ร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงใกล้กับท่าเรือตะวันออก
หลังจากลู่ส้าวหลิงได้รับสายโทรศัพท์ ก็พยายามใช้ความเร็วสูงสุดในการรีบมาที่นี่ แต่เขาไม่ได้มาที่นี่คนเดียว ผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วยนั้นยังมีลี่เฉินซีกับเจียงจี้เซิง
เจียงจี้เซิงปรึกษาธุระอยู่กับพวกเขาพอดี สอบถามดูแล้วจึงตามมาเป็นเพื่อนธรรมดา
สำหรับลี่เฉินซี เขารู้ว่าโม่หว่านหว่านกับซูย้าวจะต้องอยู่ด้วยกันแน่นอน เมื่อคนหนึ่งเกิดเรื่อง โดยทั่วไปก็สามารถคิดสถานการณ์ของอีกคนได้แล้ว
ลู่ส้าวหลิงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตะลอน ระดับความวิตกกังวลนั้น แค่คิดดูก็รู้แล้ว
ตอนที่มาถึงร้านสะดวกซื้อ เจ้าของร้านกำลังอุ้มเด็กทารก พลางกล่อมให้เด็กหัวเราะเฮฮา แต่เมื่อเห็นสีหน้าอึมครึมและจริงจังของลู่ส้าวหลิงและลี่เฉินซีที่มาเยือน ก็ตะลึงค้างไป
จะพูดให้ชัดเจนก็คือ ถูกทำให้ตกใจกลัวจนค้างไปแล้ว
ชายหนุ่มสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบกว่าสองคน สวมชุดสูทและรองเท้าหนัง คลุมด้วยเสื้อโค้ทตัวยาว สีหน้าโหดเหี้ยมจริงจังคล้ายกัน สายตาเงียบขรึมนั้นราวกับอาบย้อมไปด้วยน้ำค้างแข็ง ดุร้ายและเจือไปด้วยความรีบเร่งหลายส่วน มองดูแล้วไม่รีบร้อนแต่กลับเต็มไปด้วยพลัง
ชายหนุ่มดูราวกับพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์มาเยือนถึงบ้านกะทันหัน จะไม่ให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างลึกซึ้งได้หรือ
แววตาของเจ้าของร้านนั้นหวาดกลัวอยู่บ้าง เอ่ยตะกุกตะกักว่า “พวกคุณคือ…คือใคร”
หลังจากลู่ส้าวหลิงเข้ามา แววตาเงียบขรึมก็จับจ้องไปยังเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนเจ้าของร้านตลอด ตอนนี้จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า “พ่อของเด็กในอ้อมแขนคุณ โปรดมอบเด็กให้ผมด้วย”
เจ้าของร้านตะลึงค้าง และปกป้องเด็กที่อยู่ในอ้อมแขนเอาไว้ตามสัญชาตญาณ “คือว่า คุณคือคุณลู่ส้าวหลิงหรือครับ”
ลู่ส้าวหลิงพยักหน้า มองออกเลยว่าเจ้าของร้านมีความรับผิดชอบและจริงจังมาก จะต้องเป็นคนดีที่ใส่ใจแน่นอน เขาจึงหยิบบัตรประชาชนออกมาจากในกระเป๋าสตางค์ ยื่นให้กับเจ้าของร้านดู
หลังจากเจ้าของร้านดูและยืนยันฐานะของเขาแล้ว ถึงได้ถอนหายใจออกมาแปลกๆ มอบเด็กทารกน่ารักที่อยู่ในอ้อมแขนให้กับเขา
เด็กก็พูดจาได้ เพียงแต่เอ่ยพูดคลุมเครือและไม่ค่อยชัดเจน เมื่อถูกลู่ส้าวหลิงอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยมือเดียว ก็เอ่ยเรียกว่า “ปะป๊า ปะป๊า…”
ลู่ส้าวหลิงบีบแก้มเล็กๆของลูกอย่างเบามือ และปกป้องเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากนั้นก็มองไปทางเจ้าของร้าน “ไม่ทราบว่าตอนนั้นใครมอบเด็กให้กับคุณหรือครับ”
