“ข้อเสียนี้ของคุณไม่ดีเอาเสียเลย ยามพบเจอเรื่องใดก็มักจะชอบแบกเอาไว้คนเดียว ลืมไปว่าตัวเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งหรือ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปแรงดึงดูดของลี่เฉินซีนั้นมีเสน่ห์เย้ายวนตลอดกาล มือประคองแก้มเธอเอาไว้แผ่วเบาและอ่อนโยน ระมัดระวังราวกับกลัวว่าจะทำให้เธอเจ็บ “ถ้าหากว่าเรื่องใดๆล้วนต้องให้ผู้หญิงปรากฏตัวขึ้นในวงสังคม ทุ่มเททำทุกอย่างและเป็นผู้เสียสละล่ะก็ จะมีผู้ชายเอาไว้ทำอะไรกัน”
นัยน์ตาของเขานิ่งลึกราวกับมหาสมุทร ลึกซึ้งสงบนิ่งตลอด และทำให้เธอยากจะเข้าใจและคาดเดา “พูดแล้วว่า มอบทุกเรื่องให้เป็นหน้าที่ผม ผมจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นสองปีก่อนหน้านี้อีก คุณก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ตัดสินใจเองอีกเช่นกัน!”
ลี่เฉินซีจงใจลงน้ำเสียงหนักในครึ่งประโยคท้าย ในนั้นเจือไปด้วยการบีบบังคับและแน่วแน่อย่างไม่ต้องสงสัย
ซูย้าวก้มหน้าลงอย่างไม่รู้จะรับมือเช่นไร เธอเข้าใจเหตุผล และรู้ว่าหากตัวเองทำแบบนี้ล่ะก็ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่ถ้าหากว่าปล่อยให้ทำตามอำเภอใจโดยไม่สนใจ หลบอยู่ด้านหลังเขา ก็กลัวว่า…
เธอครุ่นคิดดูเล็กน้อย ก็มีใบหน้าของหมิงเอ๋อปรากฏขึ้นตรงหน้าทันที ภาพที่ลูกเสียชีวิตก็เหมือนเงามืดขนาดใหญ่ เป็นฝันร้ายที่ยากจะลบออกไปได้ชั่วชีวิต
ซูย้าวไม่ต้องการให้เกิดเรื่องขึ้นกับลี่เฉินซีและลูกที่เหลืออยู่อีกสองคนอีก!
ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าคิดต่อ และส่ายหน้าไปมา “ฉันรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ดังนั้นให้ฉัน…”
ลี่เฉินซีโค้งตัวลงมาปิดปากเธอเอาไว้โดยไม่ยอมให้เธอพูดคำพูดด้านหลังต่อ เขาไม่ได้ทำอะไรมาก และไร้ซึ่งท่าทางสง่างาม เพียงแค่ปิดกั้นคำพูดที่เธอยังไม่ได้พูดออกมากลับไป
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาครางเสียงทุ้มต่ำออกมา ผละออกจากริมฝีปากเธออย่างเชื่องช้า “ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร พวกเราทั้งครอบครัวก็จะอยู่ด้วยกันตลอดกาล”
ร่วมเป็นร่วมตาย
“แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด และเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ พวกเราก็ต้องอยู่ด้วยกัน” เขาจับมือเธอเอาไว้ สิบนิ้วสอดประสานกันแน่น
ซูย้าวเหลือบตาขึ้นมองสบกับนัยน์ตาของชายหนุ่ม ลึกล้ำซับซ้อน คล้ายกับเวทมนตร์คาถาบทหนึ่ง ทำให้เธอรู้สึกใจสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้
เธอสูดลมหายใจลึกเล็กน้อย อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเขา พยักหน้าเชื่องช้า “ค่ะ พวกเราจะเผชิญหน้ากับมันด้วยกัน”
“พรุ่งนี้กับมะรืนนี้ ผมอาจจะยุ่งเล็กน้อย รอผ่านวันนั้นไปก็จะเรียบร้อย ถึงตอนนั้นผมจะบอกทุกอย่างกับคุณ อย่าเพิ่งร้อนใจ และอย่าหุนหันพลันแล่น ผมจะจัดให้เจิ้งเอ๋อกับซีซีไปจากที่นี่ก่อนช่วงหนึ่ง”
ลี่เฉินซีบอกสิ่งที่ตัวเองกำลังจะจัดการส่วนใหญ่กับเธออย่างชัดเจน “พรุ่งนี้กับมะรืนนี้ ผมไม่มีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนคุณสองวัน คุณอยู่ที่บ้านคนเดียว ผมก็ไม่วางใจ ไปบ้านข้างๆให้หว่านหว่านอยู่เป็นเพื่อนคุณนะ?”
