นเยอะอยู่นะ” เขาพูดออกมาเบาๆ ขณะที่พูดออกมานั้นก็ได้เดินไปทางเธอทีละก้าว
เขาพยายามชะลอคือฝีเท้าตัวเองลง เมื่อรองเท้าสัมผัสไปบนพื้นผิวอย่างดี แทบไม่ได้ส่งเสียงใดออกมา แต่ทุกย่างก้าวนั้นราวกับว่าเหยียบย่ำไปที่หัวใจของเธอ มันมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นทวีคูณออกมาอย่างรุนแรง
ลี่เฉินซีหรี่ตาลงด้วยความลึกล้ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ส่วนผมทำอะไรเป็นบ้างนั้น คุณอยากจะลองดูก็ได้นะ”
เธอถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นรวบรวมความไวของฝีเท้าอย่างเร็วที่สุดเดินหลีกไปจากเขา ก่อนจะกระโจนขึ้นไปบนเตียง แล้วซุกตนเองเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม เผยให้เห็นเพียงศีรษะออกมา “ฉันนอนคนเดียวได้ คุณไปนอนตรงนั้น อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ!”
ลี่เฉินซียืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ถ้าเธอว่านอนสอนง่ายกว่านี้สักนิดเขาจะต้องเปลืองแรงมากขนาดนั้นเหรอ?
เขาไม่สนใจเธอสักเท่าไร จากนั้นหันหลังกลับเดินไปทางห้องน้ำพลางปลดกระดุมเสื้อ เมื่อเสียงน้ำไหลดังขึ้น ความรู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ ของซูย้าวเมื่อครู่ก็วางใจลงไม่น้อย
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังคงนอนไม่หลับอยู่ดี เธอเป็นโรคนอนไม่หลับจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ สรุปโดยรวมก็คือเธออยากที่จะข่มตานอน แต่ต่อให้พลิกตัวซ้ำไปมาที่สุดก็นอนไม่หลับอยู่ดี
ในที่สุด เสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น ดูเหมือนเธอจะกลัวว่าจะไปสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่าง จึงดึงผ้าห่มเข้ามาห่มไว้แน่น ขดตัวเข้าไปด้านในแสร้งทำเป็นหลับตานอน
ชายหนุ่มเดินกลับไปที่ห้องนอน ร่างของเขายังมีไอลอยออกมา เมื่อเช็ดผมสั้นสีดำขลับของเขาเสร็จแล้วก็โยนผ้าเช็ดตัวทิ้งใส่ตะกร้า เขาเดินไปปิดไฟแล้วหันหลังกลับไป
เธอรู้สึกได้ว่าเตียงนั้นจมลงอย่างกะทันหัน มือใหญ่ของชายหนุ่มเอื้อมเข้ามาสัมผัสเธอแต่ไม่ได้ขยับเขยื้อนจนเกินขอบเขต เพียงแค่โอบกอดเธอเอาไว้แล้วพูดว่า “ถ้าจะแกล้งหลับ ก็แกล้งให้มันเหมือนกว่านี้หน่อยสิ โง่จริงเชียว”
ซูย้าว “……”
เมื่อเธอรู้ว่าแผนแกล้งนอนหลับไม่ได้ผลจึงได้พยายามจะหนีออกจากอ้อมแขนของเขา แต่ทันใดนั้นน้ำเสียงที่เย็นชาของชายหนุ่มก็ดังขึ้นว่า “อย่าขยับ ไม่อย่างงั้นอย่าโทษผมนะ”
ทันทีที่ซูย้าวได้ยินเสียงนั้นเธอก็เกร็งตัวทันใด และหยุดที่จะพยายามต่อต้าน ปล่อยให้เขาโอบกอดตัวเธอเอาไว้
เขากอดเธอจากด้านหลังอีกทั้งใช้แขนของตัวเองวางตรงศีรษะของเธอใช้เป็นหมอนนอน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งวางไปที่ระหว่างเอวของเธอเพื่อไม่ให้เธอขยับเขยื้อนหนีไปไหน
ท่าทางการนอนแบบนี้ซูย้าวรู้สึกไม่เคยชินเอาเท่าไรนัก เธอนอนไม่ค่อยสบาย แต่โชคดีที่เธอไม่ได้ขยับเขยื้อน ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เธอรู้สึกแน่นอยู่ในลำคอ จากนั้นค่อยปล่อยวางลง จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าความง่วงเริ่มมาเยือน ในขณะที่กำลังจะหลับฝัน ด้านหลังของเธอก็เกิดเคลื่อนไหวขึ้น
ดูเหมือนว่าลี่เฉินซีจะรู้สึกไม่ชอบใจอะไรบางอย่าง มืออันใหญ่หนาของเขาขยับด้วยความรวดเร็ว มันสัมผัสไปที่เอวของเธอ ตอนที่เขาเอามือสอดเข้าไปนั้น ซูย้าวก็ได้งอตัวเพื่อต่อต้าน “คุณบอกจะไม่แตะต้องฉันไม่ใช่หรือไง แล้วคุณทำอะไรเนี่ย?”