เจ้าของร้านรีบเอ่ยว่า “เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ดูจากลักษณะท่าทางแล้วอายุประมาณสามสิบปี สีหน้าดุร้ายโหดเหี้ยม มอบเงินให้ผมสองพันหยวน กับโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง พร้อมทั้งบอกว่าหลังจากนี้ครึ่งชั่วโมง ให้ผมโทรติดต่อไปที่เบอร์ของลู่ส้าวหลิง แล้วจะมีคนมารับเด็กไปเอง”
พูดแล้ว เจ้าของร้านก็คืนโทรศัพท์มือถือให้กับลู่ส้าวหลิง ในเวลาเดียวกันก็รีบเปิดภาพกล้องวงจรปิดก่อนหน้านี้ในคอมพิวเตอร์ให้ทั้งสองคนดู
ลี่เฉินซีดูกล้องวงจรปิด ชายที่อยู่ในภาพไม่ได้สวมผ้าปิดปากและหมวก หน้าตาแค่มองก็เห็นได้ชัดเจน แต่หลังจากที่ก้าวเข้ามาในร้านแล้ว ก็ใช้เวลาทั้งหมดไม่ถึงสองนาที มองออกเลยว่าน่าจะรีบร้อน
หลังจากที่คัดลอกบันทึกวิดีโอจากกล้องวงจรปิด และแคปรูปหน้าชายหนุ่มในภาพเก็บเอาไว้ในโทรศัพท์มือถือ ลู่ส้าวหลิงก็เอ่ยขอบคุณไปสองประโยค ในขณะเดียวกันก็มอบเงินให้กับเจ้าของร้านจำนวนหนึ่งเป็นการขอบคุณ จากนั้นทั้งสองคนก็อุ้มเด็กไปจากที่นั่น
โทรศัพท์เครื่องที่โจรลักพาตัวทิ้งเอาไว้เป็นของโม่หว่านหว่าน ในนั้นก็ไม่ได้ทิ้งสิ่งที่มีประโยชน์ใดๆเอาไว้ ลู่ส้าวหลิงเพียงแค่เก็บเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง กล่อมลูกและขึ้นไปบนรถอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความร้อนใจที่ยากจะปกปิดได้ หลังจากวางลูกลงในเบาะที่นั่งด้านหลังแล้ว ตัวเองก็หันมาเอ่ยด้วยความโกรธจนแทบทนไม่ไหวอย่างร้อนรนว่า “หว่านหว่านกับซูย้าวจะต้องถูกลักพาตัวแน่นอน!”
จุดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย สถานการณ์เช่นนี้ในตอนนี้ มองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว
“รีบแจ้งตำรวจเลย ตรวจสอบฐานะของโจรลักพาตัวคนนี้ให้หมด ไม่สามารถล่าช้าได้แม้แต่นิดเดียว!” ลู่ส้าวหลิงตัดสินใจเด็ดขาดในยามวิกฤต และหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมโทรแจ้งตำรวจทันที
แต่ยังไม่ทันจะโทรออกไป ก็ถูกลี่เฉินซีที่อยู่อีกด้านห้ามเอาไว้ และคว้าโทรศัพท์ของเขาไป “นายใจเย็นก่อน”
“แจ้งตำรวจน่ะได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ สำหรับฐานะของโจรลักพาตัว พวกเราสามารถตรวจสอบเองได้” ลี่เฉินซีมีสีหน้าเด็ดเดี่ยว มืดครึ้มราวกับท้องทะเล “เรื่องนี้จะต้องเป็นอานเจียเย้นที่ส่งคนมาทำแน่นอน ท่ามกลางสถานการณ์เร่งด่วนแบบนี้ ไม่ใช่ไปตามหาพวกเธอ แต่ต้องคิดให้ชัดเจนก่อนว่าจะจัดการอย่างไร แต่ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับโม่หว่านหว่านแล้ว!”