ซูย้าวพยักหน้าคล้อยตาม “ค่ะ”
“ผมรู้ว่าในใจคุณสับสนวุ่นวายมาก และกำลังเป็นกังวล ดังนั้นผมจึงจัดให้เจิ้งเอ๋อกับซีซีไปจากที่นี่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะปลอดภัยชั่วคราว” เขาเอ่ย
แบบนี้จะปลอดภัยจริงๆหรือ?
ตอนแรกหมิงเอ๋อก็ทำตามแผน ไปต่างประเทศกับลี่เจิ้งไม่ใช่หรือ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ล่ะ?
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ ซูย้าวไม่อยากจะเอ่ยแล้ว เธอยินยอมที่จะเชื่อว่าเรื่องของลี่หมิงเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ดังนั้นจึงได้ถูกอานเจียเย้นเห็นเป็นเป้าหมาย และเสียชีวิตเพราะเหตุนี้ ในบางครั้ง ยอมแกล้งโง่ว่าเรื่องราวภายนอกสงบสุข แต่ไม่ยินยอมสิ้นเปลืองแรงใจเอ่ยเรื่องที่ทุกคนก็ทราบดีอยู่ออกมาตรงๆ
บางทีการส่งลูกทั้งสองคนให้ไปจากที่นี่อาจจะไม่เหมาะสมมากนัก แต่ถ้าหากว่าอยู่ที่นี่ต่อไป เธอก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของลูกๆได้ยิ่งกว่า
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เวลาใด อาจจะเกิดเรื่องขึ้นกับเธอและลี่เฉินซี แต่ก็ไม่ยินยอมให้ลูกๆ…
“เพียงสองวัน ขอเพียงแค่ผ่านพรุ่งนี้กับมะรืนนี้ไป ผมจะบอกทุกอย่างกับคุณ ได้ไหม” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน โค้งตัวแนบหน้าผากลงบนศีรษะเธออย่างอดทน
ซูย้าวพยักหน้า “ค่ะ ฉันเชื่อคุณ และจะฟังคุณ”
ลี่เฉินซีลุกขึ้น หลบเลี่ยงเธอไปเติมกระดาษไหว้เจ้าอีกหลายแผ่นที่เผาไหม้อยู่ เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ เผาไหม้กระดาษไหว้เจ้าทีละแผ่นๆจนหมดสิ้น
……
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หวางอี้ก็มารับเด็กสองคนไปที่สนามบินจากที่นี่ เพราะว่าเรื่องลี่หมิงก่อนหน้านี้ ดังนั้นลี่เฉินซีจึงไม่วางใจไปหมด จำเป็นต้องไปส่งเด็กทั้งสองคนด้วยตนเอง
ซูย้าวก็ระมัดระวังมาก ก่อนออกเดินทางก็ตรวจสอบสัมภาระติดตัวของลูกๆเป็นพิเศษ สิ่งที่น่าสงสัย หรือเกินความจำเป็น รู้สึกว่าไม่เหมาะสมล้วนถูกทิ้งหมด หลังจากนั้นก็กำชับลูกทุกคนอย่างละเอียดอีกรอบ
