เมื่อเดินออกมาด้านนอกโรงงาน ลี่เฉินซีก็ได้พาซูย้าวเข้าไปในรถ จากนั้นจึงเอี้ยวตัวออกมาด้านนอก ใช้มือข้างหนึ่งจุดบุหรี่
สีหน้าอันเย็นชาของเขาบูดบึ้งจนถึงที่สุด เต็มไปด้วยความไม่พอใจและโมโหอย่างยากจะสงบลง
การที่ลี่เฉินซียังคงอยู่ที่นี่ ประการแรกเนื่องจากเขารอเจียงจี้เซิงอยู่ ประการที่สองก็เพื่อต้องการให้อารมณ์ของตนเองเย็นลงสักหน่อย เพราะตอนนี้ถ้าเขาอยู่กับเธอเพียงลำพังเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเธอบ้าง
สรุปก็คือเขาต้องการความสงบ ความแน่นิ่ง
ไม่นานต่อมาบุหรี่หนึ่งมวนก็ถูกสูบจนหมด จากนั้นเขาก็หยิบออกมาจุดอีกมวนหนึ่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่เจียงจี้เซิงอุ้มเซียวไน่เดินออกมา โดยมีเลขาและบอดี้การ์ดคอยคุ้มกัน
ตัวเขาก็ได้นำเซียวไน่ อุ้มเข้าไปไว้ในรถก่อนจะหันมามองชายหนุ่มที่มีใบหน้าขุ่นมัว “จะจัดการอย่างไรกับโรงงานนี้?”
“ไปตรวจสอบแล้วส่งให้แผนกที่เกี่ยวข้องจัดการ ถ้าไม่มีปัญหาก็ซื้อมา ไล่พนักงานทุกคนออกไปให้หมดแล้วทำเป็นกองขยะ” เขาพูดออกมาอย่างเย็นชา
ดูเหมือนว่าจะตรงกับความคิดของเจียงจี้เซิง เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วเดินไปตบไหล่ลี่เฉินซีพูดว่า “เอาเถอะน่า อย่าเพิ่งไปโกรธเธอเลย เธอก็ทำไปเพื่อคุณนั่นแหละ”
เมื่อคำพูดนี้ดังเข้าไปในหู
ใบหน้าอันหล่อเหลาของลี่เฉินซีเริ่มจริงจังมากขึ้น ทำไปเพื่อเขา ก็คือคิดถึงแต่อานเจียเย้นตลอดเวลาอย่างงั้นเหรอ?
เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นขนาดนี้ยังไม่รีบติดต่อเขา คิดจะติดต่อแต่ไอ้อานเจียเย้นนั่น
ผู้หญิงคนนี้……
ลี่เฉินซียิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาโยนบุหรี่ที่อยู่ในมือทิ้งแล้วขยี้ด้วยฝีเท้าอันหนักแน่น ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปด้านในแล้วดึงซูย้าวลงมาด้วยแรงมหาศาล
ซูย้าวทั้งตกใจและงุนงง เธอยังไม่ทันจะโต้ตอบก็ถูกเขาลากไปที่ข้างรถอีกขั้นหนึ่ง ลี่เฉินซีเปิดประตูฝั่งคนขับรถออกจากนั้นพูดกับคนขับว่า “ลงไป!”
คนขับรถตกตะลึง สายตาเหลือบมองไปที่เจียงจี้เซิงเมื่อพบว่าเจ้านายตกลงแล้วคนขับรถจึงรีบลงจากรถไป
ลี่เฉินซีก้าวขาขึ้นไปบนรถ และหันมาพูดกับเจียงจี้เซิงว่า “พวกคุณกลับไปก่อน”
เจียงจี้เซิงพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นเขาขึ้นรถไปและให้เลขากับบอดี้การ์ดคนอื่นขับรถออกไปจากที่นั่น ชั่วพริบตาเดียวพื้นที่อันกว้างใหญ่ก็เหลือเพียงแค่ลี่เฉินซีซูย้าวสองคนและรถอีกหนึ่งคัน
ซูย้าวยังคงยืนงงอยู่กับที่ ผ่านไปหลายวินาทีเธอจึงเดินอ้อมไปจะขึ้นหนึ่งในตำแหน่งข้างคนขับ แต่กลับถูกน้ำเสียงของลี่เฉินซีห้ามเอาไว้ “ใครให้คุณขึ้นรถ?”
