“อ้าว ถ้าอย่างนั้นเธอไปคนเดียวเหรอ?”
เจียงจี้เซิงถามด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่รอให้ลี่เฉินซีตอบสนองกลับมา เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาเลขา
ไม่นานต่อมา เลขาก็โทรศัพท์กลับมาหาเขา หลังจากวางสายไปแล้ว เจียงจี้เซิงก็เงยหน้าขึ้นมามองดูลี่เฉินซีพูดว่า “เลขาของผมตรวจสอบดูแล้วเมื่อสักครู่ คุณอานจองเที่ยวบิน ไปยังมาดริดเมื่อเช้านี้ เที่ยวบินเวลาเจ็ดโมงห้าสิบห้านาที ตอนนี้น่าจะ……”
ตอนที่เขาพูดก็ได้ก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือ “ตอนนี้น่าจะขึ้นเครื่องบินไปแล้ว เธอกลับไปยุโรป”
ใบหน้าที่หล่อเหลาของลี่เฉินซีขุ่นมัวขึ้นมาทันที เขายกมือขึ้นคลายเนคไทออกอย่างหมดความอดทน ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
เจียงจี้เซิงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหยุดเขาไว้ “จะไปไหน ไปหาเธอที่ยุโรปหรือไง?”
“ไม่” น้ำเสียงของลี่เฉินซีต่ำทุ้ม สีหน้าไม่เปลี่ยนไปตอบว่า “จะกลับเมืองA เจิ้งเอ๋อกับหมิงเอ๋อยู่ที่นั่น ฉันไม่วางใจ”
เขาไม่ได้อยู่กับลูกมาหลายวันแล้ว เดิมทีเขาก็คิดถึงมาก ตั้งใจว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้จะพาเธอกลับเมืองA คิดไม่ถึงว่าเธอจะ……
เจียงจี้เซิงพูดต่อว่า “เดี๋ยวก่อนเนอะ ผมจะเอาข่าวให้ดู”
เมื่อเขาพูดจบ ก็เดินหันหลังไปที่ห้องอาหาร เซียวไน่รู้ว่าเขาจะมาเอาอะไร จึงได้ส่งหนังสือพิมพ์มาให้แก่เขา
เพียงไม่นานเจียงจี้เซิงก็ได้เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าเขา และส่งหนังสือพิมพ์ให้ ข่าวหน้าหนึ่งไม่ได้สำคัญเท่าไร แต่เมื่อเปิดไปด้านหลัง ก็เป็นข่าวอุบัติเหตุทางรถยนต์ และผู้เคราะห์ร้ายก็คือหลี่เหว่ยเถียนประธานหลี่ ผู้รับผิดชอบของโรงงานแป้งเมื่อวานนี้ที่เกิดทะเลาะกัน
อุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งนี้ดูเหมือนจะร้ายแรงมากทีเดียวดังนั้นประธานหลี่จึงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที ทางตำรวจจึงตัดสินว่าอีกฝ่ายหนึ่งดื่มสุราทำให้เป็นเหตุ การที่นำมาลงหนังสือพิมพ์เช่นนี้ก็เพื่อจะตามหาและจับกุมตัวผู้กระทำผิด
ลี่เฉินซีมองดูข่าวนั้น ดวงตาของเขาลึกล้ำเฉียบคมแต่ก็ดูขุ่นมัว
“จะเป็นเรื่องบังเอิญขนาดนั้นเชียว?” เจียงจี้เซิงเอ่ยถามออกมา
เมื่อวานนี้ประธานหลี่ได้ลงไม้ลงมือกับซูย้าว และสร้างความวุ่นวายพอสมควร ด้านของเจียงจี้เซิงก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบโรงงานแป้งนั้น ว่าหลายปีมานี้ติดต่อธุรกิจกับใครบ้าง และในขณะนั้นเอง จู่ๆ ประธานหลี่ก็เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
บังเอิญเหลือเกินที่เป็นเวลานี้ นี่มันบังเอิญเกินไป บังเอิญเสียยากจะจินตนาการ!
ลี่เฉินซีนามหนังสือพิมพ์ส่งคืนให้เขา “คุณคิดว่ายังไงล่ะ?”