“อานเจียเย้นจะไม่แตะต้องพวกเธอชั่วคราว ตอนนี้พวกเธอปลอดภัย ส้าวหลิง นายใจเย็นก่อนสักนิดหนึ่ง!” ลี่เฉินซีเอ่ยรัวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ กลบทับหางเสียงฝ่ายตรงข้าม
ลู่ส้าวหลิงเอามือก่ายหน้าผากอย่างทำอะไรไม่ถูก ใจเย็น เขาจำเป็นต้องใจเย็นจริงๆ ทว่าเมื่อนึกถึงโม่หว่านหว่านที่ถูกคนพวกนั้นควบคุมตัวเอาไว้ เป็นตายอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ เขาจะใจเย็นอยู่ได้อย่างไร!
“ไม่ใช่แค่หว่านหว่าน ยังมีซูย้าวด้วย พวกเธอล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะมีอันตราย!” เขาเอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง
ลี่เฉินซีสูดลมหายใจลึกอย่างจนปัญญา “ฉันรู้ ฉันล้วนรู้ดี แต่ถ้าหากว่าตอนนี้พวกเราขัดแข้งขัดขากัน กระทำเรื่องราวด้วยความหุนหันพลันแล่น ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”
“ไม่ใช่ว่าตรงกับความต้องการของอานเจียเย้นหรือ นายไม่เคยคิดบ้างหรือว่า ทำไมเขาถึงไม่ได้ลักพาตัวพวกเธอไปตั้งแต่แรก แต่เป็นตอนนี้!”
วาจารวบรัด สั้นๆไม่กี่คำ ก็ทำให้ลู่ส้าวหลิงตะลึงค้างไป
ในตอนแรกที่เขาได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับโม่หว่านหว่าน ก็กังวลใจมากเกินไป ดังนั้นถึงได้ตื่นตระหนกจนเป็นแบบนี้ แต่คำพูดของลี่เฉินซี เตือนเขาได้ทันเวลา
เจียงจี้เซิงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับตลอดนั้นนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ฟังสองคนสนทนากันเงียบๆ ผ่านไปนานถึงได้เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งว่า “ส้าวหลิง ครั้งนี้เฉินซีพูดได้ถูกต้อง สิ่งที่อานเจียเย้นเฝ้ารอ ก็คือพวกเราขัดแข้งขัดขากันเอง เขาจะได้ฉวยโอกาสลงมือ พวกเราวางแผนเตรียมการกันมานานขนาดนี้ ไม่สามารถปล่อยให้ล้มเหลวเพราะขาดความพยายามครั้งสุดท้ายได้นะ”
พวกเขาทุกคนเกือบจะทุ่มบริษัทของตัวเอง ตระกูล และทุกสิ่งไว้ตรงนั้น หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อย จะไม่ใช่เพียงแค่พลาดก้าวเดียวแล้วแพ้ทั้งกระดาน แต่พวกเขาสามคนก็จะถูกใส่กุญแจมือจับเข้าคุกเพราะเหตุนี้ด้วย
นี่เป็นการเดิมพันที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง และต้องสู้ตายอย่างเดียว หากชนะก็ยังพูดได้ง่าย มิเช่นนั้น…
สิ่งเหล่านี้ลู่ส้าวหลิงล้วนเข้าใจ และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูด เขาเพียงแต่นึกถึงโม่หว่านหว่านแล้วก็อดกังวลใจขึ้นมาไม่ได้ สีหน้าจึงเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก “ถ้าอย่างนั้นหว่านหว่านจะทำอย่างไร”
“พวกเธอจะไม่เป็นอะไรชั่วคราว อานเจียเย้นเคยพาตัวซูย้าวไปด้วยสองปีกว่า ก็ไม่เคยทำร้ายเธอจริงๆ ครั้งนี้ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน” ลี่เฉินซีเอ่ย
ลู่ส้าวหลิงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ โต้กลับอย่างไม่สบอารมณ์ในทันที “เขาไม่ได้ทำร้ายหรือ เขาเปลี่ยนความทรงจำของซูย้าว ทั้งยังเกือบจะเปลี่ยนให้เธอกลายเป็นปีศาจร้ายที่โหดเหี้ยมที่สุด!”