เธอตกตะลึงและหยุดฝีเท้าลงทันที ก่อนจะล้มเลิกความคิดนี้
“คุณอยากจะรอให้อานเจียเย้นมาช่วยนักไม่ใช่หรือไง งั้นก็รอมันไปสิ!” เมื่อพูดจบเขาก็ติดเครื่องรถยนต์แล้วตรงออกไปทันที
ซูย้าวจมอยู่ในความคิด เธอมองไปตามเงาของรถที่เขาขับออกไป เธออดไม่ได้คิดกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความโกรธ
ในตอนนั้น เธอเองก็ถูกบังคับให้ทำเช่นนี้ เพราะเธอรู้ดีว่าถ้าเรื่องรู้ไปถึงหูลี่เฉินซี เขาก็จะพยายามถามเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหากเขารู้ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่ปลอดภัยสำหรับเขา
ซูย้าวไม่เคยอยากจะให้เขาต้องเผชิญหน้ากับอานเจียเย้น คนหนึ่งคือชายหนุ่มที่มีอำนาจมากเกินกว่าจินตนาการในต่างประเทศ แม้ว่าลี่ซื่อจะมีอำนาจมากก็จริง แต่นั่นคือเป็นเรื่องในประเทศเท่านั้น สองคนนี้แม้ว่าจะมีความสามารถใกล้เคียงกันแต่ขอบเขตแตกต่างกันอย่างชัดเจน หากจะพูดกันเรื่องของความเป็นตาย คาดว่าลี่เฉินซีคงจะเสียเปรียบโดยไม่ต้องสงสัย
อีกอย่างหนึ่ง เขามีลูกอีกตั้งสามคน นี่คือจุดอ่อนที่เห็นได้อย่างชัดเจน หากว่าอานเจียเย้นไม่สนใจในขั้นตอนการจัดการแล้วทำอะไรตามอำเภอใจขึ้นมา ไม่ใช่เพียงแค่เขาคนเดียว แต่จะพาลูกๆ เดินเข้าสู่อันตรายด้วย
เธอไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเธอทำดีกับเขาแต่เขาก็ยังโมโหอยู่แบบนี้
ซูย้าวแอบด่าเขาและถุยน้ำลายออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ก่อนจะรัดเสื้อสูทให้แน่นแล้วเดินไปตามถนนด้านหน้า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงรถคันหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหู ด้านหลังมีรถเบนซ์สีดำคันหนึ่งขับเคลื่อนมา รถคันนั้นไม่ได้จอดลง แต่ชะลอความเร็วให้เข้ากับจังหวะเธอเดิน แล้วปล่อยให้รถแล่นไปอย่างช้าๆ
ซูย้าวสัมผัสได้ถึงบางอย่าง เธอจึงยื่นหน้าเข้าไปชำเลืองมอง พบเห็นใบหน้าอันมืดมนและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของลี่เฉินซีซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ เธอก็รู้สึกงุนงงมากขึ้นไปอีก เมื่อสักครู่เขาไปแล้วไม่ใช่หรือไง?
ต่อให้เขากลับมาก็ไม่น่าจะมาจากข้างหลังนี่!
หรือว่า เขาจะขับรถวนรอบถนนสายนี้มานะ?
เธอรู้สึกว่าเขาช่างว่างเสียเหลือเกิน จึงส่ายหน้าอย่างไร้คำพูดและรีบเร่งฝีเท้าของตนเอง
ซูย้าวเร่งฝีเท้าไปด้านหน้า ชายหนุ่มก็บังคับรถให้เร็วขึ้นแต่ก็ไม่เร็วจนเกินไป
เขายังคงขับไปช้าๆ และเลื่อนกระจกลดลงเผยให้เห็นใบหน้าอันสง่างามดุจเทพเจ้าแห่งสวรรค์ น้ำเสียงของเขาออกมาจากลำคอ มันช่างเยือกเย็นไร้ความอบอุ่น “ยังจะหาอานเจียเย้นอยู่ไหม?”
เธอมองไปที่เขาอย่างหงุดหงิด ไม่เพียงแต่รีบเร่งฝีเท้าแต่ยังตอบกลับไปว่า “หาก็หาสิ!”
“เขาเป็นพี่ชายของฉัน ฉันติดต่อเขาไม่ได้หรือไง?”