“เรื่องราวจะเป็นอย่างไรกันแน่นั้น ปล่อยให้เป็นเรื่องของทางตำรวจไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา เพียงแต่ว่าเป็นเพราะเธอเห็นข่าวนี้เข้าจึงได้ตัดสินใจกลับไปหรือเปล่า?”
ลี่เฉินซีลังเลอยู่ชั่วครู่ ด้วยเวลาเนิ่นนานมานี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรทำอะไร บีบบังคับหรือหลอกลวงเธออย่างไรใช่เรื่องความโหดเหี้ยม ก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ยืนกรานที่จะปฏิเสธไม่พูดอะไรเลย
นอกจากการที่เธอต้องการปกป้องเขาและลูกแล้ว เธอพยายามไม่ให้เขารู้เรื่องอะไรเลย อาจเป็นเพราะเกรงว่าจะนำอันตรายมาให้ หรือยิ่งไปกว่านั้นก็คงจะเป็นเพราะความกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจ
ในตอนนั้นอานเจียเย้นพาตัวเธอไปและอยู่ข้างกายเขาทั้งวันทั้งคืน ก่อนจะลบความทรงจำ จนพูดได้ว่าซูย้าวรู้จักนิสัยของอานเจียเย้นดี เมื่อเห็นถึงอันตรายเห็นถึงความน่าหวาดกลัว การที่เธอเกรงกลัวก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เจียงจี้เซิงมองไปที่ใบหน้าอันมืดมนของเขา แต่คงไม่อาจคาดเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่ ดังนั้นจึงทำได้เพียงพูดว่า “เอาล่ะ อย่าคิดมากไปเลย เธอคงจะมีเหตุผลของเธอจึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้ แต่การเดินทางไปครั้งนี้คาดว่าจะเลวร้ายมากกว่าดี คุณควรจะตามไปดูสักหน่อย”
“เดี๋ยวค่อยว่ากัน” น้ำเสียงอันเย็นชาของลี่เฉินซีดูหนักอึ้ง แต่เขาก็ทิ้งไว้เพียงแค่ประโยคหนึ่งก่อนจะเดินอ้อมจากเจียงจี้เซิงออกไปนอกคฤหาสน์
เขาไม่ได้ฟังคำแนะนำของเจียงจี้เซิง และไม่ได้ไปยุโรป ไม่ได้แม้แต่จะไปตามหาเธอด้วยซ้ำ หรือไม่เคยคิดที่จะส่งคนไปตรวจสอบเรื่องราวของเธอ
ตอนนี้สิ่งเดียวที่ลี่เฉินซีทำได้ก็คือรีบกลับไปเมืองA ให้เร็วที่สุดและเดินทางไปที่โรงพยาบาล
ในขณะที่เขาเดินทางมาถึงห้องผู้ป่วย ซูหยวนก็อยู่ที่นั่นด้วย ดูเหมือนว่าเธอจะมาสักพักหนึ่งแล้ว และกำลังจะป้อนน้ำซุปร้อนๆ ให้กับ ลี่หมิง แต่กลับถูกเด็กน้อยปัดซุปจนหก
น้ำซุปร้อนกระเด็นออกมาทำให้ซูหยวนร้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ลี่เฉินซีก้าวเข้าไปข้างหน้า หลีกเลี่ยงชามน้ำซุปร้อนที่หกแตกอยู่บนพื้น เขาเดินเข้าไปใกล้เธอและถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
ซูหยวนพยายามอดทนกับความเจ็บปวดตรงข้อมือ แล้วบีบรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมา “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันโอเค”
เมื่อเธอพูดจบก็หันไปทางลี่หมิง “หมิงเอ๋อ โดนน้ำซุปร้อนหรือเปล่า?”
ใบหน้าของลี่หมิงตึงเครียด ไม่มีท่าทางใดๆ แสดงออกมาทั้งสิ้น แขนเล็กทั้งสองข้างของเขายังคงกอดอยู่ตรงหน้าอกเหมือนกับผู้ใหญ่
ลี่เฉินซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว มือของเขาสัมผัสลงที่บนศีรษะของลูกชายเบาๆ น้ำเสียงต่ำทุ้มแสดงถึงการตักเตือนว่า “เป็นอะไรกัน พ่อเคยบอกไว้แล้วไม่ใช่หรือไงว่าจะต้องมีมารยาท คุณน้าจะป้อนข้าวให้ ทำอย่างนี้ได้ยังไง?”
