รักษา ช่วยชีวิต ตรวจแลบ แล้วก็ช่วยชีวิต แล้ววนมาที่รักษาอีก……
ตลอดทั้งกระบวนการถูกยืดเยื้อออกไปอย่างไม่มีหยุดพัก เวลาเดินผ่านไปวินาทีแล้วนาทีเล่า สำหรับซูย้าวกับลี่เฉินซีแล้ว มันยาวนานราวกับใช้เวลาหลายศตวรรษ
หลังจากการอดทนรอมาอย่างยาวนาน ในที่สุดท้องฟ้าข้างน้องก็เริ่มสว่าง แสงแห่งรุ่งอรุณอันเจิดจ้า ลอดผ่านหน้าต่างสาดส่องมายังบริเวณทางเดิน
ทั้งสองคนไม่ได้นอนทั้งคืน ตลอดเวลาที่เห็นคุณหมอเดินเข้าๆ ออกๆ ภายในห้องกักโรค หัวใจของทั้งสองที่กำลังกังวลก็แทบจะทะลุออกมานอกอก เหมือนลูกธนูที่รัดตึง เพียงแค่แตะนิดเดียว ก็ปลิดปลิวออกไปอย่างไร้ทางเก็บกลับมาได้
ทางหลินโม่ป๋ายเองก็เพิ่งได้รับข่าวเมื่อช่วงเช้า จึงรีบบึ่งมาที่โรงพยาบาลภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว
คนที่มากับเขาด้วย คือหัวหน้าแต่ละแผนกในโรงพยาบาล รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญในด้านการป้องกันโรค เมื่อหลินโม่ป๋ายออกคำสั่ง ทุกคนต่างก็สวมใส่ชุดป้องกัน จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย
ต่อมา เขาก็เดินมาหาซูย้าว เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือดของเธอ ไร้ชีวิตชีวาเหมือนตุ๊กตาพังๆ หัวคิ้วของเขาพลันขมวดมุ่นอย่างนึกสงสาร เขารีบเดินเข้าไปพร้อมกับประคองไหล่ของเธอเอาไว้ “ไม่เป็นไรนะ มีฉันอยู่ด้วยทุกอย่างต้องไม่เป็นอะไร”
“พวกหมอมากันหมดแล้ว ไม่นานผลก็คงออก ไม่ต้องกังวล มันไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรหรอก ยังไงก็ต้องรักษาหาย!”
หลินโม่ป๋ายเอ่ยปลอบโยนเรื่อยๆ มือใหญ่ประคองแขนของเธอเบาๆ “เข้มแข็งหน่อยสิ เขาต้องไม่เป็นอะไร……”
ขณะที่พูด จู่ๆ ประตูห้องผู้ป่วยก็เปิดออกมาอีกครั้ง หมอสิบกว่าคนทยอยเดินออกมาจากข้างใน หัวหน้าที่เดินนำออกมาก่อนถอดหน้ากากอนามัยออก พร้อมกับพรูลมหายใจออกมา “ผลการตรวจอย่างละเอียดออกมาแล้วนะครับ วินิจฉัยได้ว่าคนไข้เป็นเชื้อโรคเยอนิเซีย ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่มีความรุนแรงมาก แต่ว่าเพราะรักษาได้ทันเวลา อาการจึงไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ ทางผู้ปกครองไม่ต้องกังวลนะครับ พวกผมจะพยายามรักษาเต็มที่”
เชื้อโรคเยอนิเซียงั้นเหรอ
ใบหน้าหล่อใสของหลินโม่ป๋ายเคร่งขรึมในทันที เอ่ยย้อนถามว่า “แน่ใจนะ?”
คุณหมอต่างพากันพยักหน้า “พวกผมตรวจซ้ำหลายรอบแล้วครับ ผลออกมาเหมือนกันหมด อีกอย่างได้มีการติดต่อศูนย์ป้องกันโรคไปแล้วครับ”
พูดจบ คุณหมอก็เบนสายตามาที่ลี่เฉินซี พร้อมกับสอบถามช่วงเวลาก่อนที่ลี่หมิงจะป่วย เขาได้ไปสัมผัสใกล้ชิดกับใครมาก่อนหรือเปล่า เพราะว่าทุกคนที่ผ่านการสัมผัสใกล้ชิด ต่างก็ต้องทำการตรวจอีกขั้น เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่แพร่กระจายเชื้อไปให้คนอื่นอีก
เขาทำความเข้าใจเรื่องราวเสร็จ ก็หันหลังหยิบโทรศัพท์ต่อสาย ให้ทางแม่บ้านพาลี่เจิ้งกับซีซีไปตรวจอย่างละเอียด รวมไปถึงทุกคนทางนั้นที่เคยใกล้ชิดกับลี่หมิง ก็ต้องทำการตรวจด้วยเช่นกัน
ส่วนทางนี้ ซูย้าวรู้สึกเหมือนโลกพังทลาย หลังจากตกตะกอนรายละเอียดได้ ก็หันไปมองคุณหมอ “มันคือโรคฉี่หนูใช่ไหมคะ?”