ซูย้าวพูดออกมาด้วยความโมโหและไม่อยากจะสนใจเขาอีก
ดวงตาของลี่เฉินซีแข็งทื่อลงเล็กน้อย “อานหว่านชิง!”
“ลี่เฉินซี!” เธอตอบกลับอย่างรวดเร็วกลบเสียงของเขาจนหมด
เขาโมโหเสียจนหัวเราะออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างโกรธเคือง ยกมือข้างหนึ่งปลดกระดุมเสื้อออกด้วยท่าทางไร้อารมณ์ ก่อนจะเหยียบคันเร่งสุดแรง ทำให้รถวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วสุดลูกหูลูกตา
ซูย้าวไม่ได้สนใจต่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย เธอเดินหน้าต่อไปอย่างเงียบๆ
สถานที่นี้ค่อนข้างห่างไกล เรียกได้ว่าแต่ละวันไม่มีแท็กซี่ผ่านเลยก็เป็นได้ ดังนั้นต่อให้เธออยากจะโบกรถสักคันก็คงเป็นไปไม่ได้เหรอ สิ่งเดียวที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือเดินไปอีกหลายกิโลกว่าจะไปถึงเขตชานเมืองและที่นั่นจึงจะมีรถแท็กซี่
ซูย้าวเดินมาเนิ่นนานเลยทีเดียวและรู้สึกเหนื่อยจึงได้หยุดพักอยู่ที่ริมถนน ไม่ถึงครึ่งนาทีเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็พบกับรถเบนซ์สีดำคันนั้นปรากฏขึ้นอยู่ข้างหน้าไม่กี่ร้อยเมตร ในครั้งนี้รถจอดลงไม่ได้ขยับเขยื้อน ลี่เฉินซีไม่ได้ลงจากรถเข้ายังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับแต่มองดูเธอผ่านกระจกมองหลัง ใบหน้าของเขามืดมนยากจะบรรยาย มือข้างหนึ่งถือบุหรี่ที่จุดไฟอยู่
เธอส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ผู้ชายคนนี้นี่ ถ้าจะไปก็รีบไปเสีย หรือไม่ก็เอาเธอไปด้วย เขาว่างนักหรือไงที่ขับรถผ่านเธอไปผ่านเธอมาแบบนี้ หรือต้องการทำให้เธอโมโหใช่ไหม?
ตอนนี้ซูย้าวไม่อยากจะไปสนใจเขาจริงๆ ดังนั้นเธอจึงหายใจเข้าลึก ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งผ่านรถของชายหนุ่มไปก็ไม่หยุดพัก เธออยากจะมีปีกแล้วบินผ่านเส้นทางนี้ให้ไปถึงบริเวณที่มีรถแท็กซี่และนั่งรถกลับบ้านเองเหลือเกิน
ลี่เฉินซีขับรถตามเธอไป เขาเลื่อนกระจกลง มือข้างหนึ่งยื่นขวดน้ำแร่ให้เธอแล้วพูดว่า “ดื่มก่อนสิ”
ซูย้าวชะงักลงไปครู่หนึ่งแล้วหยุดฝีเท้าลง
เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอกระหายน้ำ?
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ในที่สุดแล้วซูย้าวก็เอื้อมมือไปหยิบมันมาเปิดฝาขวดและดื่มไปครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่เธอไม่ได้คืนให้แก่เขา แต่กลับเดินทางต่อไป
ในครั้งนี้ลี่เฉินซีจอดรถไว้ที่ริมถนน หลังจากที่เขาลงจากรถก็ได้เดินตามเธอไปเพียงสองสามก้าวก็ถึงตัว แขนยาวของเขาคว้าข้อมือบอบบางของเธอเอาไว้แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน อุ้มเธอขึ้นมาจากนั้นเดินกลับไปที่รถ
ก่อนจะวางเธอลงตรงตำแหน่งข้างคนขับ ดึงกระดาษทิศชูเปียกออกมาสองใบ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ขยับเขยื้อนจึงได้นำมันไปเช็ดที่หน้าผากซึ่งเต็มไปด้วยเหงื่อของเธอ ขณะที่เช็ดตรงมุมปากของเธอก็ได้เบามือกว่าเล็กน้อยด้วยความระมัดระวัง
“อานเจียเย้นนอกจากจะเป็นพี่ชายคุณแล้ว เขาเป็นอะไรของคุณอีก?” นำเสียงต่ำทุ้มของเขาพูดออกมาเบาๆ ดวงตาอันเย็นเยือกดุจดังสระน้ำลึกที่คาดเดายาก
ซูย้าวตกตะลึงและเอ่ยถามกลับไปว่า “คุณหวังว่าเขาจะเป็นอะไรกับฉันอีก?”