ซีซีอายุยังน้อย ตั้งแต่เล็กก็เติบโตอยู่ข้างกายเธอ จึงเป็นธรรมดาที่จะค่อนข้างพึ่งพาเธอ บวกกับการจากไปของหมิงเอ๋อ สร้างความสะเทือนใจให้กับเด็กน้อยเป็นอย่างมาก เธอร้องไห้ทั้งคืน ตอนนี้นัยน์ตาจึงบวมแดง
“แม่คะ แค่สักพักเท่านั้นจริงๆใช่ไหมคะ หลังจากนี้จะไปรับหนูกับพี่ชายกลับมาแน่นอน ถูกต้องไหมคะ” ดูเหมือนซีซีจะกังวลอะไร จึงถามคำถามนี้ไม่เลิก
ซูย้าวพยักหน้าหงึกหงักอย่างแน่วแน่ “แน่นอนอยู่แล้ว หลังจากนี้พักหนึ่งแม่กับพ่อจะต้องไปรับพวกลูกแน่นอน”
“แม่คะ แม่ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีเช่นกันนะคะ” ซีซีโผเข้าไปในอ้อมแขนเธอ หน่วยตาแดงระเรื่ออีกแล้ว
ซูย้าวมีสีหน้าซึ้งใจเล็กน้อย ขณะที่อดกลั้นไม่ให้น้ำตารินไหลออกมา ก็หันกลับไปมองลี่เจิ้ง “เจิ้งเอ๋อ ดูแลน้องสาวให้ดี”
ลี่เจิ้งโตแล้ว ผ่านเรื่องของน้องชายมา ก็เติบโตขึ้นมากในชั่วข้ามคืน จึงเอ่ยรับคำสัญญาอย่างเป็นธรรมชาติ
ซูย้าวส่งลูกทั้งสองคนขึ้นรถแล้ว ก็กำชับลี่เฉินซีอีกหลายประโยค มองเงารถของพวกเขาที่ไกลออกไปอย่างช้าๆ จิตใจของเธอก็ดูเหมือนจะถูกดึงออกไปอย่างไม่รู้จบ คำว่าห่วงหาอาทรนั้นเป็นการอธิบายได้ดีที่สุด
ช่วงเวลาหลังจากนี้ โม่หว่านหว่านก็เป็นฝ่ายวิ่งแจ้นมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ ความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียลูกชาย โม่หว่านหว่านที่มีฐานะเป็นแม่คน จึงสามารถเข้าใจได้เป็นธรรมดา บวกกับที่ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี ในเวลานี้ จึงเป็นธรรมดาที่ไม่สามารถทิ้งซูย้าวเอาไว้คนเดียวได้
โม่หว่านหว่านพยายามที่จะสนทนาเป็นเพื่อนเธอ เพื่อให้เวลาผ่านไป แต่เห็นได้ชัดว่าซูย้าวมีท่าทางไม่สนใจ มักจะเหม่อลอย นัยน์ตาว่างเปล่านั้นไร้ซึ่งจุดหมาย และไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่ ทุกครั้งที่ถูกถาม ก็จะใช้ประโยคที่ว่า ‘ไม่มีอะไร’ ตอบลวกๆพอเป็นพิธีไป
เธอเห็นว่าซูย้าวไม่มีความอยากอาหาร แม้ว่าจะเข้าใจว่าสภาพจิตใจเธอไม่ดี แต่การไม่กินอาหารเป็นเวลานาน ร่างกายก็จะทนไม่ไหว จึงทำได้เพียงแค่โน้มน้าวไม่หยุดด้วยความลำบาก “อร่อยมากจริงๆ มากน้อยอย่างไรก็กินสักคำนะ?”