โรคติดเชื้อจากกาฬโรค ตัวอย่างที่มีให้เห็นคือโรคฉี่หนู
เชื้อชนิดนี้ ในสังคมปัจจุบันแทบจะไม่มีใครติด แล้วทำไมโชคร้ายต้องมาตกอยู่ที่ลี่หมิง?!
เมื่อคุณหมอเห็นว่าปิดไปยังไงก็คงปิดเธอไม่มิด จึงทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับ “ใช่ครับ ถ้าเอาตามความหมายดั้งเดิม มันก็คือโรคฉี่หนูนั่นแหละครับ สอบถามได้ไหมครับว่าก่อนหน้านี้คนไข้ได้ไปพื้นที่ป่ามาหรือเปล่า?”
คุณหมอหยุดพูดไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “เคยสัมผัสสัตว์ป่าตัวเล็กๆ อย่างเช่นหมัดหนูหรือว่ามาร์มอตพวกนี้หรือเปล่า”
ซูย้าวลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ส่ายหัวช้าๆ ให้คำตอบอย่างมั่นใจว่า “ไม่ค่ะ ไม่เคยแน่นอน”
เธอหยุดคิดอยู่สักครู่แล้วเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ต้องนอนโรงพยาบาลเพราะช่วงขาได้รับบาดเจ็บ ไม่มีทางเคยไปพื้นที่ป่าแน่นอน ถึงบางครั้งหมิงเอ๋อจะชอบเลี้ยงสัตว์ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกแฮมสเตอร์ หรือหนูตะเภา ตอนที่เลี้ยง ก็ฉีดวัคซีนป้องกันหลายชนิด แถมยังฆ่าเชื้ออย่างเคร่งครัด…….”
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับลี่หมิงนานเท่าที่ควร แต่ในเรื่องนี้ เธอเชื่อมั่นในตัวลี่เฉินซีสุดใจ ว่าเขาไม่มีทางให้ลูกเลี้ยงสัตว์โดยไม่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคและฉีดวัคซีน แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นพวกคลั่งสะอาด ทั้งเจิ้งเอ๋อและหมิงเอ๋อ ต่างก็พลอยรักสะอาดไปด้วย ในบ้านก็มีแม่บ้านกับคนใช้ตั้งหลายคน จะปล่อยให้มีสัตว์จำพวกที่ว่าเข้าใกล้เด็กๆ ได้ยังไง?
ใบหน้าของคุณหมอปรากฏความหนักแน่น “ในด้านการรักษา ทางผู้ปกครองไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ อีกอย่างเนื่องจากคนไข้ยังอยู่ในช่วงติดเชื้อ ดังนั้นผู้ปกครองห้ามเข้าไปเยี่ยมโดยพลการเด็ดขาด ส่วนรายละเอียดที่มาของการติดเชื้อเป็นยังไง แผนกที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตรวจสอบอีกทีครับ”
การที่ในเมืองใหญ่ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของเมืองอื่นๆ ซึ่งการทำอย่างนี้ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลและปกติมาก
ซูย้าวพยักหน้ารับรู้ “รบกวนคุณหมอด้วยค่ะ”
จากนั้นเธอก็สอบถามเกี่ยวกับอาการป่วยของลี่หมิงอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าตอนนี้ลูกไม่ได้เป็นอันตรายอะไรมาก ขอแค่ให้ความร่วมมือในการรักษาดีๆ ผ่านไปสักระยะ ร่างกายก็จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม เธอถึงได้พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลินโม่ป๋ายยืนปลอบเธออยู่ข้างๆ ตลอด เอ่ยพูดขึ้นมาไม่หยุดว่า “ไม่เป็นอะไรแล้วนะ เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการรักษา ส่วนลูกของเธอติดเชื้อได้ยังไง เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ดีอีกทีหนึ่ง”
เนื่องจากการติดเชื้อในครั้งนี้ถูกค้นพบได้ทันเวลา หลังจากผ่านระยะฟักตัว จึงนำตัวมารักษาที่โรงพยาบาลทันที ไม่อย่างนั้น หากครั้งหน้าเกิดกรณีแบบนี้อีก ก็ไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย
ซูย้าวพยักหน้าอย่างสุขุม ทว่าในใจกลับคาดการณ์เอาไว้อย่างมาดมั่น
การที่จู่ๆ ลี่หมิงติดเชื้อขึ้นมาอย่างกะทันหัน ขั้นตอนมันดูรวดเร็วและเหนือความคาดหมายไปมาก ซึ่งการที่เชื้อโรคที่พบเจอไม่บ่อยในสมัยนี้แพร่เชื้อมาสู่ลี่หมิง ถ้าไม่ใช่เพราะสัตว์ตัวเล็กหายากจำพวกนั้นเป็นพาหะ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฝีมือมนุษย์ด้วยกัน
และคนที่น่าสงสัยและมีความเป็นไปได้มากที่สุด ก็คือ……
เมื่อคาดเดาได้อย่างนี้ ซูย้าวก็แทบอยากจะไปพิสูจน์มันซะตอนนี้ เพราะถึงอย่างไร ช่วงที่ลี่หมิงต้องรักษาตัว เธอก็ไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ และช่วงนี้เธอเองก็ว่างด้วย ดีเหมือนกันจะได้ตามสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง
เธอพูดคุยกับหลินโม่ป๋ายด้วยความรวดเร็ว หลังจากแยกจากกัน เธอก็มองไปยังลี่เฉินซีที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ไกลๆ เธอไม่ได้เข้าไปรบกวนเขา แต่เลือกเดินตรงลงไปจากตึก
บริเวณห้องโถงชั้นหนึ่ง ท่ามกลางผู้ป่วยและคนไข้ที่แน่นขนัด เธอก็เผอิญได้เจอกับซูหยวนที่เพิ่งรักษาเสร็จจากแผนกผิวหนัง
ทั้งสองป๊ะหน้ากัน ซูย้าวกำลังร้อนใจ และมีเรื่องด่วนต้องจัดการ จึงไม่ได้สนใจอีกฝ่ายมากเท่าไหร่นัก ยังไม่ทันได้เอ่ยทักทายสักคำ ก็เดินฉับๆ ผ่านเธอไป
แต่ในวินาทีที่ทั้งสองเดินเฉียดผ่านกัน จู่ๆ ซูหยวนก็พูดขึ้นมาว่า “รีบไปไหน ลี่หมิงไม่สบายเหรอ?”