เมื่อสิ้นเสียงหลงดวงตาอันงดงามคู่นั้นของเธอก็เป็นประกาย และพูดออกมาอย่างเยาะเย้ยขบขันว่า “สามีเหรอคะ? หรือว่าแฟน?”
ลี่เฉินซีวางแขนลง เขาเอียงตัวไปมองเธอ “เขาใช่หรือเปล่า?”
ที่จริงแล้วคำตอบนั้นชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย
หากเป็นตามปกติแล้วซูย้าวจะให้คำตอบเชิงปฏิเสธเสมอมา แต่บัดนี้เธอเองทั้งโมโหและอารมณ์ไม่ดีอยากจะทำยั่วอารมณ์เขา จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ทำนองนั้น หรืออาจจะใช่ก็ได้”
การที่อานเจียเย้นชอบเธอ เธอรู้มาตั้งนานแล้ว
แต่ในตอนนั้นเธอคิดว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันทางสายเลือด ถึงแม้ว่าบางครั้งทั้งสองคนอาจจะสนิทสนมกันและเกิดความรู้สึกอันซับซ้อนขึ้นบ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีความคืบหน้าได้มากกว่านี้ จึงได้ละเลยไป
แต่หลังจากที่เธอกลับมายังเมืองA การตรวจสอบก่อนหน้านี้ที่หรู่โจวทำให้เธอรู้ว่าอานเจียเย้นกับเธอเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแม้แต่น้อย
กระทั่งพูดได้ว่าเขานั้นไม่ใช่อานเจียเย้นตัวจริง รวมไปถึงชื่อตัวตนและทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสองคน ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันในความเป็นจริงเลย
ดังนั้นความรู้สึกชอบนี่ก็สามารถเป็นไปได้
เมื่อเดินออกมาด้านนอกโรงงาน ลี่เฉินซีก็ได้พาซูย้าวเข้าไปในรถ จากนั้นจึงเอี้ยวตัวออกมาด้านนอก ใช้มือข้างหนึ่งจุดบุหรี่
สีหน้าอันเย็นชาของเขาบูดบึ้งจนถึงที่สุด เต็มไปด้วยความไม่พอใจและโมโหอย่างยากจะสงบลง
การที่ลี่เฉินซียังคงอยู่ที่นี่ ประการแรกเนื่องจากเขารอเจียงจี้เซิงอยู่ ประการที่สองก็เพื่อต้องการให้อารมณ์ของตนเองเย็นลงสักหน่อย เพราะตอนนี้ถ้าเขาอยู่กับเธอเพียงลำพังเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเธอบ้าง
สรุปก็คือเขาต้องการความสงบ ความแน่นิ่ง
ไม่นานต่อมาบุหรี่หนึ่งมวนก็ถูกสูบจนหมด จากนั้นเขาก็หยิบออกมาจุดอีกมวนหนึ่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่เจียงจี้เซิงอุ้มเซียวไน่เดินออกมา โดยมีเลขาและบอดี้การ์ดคอยคุ้มกัน
ตัวเขาก็ได้นำเซียวไน่ อุ้มเข้าไปไว้ในรถก่อนจะหันมามองชายหนุ่มที่มีใบหน้าขุ่นมัว “จะจัดการอย่างไรกับโรงงานนี้?”
“ไปตรวจสอบแล้วส่งให้แผนกที่เกี่ยวข้องจัดการ ถ้าไม่มีปัญหาก็ซื้อมา ไล่พนักงานทุกคนออกไปให้หมดแล้วทำเป็นกองขยะ” เขาพูดออกมาอย่างเย็นชา
ดูเหมือนว่าจะตรงกับความคิดของเจียงจี้เซิง เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วเดินไปตบไหล่ลี่เฉินซีพูดว่า “เอาเถอะน่า อย่าเพิ่งไปโกรธเธอเลย เธอก็ทำไปเพื่อคุณนั่นแหละ”
เมื่อคำพูดนี้ดังเข้าไปในหู
ใบหน้าอันหล่อเหลาของลี่เฉินซีเริ่มจริงจังมากขึ้น ทำไปเพื่อเขา ก็คือคิดถึงแต่อานเจียเย้นตลอดเวลาอย่างงั้นเหรอ?
เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นขนาดนี้ยังไม่รีบติดต่อเขา คิดจะติดต่อแต่ไอ้อานเจียเย้นนั่น
ผู้หญิงคนนี้……
ลี่เฉินซียิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาโยนบุหรี่ที่อยู่ในมือทิ้งแล้วขยี้ด้วยฝีเท้าอันหนักแน่น ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปด้านในแล้วดึงซูย้าวลงมาด้วยแรงมหาศาล
ซูย้าวทั้งตกใจและงุนงง เธอยังไม่ทันจะโต้ตอบก็ถูกเขาลากไปที่ข้างรถอีกขั้นหนึ่ง ลี่เฉินซีเปิดประตูฝั่งคนขับรถออกจากนั้นพูดกับคนขับว่า “ลงไป!”
คนขับรถตกตะลึง สายตาเหลือบมองไปที่เจียงจี้เซิงเมื่อพบว่าเจ้านายตกลงแล้วคนขับรถจึงรีบลงจากรถไป
ลี่เฉินซีก้าวขาขึ้นไปบนรถ และหันมาพูดกับเจียงจี้เซิงว่า “พวกคุณกลับไปก่อน”
เจียงจี้เซิงพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นเขาขึ้นรถไปและให้เลขากับบอดี้การ์ดคนอื่นขับรถออกไปจากที่นั่น ชั่วพริบตาเดียวพื้นที่อันกว้างใหญ่ก็เหลือเพียงแค่ลี่เฉินซีซูย้าวสองคนและรถอีกหนึ่งคัน
ซูย้าวยังคงยืนงงอยู่กับที่ ผ่านไปหลายวินาทีเธอจึงเดินอ้อมไปจะขึ้นหนึ่งในตำแหน่งข้างคนขับ แต่กลับถูกน้ำเสียงของลี่เฉินซีห้ามเอาไว้ “ใครให้คุณขึ้นรถ?”
เธอตกตะลึงและหยุดฝีเท้าลงทันที ก่อนจะล้มเลิกความคิดนี้
“คุณอยากจะรอให้อานเจียเย้นมาช่วยนักไม่ใช่หรือไง งั้นก็รอมันไปสิ!” เมื่อพูดจบเขาก็ติดเครื่องรถยนต์แล้วตรงออกไปทันที
ซูย้าวจมอยู่ในความคิด เธอมองไปตามเงาของรถที่เขาขับออกไป เธออดไม่ได้คิดกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความโกรธ
ในตอนนั้น เธอเองก็ถูกบังคับให้ทำเช่นนี้ เพราะเธอรู้ดีว่าถ้าเรื่องรู้ไปถึงหูลี่เฉินซี เขาก็จะพยายามถามเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหากเขารู้ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่ปลอดภัยสำหรับเขา
ซูย้าวไม่เคยอยากจะให้เขาต้องเผชิญหน้ากับอานเจียเย้น คนหนึ่งคือชายหนุ่มที่มีอำนาจมากเกินกว่าจินตนาการในต่างประเทศ แม้ว่าลี่ซื่อจะมีอำนาจมากก็จริง แต่นั่นคือเป็นเรื่องในประเทศเท่านั้น สองคนนี้แม้ว่าจะมีความสามารถใกล้เคียงกันแต่ขอบเขตแตกต่างกันอย่างชัดเจน หากจะพูดกันเรื่องของความเป็นตาย คาดว่าลี่เฉินซีคงจะเสียเปรียบโดยไม่ต้องสงสัย
อีกอย่างหนึ่ง เขามีลูกอีกตั้งสามคน นี่คือจุดอ่อนที่เห็นได้อย่างชัดเจน หากว่าอานเจียเย้นไม่สนใจในขั้นตอนการจัดการแล้วทำอะไรตามอำเภอใจขึ้นมา ไม่ใช่เพียงแค่เขาคนเดียว แต่จะพาลูกๆ เดินเข้าสู่อันตรายด้วย
เธอไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเธอทำดีกับเขาแต่เขาก็ยังโมโหอยู่แบบนี้
ซูย้าวแอบด่าเขาและถุยน้ำลายออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ก่อนจะรัดเสื้อสูทให้แน่นแล้วเดินไปตามถนนด้านหน้า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงรถคันหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหู ด้านหลังมีรถเบนซ์สีดำคันหนึ่งขับเคลื่อนมา รถคันนั้นไม่ได้จอดลง แต่ชะลอความเร็วให้เข้ากับจังหวะเธอเดิน แล้วปล่อยให้รถแล่นไปอย่างช้าๆ
ซูย้าวสัมผัสได้ถึงบางอย่าง เธอจึงยื่นหน้าเข้าไปชำเลืองมอง พบเห็นใบหน้าอันมืดมนและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของลี่เฉินซีซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ เธอก็รู้สึกงุนงงมากขึ้นไปอีก เมื่อสักครู่เขาไปแล้วไม่ใช่หรือไง?