“พ่อครับ” ลี่หมิงเงยหน้าขึ้นด้วยความไม่พอใจ ดวงตากลมโตคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน
เขาบอกกับพ่อไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าคุณน้าอู๋ไม่ใช่คนดี ย้ำอีกครั้งว่าไม่ใช่คนดี! แต่พ่อก็ไม่ยอมเชื่อเขา ก็จริงสินะ คงจะเห็นว่าเขายังเป็นเด็ก ทุกคนมองเขาว่ายังเล็กและคำพูดเชื่อถือไม่ได้
ตอนนี้หัวใจของลี่หมิงช่างเยือกเย็นเหลือเกิน เขาหันหลังกลับแล้วปีนขึ้นไปบนเตียงก่อนจะหดตัวนำผ้าห่มมาคลุมเอาไว้ โผล่ให้เห็นออกมาเพียงศีรษะเล็กๆ
ลี่เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อมองดูลูกชาย ก่อนจะละสายตาหันไปพูดกับซูหยวนว่า “คุณอู๋ ขอโทษนะครับ ผมต้องขอโทษแทนหมิงเอ๋อด้วย”
“แหม เฉินซีคะ คุณพูดแบบนี้ดูเหินห่างกันไปแล้ว ไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ” ซูหยวนส่งยิ้มหวานออกมา น้ำเสียงของเธอช่างอ่อนโยนดุจดั่งดอกไม้บานสะพรั่งในเรือนกระจก มีเสน่ห์ดึงดูดมักทำให้ผู้คนใจอ่อนอยู่เสมอ
ลี่เฉินซีมองไปที่ข้อมือของเธอ ผิวขาวผ่องถูกซุปร้อนลวกกลายเป็นสีแดงเล็กน้อย เขาจึงพูดขึ้นว่า “ไปให้พยาบาลจัดการก่อนเถอะครับ ถ้าอักเสบขึ้นมาก็คงแย่”
ดวงตาของซูหยวนเต็มไปด้วยความรู้สึกประทับใจ เธอชื่นชอบการเอาใจใส่ของเขาแบบนี้มาก หลังจากสนทนากันอยู่อีกสองสามประโยค ลี่เฉินซีก็ได้เรียกพยาบาลเข้ามา จากนั้นเธอจึงเดินออกไปกับพยาบาล
ในห้องผู้ป่วยจึงกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง ลี่เฉินซีปิดประตูห้องลงก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่เตียง นั่งลงและเอื้อมมือออกมาเปิดผ้าห่มออก ลี่หมิงรีบหันกลับไปด้วยความรวดเร็วดูเหมือนไม่อยากจะสนใจเขา
ลี่เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขาเอื้อมมือออกไปจับร่างเล็กๆ ให้พลิกหันกลับมา แล้วดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “พ่อไม่ได้หมายความว่าจะตำหนิลูก”
เมื่อคำพูดนี้พูดออกมา ลี่หมิงก็ตกตะลึงเล็กน้อย
ลี่เฉินซีอุ้มลูกชายของเขาเอาไว้อย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเด็กโง่ พ่อรู้ว่าเราไม่ชอบน้าอู๋ และรู้สึกว่าเธอเป็นคนไม่ดีใช่ไหม?”
ทำไมเขาจะไม่เชื่อลูกชายของตัวเองล่ะ?
เพียงแต่น่าเสียดายเหลือเกินหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนั้นเขาส่งคนไปสืบอย่างละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับอู๋หยานผู้หญิงคนนี้ แต่ก็ไม่มีเงื่อนงำใดๆ เลย ในเมื่อเธอไม่มีเรื่องที่ต้องสงสัย จะใช้เพียงแค่ความสงสัยส่วนตัวก็ไม่อาจสามารถ ตัดสินได้ว่าคนคนนี้เป็นคนไม่ดีใช่ไหมล่ะ?
อีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้บางทีเธออาจจะวางแผนมาดีจนไม่อาจหาที่ติได้ แต่เมื่อเวลานานไปเข้า สักวันห้างก็จะโผล่ออกมาให้เห็น ดังนั้นอนาคตยังอีกยาวไกล ทำไมเขาไม่อดทนไปก่อนล่ะ?