สีหน้าของเขาไม่ได้มีความรู้สึกใดพูดเพียงแค่ว่า “อยู่เฉยๆ อย่าขยับ ผมไม่ทำอะไรคุณเหรอน่า”
เธอชะงักลง ยังไม่ทันจะตอบสนองมือหนาของชายหนุ่มก็ได้จัดการกับเสื้อผ้าบนเรือนร่างของเธออย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอาเธอเข้าไปไว้ในอ้อมกอด เมื่อผิวหนังของทั้งสองสัมผัสกันก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมา ในที่สุดลี่เฉินซีก็ค่อยๆ หลับตาลงแล้วผ่อนคลายอ้อมกอดให้สบายขึ้น “นอนเถอะครับ”
ซูย้าว “……”
เธอพูดไม่ออกจริงๆ เขาไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปกว่านั้นตามที่พูด แต่ทำไมต้องถอดชุดนอนเธอออกด้วย?
ตอนนี้ซูย้าวพยายามตั้งตัว เธอทั้งประมาทและคอยระมัดระวัง แต่ถึงเธอจะรออยู่นานเท่าไรก็พบว่าชายหนุ่มไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย ส่วนตัวเธอเองเหนื่อยล้ามาจากการเดินทั้งวัน เมื่อความง่วงมาเยือนอีกครั้งเธอก็ผล็อยหลับไป
ลี่เฉินซีได้ยินเสียงหายใจของคนข้างๆ เขาจึงได้ลืมตาขึ้นมาดูพบว่าร่างเล็กๆ ที่ขดอยู่ในอ้อมแขนของเขาเมื่อครู่หลับตาสนิท คิ้วเข้มได้รูป น้ำเสียงอันดูต่ำทุ้มของเขาพูดออกมาว่า “เห็นอยู่ว่านอนแบบนี้จะหลับสบายกว่า ทำเป็นปฏิเสธแต่ร่างกาย กลับยอมรับ ง่ายๆ ……”
เขากอดเธอเอาไว้ ด้วยกังวลว่าจะทำให้เธอตื่นขึ้นจึงไม่ได้ขยับเขยื้อนสักเท่าไหร่ แต่ถ้านอนท่าเดิมไปนานๆ ก็รู้สึกกระสับกระส่าย อีกอย่างเขาเป็นผู้ชายธรรมดาทั่วไป เมื่อมีหญิงสาวรูปงามกลิ่นหอมอยู่ในอ้อมกอด จะให้นอนอยู่เฉยๆ โดยไม่ว้าวุ่นก็คงจะเป็นความทุกข์ทรมานไม่ใช่หรือไง!
ด้านซูย้าวที่นอนหลับไป ก็ยิ่งหลับลึกลงเรื่อย ส่วนเขากลับไม่มีความง่วงอยู่เลย ดวงตาอันงดงามดุจดั่งนกฟินิกซ์คู่นั้นแอบมองเธออยู่อย่างเงียบๆ อุณหภูมิร่างกายของเขาเริ่มสูงขึ้นราวกับถูกไฟเผาไหม้ วินาทีนี้มันแทบจะกลืนกินเข้าไปในกองเพลิง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ในขณะที่กำลังจะเบี่ยงเบนความคิด คนในอ้อมแขนก็เกิดขยับขึ้น…..
อืม ซูย้าวขยับ และไม่ใช่เพียงแค่พลิกตัวธรรมดา เธอซุกหน้าเข้าไปในอ้อมกอดเขา อาจจะรู้สึกว่าท่านี้ค่อนข้างอึดอัด ศีรษะของเธอจึงพยายามสอดแทรกเข้าไป ในอ้อมแขนเขา ท้ายที่สุดมือของเธอก็วางไว้บนร่างเขา ขาอันเรียวยาวถูกวางลงบนตัก
ท่าทางแบบนี้มัน……
หัวใจของลี่เฉินซีรู้สึกหนักอึ้ง จะไม่ให้เขาทำอะไรบ้างเลยก็คงยาก จึงได้สอดมือเข้าไปตามท่าของเธอที่นอน แต่ยังไม่ทันจะขยับเขยื้อน เธอก็ส่งเสียงพึมพำออกมาดูเหมือนกำลังปฏิเสธและผลักมือของเขาออกอย่างรำคาญ ก่อนจะใช้มือเล็กๆ ของเธอโอบเขาไว้แน่นกว่าเดิมแล้วหลับต่อ
เขาชะงักลงเล็กน้อย รู้สึกว่าทั้งร่างกายของเขาถูกเธอกอดเสียจนแทบตาย ดูเหมือนกับถูกปักด้วยตะปู เขาเม้มปากอย่างช่วยไม่ได้ “โอเค ผมจะรอให้คุณตื่นก่อน……”