ลี่เฉินซีเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเฉยชา และไม่พอใจอยู่บ้าง “นั่นมันในคราแรก ตอนนี้ไม่มีทาง พวกเราก็จะไม่ให้เวลาเขามากขนาดนั้น!”
ไม่ใช่ว่าไม่ไปช่วยคน แต่ต้องรอก่อน
“สรุปว่าอานเจียเย้นพาพวกเธอไปที่ไหนกันแน่ พวกเรารู้ไหม ถ้าหากว่าหุนหันลงมือ ทางเขาปฏิบัติต่อพวกเธออย่างไม่ดีแล้วจริงๆจะทำอย่างไร”
ลี่เฉินซีกัดฟันด้วยความหงุดหงิด “ตอนนี้พวกเธอสองคนก็คือไพ่ใบหลักในมืออานเจียเย้นที่ใช้บีบบังคับพวกเรา ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเธอจริงๆ เขาจะใช้อะไรมาบีบบังคับพวกเรา”
ดังนั้น จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับซูย้าวและโม่หว่านหว่านชั่วคราว ภารกิจนี้เร่งด่วน ต้องวางแผนจัดการทีละขั้นๆให้เรียบร้อยก่อน หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยหมดแล้ว ค่อยไปเผชิญหน้ากับศัตรู
ลู่ส้าวหลิงใคร่ครวญดูอีกครั้ง คลายเน็คไทออกด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ผ่านไปนานถึงได้พยักหน้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโมโห “OK ครั้งนี้จะฟังนายก่อน แต่ถ้าหากว่า…”
เขาไม่ได้เคยต่อไป แต่จงใจลากเสียงยาว ลี่เฉินซียกมือขึ้นมาตบบ่าเขา “โม่หว่านหว่านเป็นผู้หญิงของนาย ซูย้าวไม่ใช่ผู้หญิงของฉันหรือ นายร้อนใจ ฉันไม่ร้อนใจหรือ”
“วางใจเถอะ พวกเธอจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน!”
ขนาดลู่ส้าวหลิงยังกังวลใจมาก แล้วลี่เฉินซีจะสบายใจไร้กังวลได้อย่างไรกัน?!
สภาพจิตใจของพวกเขาล้วนเหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นกังวลและรีบร้อนเพียงใด ก็ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ อานเจียเย้นไม่ปกติ คนสอดแนมมากมายเสียจนพวกเขายากจะสังเกตเห็นได้ เรื่องนี้จะต้องจัดการด้วยความระมัดระวังและรอบคอบเป็นอย่างมาก
ในตอนที่พวกเขารับทั้งศึกในและศึกนอก กังวลและร้อนรนอยู่นั้น อีกด้านหนึ่ง บนเรือสำราญที่ลอยข้ามน้ำข้ามทะเล สถานการณ์ของซูย้าวกับโม่หว่านหว่านก็แย่มากเช่นกัน
โม่หว่านหว่านกับซูย้าวหันหลังชนกัน พยายามแกะเชือกที่มัดมือแต่ละคน ในตอนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างร้อนอกร้อนใจ เสียง “ปัง” จากการที่ประตูถูกคนถีบให้เปิดออกจากด้านนอกก็ดังขึ้น
ชายที่มองดูแล้วอายุสี่สิบกว่า ดื่มจนกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง รูปร่างท้วมเปลือยอก มองมาทางพวกเธอด้วยท่าทางปัญญาอ่อน “โอ้โห รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลยนะ ค่ำคืนที่ยาวนานแบบนี้ มาเล่นสนุกเป็นเพื่อนป๋าสักหน่อย!”