ความคิดเหล่านี้ผู้ใหญ่อาจจะคิดได้แต่เด็กอาจจะไม่
ต่อให้ลี่หมิงจะมีไอคิวสูงขนาดไหน และมีความสามารถในการคิดและตรรกะมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป แต่เขาก็เป็นเพียงแค่เด็ก ไม่มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมากมาย ไม่สามารถอ่านใจคนได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเขายังไร้เดียงสาเหลือเกิน
ตอนนี้ลี่เฉินซีก็ไม่สะดวกที่จะอธิบายกับลูกมากเกินไป เขาจึงทำเพียงแค่กอดเจ้าตัวเล็กเอาไว้แน่นแล้วหอมแก้ม “เจ้าเด็กตัวเหม็น พ่อรู้นะว่าลูกฉลาดมาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็ก ก่อนหน้านี้แม่เคยพูดมาก่อนไม่ใช่หรือไง อยากให้ลูกเป็นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น เห็นแก่เรียนหนังสือและเที่ยวเล่นค่อยๆ เติบโตขึ้นก็พอ”
ลี่หมิงมองไปที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า “พ่อเชื่อผมจริงๆ เหรอ?”
ลี่เฉินซีพยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอนสิ มีพ่อที่ไหนไม่เชื่อลูกตัวเองกันล่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้นพ่อก็ไปแจ้งตำรวจสิ ให้พวกเขามาจับตัวน้าอู๋ เธอเป็นคนไม่ดี!” ลี่หมิงพูดอย่างรีบร้อนกังวลใจ “ตอนที่เกิดเหตุไฟไหม้เป็นเพราะเธอผลักพี่ใหญ่จึงทำให้ตกลงไปจากบันได เลวมากจริงๆ นะ!”
ดวงตาของลี่เฉินซีตกตะลึงแล้วมองมาทางบุตรชาย “ว่าอะไรนะ?”
ลี่หมิงพูดประโยคเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นยื่นมือเล็กๆ เข้ามาโอบแขนของชายหนุ่มเขย่าเบาๆ “จริงนะครับ ผมเห็นเองกับตาเลยพ่อครับ ผมไม่ได้โกหกนะพ่อต้องเชื่อผม”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นเธอไปคนเดียวเหรอ?”
เจียงจี้เซิงถามด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่รอให้ลี่เฉินซีตอบสนองกลับมา เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาเลขา
ไม่นานต่อมา เลขาก็โทรศัพท์กลับมาหาเขา หลังจากวางสายไปแล้ว เจียงจี้เซิงก็เงยหน้าขึ้นมามองดูลี่เฉินซีพูดว่า “เลขาของผมตรวจสอบดูแล้วเมื่อสักครู่ คุณอานจองเที่ยวบิน ไปยังมาดริดเมื่อเช้านี้ เที่ยวบินเวลาเจ็ดโมงห้าสิบห้านาที ตอนนี้น่าจะ……”
ตอนที่เขาพูดก็ได้ก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือ “ตอนนี้น่าจะขึ้นเครื่องบินไปแล้ว เธอกลับไปยุโรป”
ใบหน้าที่หล่อเหลาของลี่เฉินซีขุ่นมัวขึ้นมาทันที เขายกมือขึ้นคลายเนคไทออกอย่างหมดความอดทน ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
เจียงจี้เซิงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหยุดเขาไว้ “จะไปไหน ไปหาเธอที่ยุโรปหรือไง?”