ฝีเท้าของซูย้าวชะงักกึกในทันที
เมื่อคืนลี่หมิงบินตรงจากต่างประเทศกลับมาที่เมืองAด้วยไฟล์ทบินส่วนตัว มาถึงก็ถูกส่งมาที่โรงพยาบาลทันที ในระหว่างนั้น ลี่เฉินซีก็อยู่กับเธอตลอด นอกเหนือจากนั้นก็มีโทรไปหาหวางอี้บ้าง แต่ไม่ได้ติดต่อหาซูหยวนเลยสักครั้ง แล้วอีกฝ่ายรู้ได้ยังไง?
เมื่อเห็นแววตาสงสัยของซูย้าว ใบหน้าของซูหยวนก็เผยแววพอใจออกมา “ฉันพูดถูกล่ะสิ อาการป่วยของลี่หมิงเป็นยังไงบ้าง? หนักไหม?”
เธอหยุดพูดไปชั่วครู่ จากนั้นก็ก้าวเข้าไปประชิดซูย้าว มุมปากแสยะยิ้มเย็นออกมา จากนั้นก็เอ่ยพูดต่ออย่างแผ่วเบา แต่กลับเคลือบไปด้วยยาพิษ “ถึงตายไหม?”
ซูย้าวข่มกลั้นความโกรธในใจเอาไว้ มองมาที่เธออย่างเยือกเย็น “รู้ได้ยังไง? ใครบอก?”
ซูหยวนไม่รีบร้อน ยกมือเสยผมที่ยาวเกือบถึงเอว หลุบตามองเล็บที่ทำมาใหม่ ใบหน้าอาบย้อมไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ ปากพูดออกมาว่า “ลองทายดูสิ”
“ฉันไม่ได้ว่างจนถึงขั้นมีเวลามารักสวยรักงามเหมือนคุณอู๋หรอกนะ และฉันก็ไม่อารมณ์มาทำอะไรอย่างนี้ด้วย ต่อให้ไม่ทาย ฉันก็ตามสืบได้!” ซูย้าวตอบกลับ จากนั้นก็หันหลังเตรียมเดินออกไป แต่กลับถูกซูหยวนขวางทางเอาไว้
เธอรีบพูดว่า “อย่าเพิ่งรีบไปสิ ฟังเรื่องที่ฉันจะบอกก่อน!”
ซูย้าวนิ่งไปเล็กน้อย รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ว่างจนไม่มีอะไรทำ อยากจะคุยอะไรกับเธอนักหนา! ในตอนที่เธอกำลังจะเบี่ยงตัวหลบ กลับได้ยินซูหยวนเอ่ยพูดขึ้นมาก่อนว่า “ได้ยินมาว่าความทรงจำกลับมาแล้วนี่ แม้แต่ลี่เฉินซีก็เริ่มเรียกเธอว่าซูย้าวแล้ว ยินดีด้วยนะ”
จู่ๆ เธอก็เปลี่ยนเรื่องพูด “แบบนั้น ก็แปลว่าเธอจำได้แล้วสินะว่าเด็กสามคนนั้นเป็นอะไรกับเธอ?”
ไม่รอให้ซูย้าวเอ่ยตอบ ซูหยวนก็ตอบเองเออเอง “เป็นแม่กับลูก หรือพูดอีกอย่างว่าเด็กพวกนี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ ซูย้าว ฉันนี่นับถือเธอจริงๆ ที่คลอดเด็กแบบนั้นออกมาได้……”
เมื่อซูย้าวได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกสับสน ในแววตางงงันเคลือบไปด้วยโทสะบางๆ “เธอต้องการจะพูดอะไรกันแน่? พูดออกมาตรงๆ !”