ต่อให้เขากลับมาก็ไม่น่าจะมาจากข้างหลังนี่!
หรือว่า เขาจะขับรถวนรอบถนนสายนี้มานะ?
เธอรู้สึกว่าเขาช่างว่างเสียเหลือเกิน จึงส่ายหน้าอย่างไร้คำพูดและรีบเร่งฝีเท้าของตนเอง
ซูย้าวเร่งฝีเท้าไปด้านหน้า ชายหนุ่มก็บังคับรถให้เร็วขึ้นแต่ก็ไม่เร็วจนเกินไป
เขายังคงขับไปช้าๆ และเลื่อนกระจกลดลงเผยให้เห็นใบหน้าอันสง่างามดุจเทพเจ้าแห่งสวรรค์ น้ำเสียงของเขาออกมาจากลำคอ มันช่างเยือกเย็นไร้ความอบอุ่น “ยังจะหาอานเจียเย้นอยู่ไหม?”
เธอมองไปที่เขาอย่างหงุดหงิด ไม่เพียงแต่รีบเร่งฝีเท้าแต่ยังตอบกลับไปว่า “หาก็หาสิ!”
“เขาเป็นพี่ชายของฉัน ฉันติดต่อเขาไม่ได้หรือไง?”
ซูย้าวพูดออกมาด้วยความโมโหและไม่อยากจะสนใจเขาอีก
ดวงตาของลี่เฉินซีแข็งทื่อลงเล็กน้อย “อานหว่านชิง!”
“ลี่เฉินซี!” เธอตอบกลับอย่างรวดเร็วกลบเสียงของเขาจนหมด
เขาโมโหเสียจนหัวเราะออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างโกรธเคือง ยกมือข้างหนึ่งปลดกระดุมเสื้อออกด้วยท่าทางไร้อารมณ์ ก่อนจะเหยียบคันเร่งสุดแรง ทำให้รถวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วสุดลูกหูลูกตา
ซูย้าวไม่ได้สนใจต่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย เธอเดินหน้าต่อไปอย่างเงียบๆ
สถานที่นี้ค่อนข้างห่างไกล เรียกได้ว่าแต่ละวันไม่มีแท็กซี่ผ่านเลยก็เป็นได้ ดังนั้นต่อให้เธออยากจะโบกรถสักคันก็คงเป็นไปไม่ได้เหรอ สิ่งเดียวที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือเดินไปอีกหลายกิโลกว่าจะไปถึงเขตชานเมืองและที่นั่นจึงจะมีรถแท็กซี่
ซูย้าวเดินมาเนิ่นนานเลยทีเดียวและรู้สึกเหนื่อยจึงได้หยุดพักอยู่ที่ริมถนน ไม่ถึงครึ่งนาทีเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็พบกับรถเบนซ์สีดำคันนั้นปรากฏขึ้นอยู่ข้างหน้าไม่กี่ร้อยเมตร ในครั้งนี้รถจอดลงไม่ได้ขยับเขยื้อน ลี่เฉินซีไม่ได้ลงจากรถเข้ายังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับแต่มองดูเธอผ่านกระจกมองหลัง ใบหน้าของเขามืดมนยากจะบรรยาย มือข้างหนึ่งถือบุหรี่ที่จุดไฟอยู่
เธอส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ผู้ชายคนนี้นี่ ถ้าจะไปก็รีบไปเสีย หรือไม่ก็เอาเธอไปด้วย เขาว่างนักหรือไงที่ขับรถผ่านเธอไปผ่านเธอมาแบบนี้ หรือต้องการทำให้เธอโมโหใช่ไหม?