“ไม่” น้ำเสียงของลี่เฉินซีต่ำทุ้ม สีหน้าไม่เปลี่ยนไปตอบว่า “จะกลับเมืองA เจิ้งเอ๋อกับหมิงเอ๋อยู่ที่นั่น ฉันไม่วางใจ”
เขาไม่ได้อยู่กับลูกมาหลายวันแล้ว เดิมทีเขาก็คิดถึงมาก ตั้งใจว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้จะพาเธอกลับเมืองA คิดไม่ถึงว่าเธอจะ……
เจียงจี้เซิงพูดต่อว่า “เดี๋ยวก่อนเนอะ ผมจะเอาข่าวให้ดู”
เมื่อเขาพูดจบ ก็เดินหันหลังไปที่ห้องอาหาร เซียวไน่รู้ว่าเขาจะมาเอาอะไร จึงได้ส่งหนังสือพิมพ์มาให้แก่เขา
เพียงไม่นานเจียงจี้เซิงก็ได้เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าเขา และส่งหนังสือพิมพ์ให้ ข่าวหน้าหนึ่งไม่ได้สำคัญเท่าไร แต่เมื่อเปิดไปด้านหลัง ก็เป็นข่าวอุบัติเหตุทางรถยนต์ และผู้เคราะห์ร้ายก็คือหลี่เหว่ยเถียนประธานหลี่ ผู้รับผิดชอบของโรงงานแป้งเมื่อวานนี้ที่เกิดทะเลาะกัน
อุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งนี้ดูเหมือนจะร้ายแรงมากทีเดียวดังนั้นประธานหลี่จึงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที ทางตำรวจจึงตัดสินว่าอีกฝ่ายหนึ่งดื่มสุราทำให้เป็นเหตุ การที่นำมาลงหนังสือพิมพ์เช่นนี้ก็เพื่อจะตามหาและจับกุมตัวผู้กระทำผิด
ลี่เฉินซีมองดูข่าวนั้น ดวงตาของเขาลึกล้ำเฉียบคมแต่ก็ดูขุ่นมัว
“จะเป็นเรื่องบังเอิญขนาดนั้นเชียว?” เจียงจี้เซิงเอ่ยถามออกมา
เมื่อวานนี้ประธานหลี่ได้ลงไม้ลงมือกับซูย้าว และสร้างความวุ่นวายพอสมควร ด้านของเจียงจี้เซิงก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบโรงงานแป้งนั้น ว่าหลายปีมานี้ติดต่อธุรกิจกับใครบ้าง และในขณะนั้นเอง จู่ๆ ประธานหลี่ก็เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
บังเอิญเหลือเกินที่เป็นเวลานี้ นี่มันบังเอิญเกินไป บังเอิญเสียยากจะจินตนาการ!
ลี่เฉินซีนามหนังสือพิมพ์ส่งคืนให้เขา “คุณคิดว่ายังไงล่ะ?”
“เรื่องราวจะเป็นอย่างไรกันแน่นั้น ปล่อยให้เป็นเรื่องของทางตำรวจไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา เพียงแต่ว่าเป็นเพราะเธอเห็นข่าวนี้เข้าจึงได้ตัดสินใจกลับไปหรือเปล่า?”
ลี่เฉินซีลังเลอยู่ชั่วครู่ ด้วยเวลาเนิ่นนานมานี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรทำอะไร บีบบังคับหรือหลอกลวงเธออย่างไรใช่เรื่องความโหดเหี้ยม ก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ยืนกรานที่จะปฏิเสธไม่พูดอะไรเลย
นอกจากการที่เธอต้องการปกป้องเขาและลูกแล้ว เธอพยายามไม่ให้เขารู้เรื่องอะไรเลย อาจเป็นเพราะเกรงว่าจะนำอันตรายมาให้ หรือยิ่งไปกว่านั้นก็คงจะเป็นเพราะความกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจ
ในตอนนั้นอานเจียเย้นพาตัวเธอไปและอยู่ข้างกายเขาทั้งวันทั้งคืน ก่อนจะลบความทรงจำ จนพูดได้ว่าซูย้าวรู้จักนิสัยของอานเจียเย้นดี เมื่อเห็นถึงอันตรายเห็นถึงความน่าหวาดกลัว การที่เธอเกรงกลัวก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เจียงจี้เซิงมองไปที่ใบหน้าอันมืดมนของเขา แต่คงไม่อาจคาดเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่ ดังนั้นจึงทำได้เพียงพูดว่า “เอาล่ะ อย่าคิดมากไปเลย เธอคงจะมีเหตุผลของเธอจึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้ แต่การเดินทางไปครั้งนี้คาดว่าจะเลวร้ายมากกว่าดี คุณควรจะตามไปดูสักหน่อย”
“เดี๋ยวค่อยว่ากัน” น้ำเสียงอันเย็นชาของลี่เฉินซีดูหนักอึ้ง แต่เขาก็ทิ้งไว้เพียงแค่ประโยคหนึ่งก่อนจะเดินอ้อมจากเจียงจี้เซิงออกไปนอกคฤหาสน์
เขาไม่ได้ฟังคำแนะนำของเจียงจี้เซิง และไม่ได้ไปยุโรป ไม่ได้แม้แต่จะไปตามหาเธอด้วยซ้ำ หรือไม่เคยคิดที่จะส่งคนไปตรวจสอบเรื่องราวของเธอ