ซูย้าวไม่อาจใจร้ายต่อความทุ่มเทแรงกายแรงใจของเธอ จึงฝืนหยิบตะเกียบขึ้นมา เพิ่งจะกินไปได้คำหนึ่ง ทั้งที่เป็นอาหารธรรมดาทั่วไป อีกทั้งฝีมือการปรุงอาหารของโม่หว่านหว่านก็ยอดเยี่ยม และยังมีแม่บ้านคอยช่วยเหลือ อาหารคาวน่าอร่อยมากมาย แต่เธอก็ยังคงอดกลั้นต่ออาการคลื่นเหียนในกระเพาะเอาไว้ไม่อยู่ พุ่งตัวตรงเข้าไปในห้องน้ำ
เห็นเธออาเจียนหนักอยู่ครู่หนึ่ง โม่หว่านหว่านก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย เธอพิจารณามองอาหารที่ตนเองทำอย่างละเอียด ไม่มีปัญหาแน่นอน จึงเดินไปข้างซูย้าว รินน้ำบ้วนปากให้เธอ ลูบแผ่นหลังเธอเบามือ “เธอ…เธอคงจะไม่ได้…”
“ถูกต้อง” ลมหายใจแผ่วเบาของซูย้าวอ่อนแรง ใบหน้าที่อยู่ในกระจกซีดเผือด แต่กลับให้คำตอบที่แน่ชัดออกมา
โม่หว่านหว่านสูดลมหายใจด้วยความประหลาดใจ “เธอรู้ว่าฉันจะถามอะไร เธอถึงได้พูดว่าถูกต้อง?”
“เธออยากจะถามว่าฉันตั้งครรภ์ใช่หรือไม่ ไม่ใช่หรือ” ซูย้าวบ้วนปาก วางแก้วไว้อีกด้าน และล้างหน้า หยิบผ้าขนหนูมาซับน้ำบนใบหน้าแล้ว ก็เอียงตัวไปมองเธอ “ใช่ ตั้งครรภ์แล้ว”
โม่หว่านหว่านถูกข่าวนี้ทำให้ตกใจไม่น้อย จึงตะลึงค้างไปในทันที
หลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง ก็ถูกแทนที่ด้วยความปีติยินดีที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ โม่หว่านหว่านรีบประคองเธอเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง ทั้งสองคนเดินออกจากห้องน้ำด้วยกัน “สวรรค์ นี่เป็นข่าวดีนะ เฉินซีรู้ไหม”
“นี่คือสิ่งที่ฉันจะพูดกับเธอ” ซูย้าวพลิกมือกลับมาจับมือเธอเอาไว้ หางตาเหลือบมองไปรอบด้าน ยืนยันแล้วว่าแม่บ้านอยู่ในห้องครัว รอบๆไร้ซึ่งผู้คน ถึงได้กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ฉันยังไม่ได้บอกเขา และตั้งใจจะไม่บอกเขาชั่วคราว หว่านหว่าน ช่วยฉันปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้ไหม”
“เอ่อ…”
โม่หว่านหว่านอึ้งจนลากเสียงยาว เธอไม่ชำนาญการพูดโกหก และไม่ชำนาญเรื่องการปิดบัง แต่เมื่อลองครุ่นคิดดูเล็กน้อย ก็เข้าใจการตัดสินใจนี้ของซูย้าวได้ไม่ยาก
“สถานการณ์ในตอนนี้ ฉันไม่พูดอะไร เธอก็น่าจะเข้าใจ หว่านหว่าน เด็กคนนี้มาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม ถ้าหากว่าต่อมาเรื่องทั้งหมดล้วนราบรื่นแล้วล่ะก็ ถึงตอนนั้นค่อยบอกเขาเถอะ!”
ซูย้าวหมุนตัวเดินกลับไปนั่งที่โซฟาใหม่ เธอไม่มีความอยากอาหารใดๆอีก เพียงแค่ใช้มือข้างหนึ่งลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ นัยน์ตางดงามหม่นหมอง
ช่วงเวลาสุดท้ายของหมิงเอ๋อ หวังว่าพ่อแม่เขาจะสามารถคลอดเขาออกมาได้ ดังนั้นเด็กคนนี้จะเป็นหมิงเอ๋อกลับชาติมาเกิดหรือไม่
เธอไม่เคยเชื่อในพระเจ้า แต่ในตอนนี้ เธอยอมที่เชื่อว่าการกลับชาติมาเกิดนี้มีอยู่จริง และหวังว่าจะได้พบหน้ากับหมิงเอ๋ออีกครั้ง…