ตอนนี้ซูย้าวไม่อยากจะไปสนใจเขาจริงๆ ดังนั้นเธอจึงหายใจเข้าลึก ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งผ่านรถของชายหนุ่มไปก็ไม่หยุดพัก เธออยากจะมีปีกแล้วบินผ่านเส้นทางนี้ให้ไปถึงบริเวณที่มีรถแท็กซี่และนั่งรถกลับบ้านเองเหลือเกิน
ลี่เฉินซีขับรถตามเธอไป เขาเลื่อนกระจกลง มือข้างหนึ่งยื่นขวดน้ำแร่ให้เธอแล้วพูดว่า “ดื่มก่อนสิ”
ซูย้าวชะงักลงไปครู่หนึ่งแล้วหยุดฝีเท้าลง
เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอกระหายน้ำ?
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ในที่สุดแล้วซูย้าวก็เอื้อมมือไปหยิบมันมาเปิดฝาขวดและดื่มไปครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่เธอไม่ได้คืนให้แก่เขา แต่กลับเดินทางต่อไป
ในครั้งนี้ลี่เฉินซีจอดรถไว้ที่ริมถนน หลังจากที่เขาลงจากรถก็ได้เดินตามเธอไปเพียงสองสามก้าวก็ถึงตัว แขนยาวของเขาคว้าข้อมือบอบบางของเธอเอาไว้แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน อุ้มเธอขึ้นมาจากนั้นเดินกลับไปที่รถ
ก่อนจะวางเธอลงตรงตำแหน่งข้างคนขับ ดึงกระดาษทิศชูเปียกออกมาสองใบ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ขยับเขยื้อนจึงได้นำมันไปเช็ดที่หน้าผากซึ่งเต็มไปด้วยเหงื่อของเธอ ขณะที่เช็ดตรงมุมปากของเธอก็ได้เบามือกว่าเล็กน้อยด้วยความระมัดระวัง
“อานเจียเย้นนอกจากจะเป็นพี่ชายคุณแล้ว เขาเป็นอะไรของคุณอีก?” นำเสียงต่ำทุ้มของเขาพูดออกมาเบาๆ ดวงตาอันเย็นเยือกดุจดังสระน้ำลึกที่คาดเดายาก
ซูย้าวตกตะลึงและเอ่ยถามกลับไปว่า “คุณหวังว่าเขาจะเป็นอะไรกับฉันอีก?”
เมื่อสิ้นเสียงหลงดวงตาอันงดงามคู่นั้นของเธอก็เป็นประกาย และพูดออกมาอย่างเยาะเย้ยขบขันว่า “สามีเหรอคะ? หรือว่าแฟน?”
ลี่เฉินซีวางแขนลง เขาเอียงตัวไปมองเธอ “เขาใช่หรือเปล่า?”
ที่จริงแล้วคำตอบนั้นชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย
หากเป็นตามปกติแล้วซูย้าวจะให้คำตอบเชิงปฏิเสธเสมอมา แต่บัดนี้เธอเองทั้งโมโหและอารมณ์ไม่ดีอยากจะทำยั่วอารมณ์เขา จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ทำนองนั้น หรืออาจจะใช่ก็ได้”
การที่อานเจียเย้นชอบเธอ เธอรู้มาตั้งนานแล้ว
แต่ในตอนนั้นเธอคิดว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันทางสายเลือด ถึงแม้ว่าบางครั้งทั้งสองคนอาจจะสนิทสนมกันและเกิดความรู้สึกอันซับซ้อนขึ้นบ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีความคืบหน้าได้มากกว่านี้ จึงได้ละเลยไป
แต่หลังจากที่เธอกลับมายังเมืองA การตรวจสอบก่อนหน้านี้ที่หรู่โจวทำให้เธอรู้ว่าอานเจียเย้นกับเธอเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแม้แต่น้อย
กระทั่งพูดได้ว่าเขานั้นไม่ใช่อานเจียเย้นตัวจริง รวมไปถึงชื่อตัวตนและทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสองคน ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันในความเป็นจริงเลย
ดังนั้นความรู้สึกชอบนี่ก็สามารถเป็นไปได้