ตอนนี้สิ่งเดียวที่ลี่เฉินซีทำได้ก็คือรีบกลับไปเมืองA ให้เร็วที่สุดและเดินทางไปที่โรงพยาบาล
ในขณะที่เขาเดินทางมาถึงห้องผู้ป่วย ซูหยวนก็อยู่ที่นั่นด้วย ดูเหมือนว่าเธอจะมาสักพักหนึ่งแล้ว และกำลังจะป้อนน้ำซุปร้อนๆ ให้กับ ลี่หมิง แต่กลับถูกเด็กน้อยปัดซุปจนหก
น้ำซุปร้อนกระเด็นออกมาทำให้ซูหยวนร้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ลี่เฉินซีก้าวเข้าไปข้างหน้า หลีกเลี่ยงชามน้ำซุปร้อนที่หกแตกอยู่บนพื้น เขาเดินเข้าไปใกล้เธอและถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
ซูหยวนพยายามอดทนกับความเจ็บปวดตรงข้อมือ แล้วบีบรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมา “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันโอเค”
เมื่อเธอพูดจบก็หันไปทางลี่หมิง “หมิงเอ๋อ โดนน้ำซุปร้อนหรือเปล่า?”
ใบหน้าของลี่หมิงตึงเครียด ไม่มีท่าทางใดๆ แสดงออกมาทั้งสิ้น แขนเล็กทั้งสองข้างของเขายังคงกอดอยู่ตรงหน้าอกเหมือนกับผู้ใหญ่
ลี่เฉินซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว มือของเขาสัมผัสลงที่บนศีรษะของลูกชายเบาๆ น้ำเสียงต่ำทุ้มแสดงถึงการตักเตือนว่า “เป็นอะไรกัน พ่อเคยบอกไว้แล้วไม่ใช่หรือไงว่าจะต้องมีมารยาท คุณน้าจะป้อนข้าวให้ ทำอย่างนี้ได้ยังไง?”
“พ่อครับ” ลี่หมิงเงยหน้าขึ้นด้วยความไม่พอใจ ดวงตากลมโตคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน
เขาบอกกับพ่อไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าคุณน้าอู๋ไม่ใช่คนดี ย้ำอีกครั้งว่าไม่ใช่คนดี! แต่พ่อก็ไม่ยอมเชื่อเขา ก็จริงสินะ คงจะเห็นว่าเขายังเป็นเด็ก ทุกคนมองเขาว่ายังเล็กและคำพูดเชื่อถือไม่ได้
ตอนนี้หัวใจของลี่หมิงช่างเยือกเย็นเหลือเกิน เขาหันหลังกลับแล้วปีนขึ้นไปบนเตียงก่อนจะหดตัวนำผ้าห่มมาคลุมเอาไว้ โผล่ให้เห็นออกมาเพียงศีรษะเล็กๆ
ลี่เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อมองดูลูกชาย ก่อนจะละสายตาหันไปพูดกับซูหยวนว่า “คุณอู๋ ขอโทษนะครับ ผมต้องขอโทษแทนหมิงเอ๋อด้วย”
“แหม เฉินซีคะ คุณพูดแบบนี้ดูเหินห่างกันไปแล้ว ไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ” ซูหยวนส่งยิ้มหวานออกมา น้ำเสียงของเธอช่างอ่อนโยนดุจดั่งดอกไม้บานสะพรั่งในเรือนกระจก มีเสน่ห์ดึงดูดมักทำให้ผู้คนใจอ่อนอยู่เสมอ
ลี่เฉินซีมองไปที่ข้อมือของเธอ ผิวขาวผ่องถูกซุปร้อนลวกกลายเป็นสีแดงเล็กน้อย เขาจึงพูดขึ้นว่า “ไปให้พยาบาลจัดการก่อนเถอะครับ ถ้าอักเสบขึ้นมาก็คงแย่”
ดวงตาของซูหยวนเต็มไปด้วยความรู้สึกประทับใจ เธอชื่นชอบการเอาใจใส่ของเขาแบบนี้มาก หลังจากสนทนากันอยู่อีกสองสามประโยค ลี่เฉินซีก็ได้เรียกพยาบาลเข้ามา จากนั้นเธอจึงเดินออกไปกับพยาบาล
ในห้องผู้ป่วยจึงกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง ลี่เฉินซีปิดประตูห้องลงก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่เตียง นั่งลงและเอื้อมมือออกมาเปิดผ้าห่มออก ลี่หมิงรีบหันกลับไปด้วยความรวดเร็วดูเหมือนไม่อยากจะสนใจเขา
ลี่เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขาเอื้อมมือออกไปจับร่างเล็กๆ ให้พลิกหันกลับมา แล้วดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “พ่อไม่ได้หมายความว่าจะตำหนิลูก”
เมื่อคำพูดนี้พูดออกมา ลี่หมิงก็ตกตะลึงเล็กน้อย
ลี่เฉินซีอุ้มลูกชายของเขาเอาไว้อย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเด็กโง่ พ่อรู้ว่าเราไม่ชอบน้าอู๋ และรู้สึกว่าเธอเป็นคนไม่ดีใช่ไหม?”
ทำไมเขาจะไม่เชื่อลูกชายของตัวเองล่ะ?
เพียงแต่น่าเสียดายเหลือเกินหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนั้นเขาส่งคนไปสืบอย่างละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับอู๋หยานผู้หญิงคนนี้ แต่ก็ไม่มีเงื่อนงำใดๆ เลย ในเมื่อเธอไม่มีเรื่องที่ต้องสงสัย จะใช้เพียงแค่ความสงสัยส่วนตัวก็ไม่อาจสามารถ ตัดสินได้ว่าคนคนนี้เป็นคนไม่ดีใช่ไหมล่ะ?
อีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้บางทีเธออาจจะวางแผนมาดีจนไม่อาจหาที่ติได้ แต่เมื่อเวลานานไปเข้า สักวันห้างก็จะโผล่ออกมาให้เห็น ดังนั้นอนาคตยังอีกยาวไกล ทำไมเขาไม่อดทนไปก่อนล่ะ?
ความคิดเหล่านี้ผู้ใหญ่อาจจะคิดได้แต่เด็กอาจจะไม่
ต่อให้ลี่หมิงจะมีไอคิวสูงขนาดไหน และมีความสามารถในการคิดและตรรกะมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป แต่เขาก็เป็นเพียงแค่เด็ก ไม่มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมากมาย ไม่สามารถอ่านใจคนได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเขายังไร้เดียงสาเหลือเกิน
ตอนนี้ลี่เฉินซีก็ไม่สะดวกที่จะอธิบายกับลูกมากเกินไป เขาจึงทำเพียงแค่กอดเจ้าตัวเล็กเอาไว้แน่นแล้วหอมแก้ม “เจ้าเด็กตัวเหม็น พ่อรู้นะว่าลูกฉลาดมาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็ก ก่อนหน้านี้แม่เคยพูดมาก่อนไม่ใช่หรือไง อยากให้ลูกเป็นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น เห็นแก่เรียนหนังสือและเที่ยวเล่นค่อยๆ เติบโตขึ้นก็พอ”
ลี่หมิงมองไปที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า “พ่อเชื่อผมจริงๆ เหรอ?”
ลี่เฉินซีพยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอนสิ มีพ่อที่ไหนไม่เชื่อลูกตัวเองกันล่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้นพ่อก็ไปแจ้งตำรวจสิ ให้พวกเขามาจับตัวน้าอู๋ เธอเป็นคนไม่ดี!” ลี่หมิงพูดอย่างรีบร้อนกังวลใจ “ตอนที่เกิดเหตุไฟไหม้เป็นเพราะเธอผลักพี่ใหญ่จึงทำให้ตกลงไปจากบันได เลวมากจริงๆ นะ!”
ดวงตาของลี่เฉินซีตกตะลึงแล้วมองมาทางบุตรชาย “ว่าอะไรนะ?”
ลี่หมิงพูดประโยคเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นยื่นมือเล็กๆ เข้ามาโอบแขนของชายหนุ่มเขย่าเบาๆ “จริงนะครับ ผมเห็นเองกับตาเลยพ่อครับ ผมไม่ได้โกหกนะพ่อต้องเชื่อผม”