“ทำให้ทั้งคุณสองคนต้องลำบากไปด้วยครับ ผมได้เตรียมอาหารไว้ให้แล้ว ต่อไปจะส่งไม่ตรงตามเวลา ทั้งสองเชิญกินข้าวให้อร่อยครับ”
ชายผู้นั้นทิ้งอาหารที่อยู่ในถาดไว้ให้ ทว่ายังคงระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่ได้ทิ้งตะเกียบไว้ให้สักคู่ หรือแม้แต่พวกช้อนส้อมมีดหั่นพวกนั้น มีแค่ช้อนซุปสองคันเท่านั้นเอง
ไม่ผิดหรอก ช้อนซุปแค่นั้นแหละ
ดังนั้น เมื่อรอให้ผู้ชายคนนั้นออกไปแล้ว โม่หว่านหว่านจึงรีบย้ายตัวเขยิบเข้ามา พลางมองช้อนซุปสองคันที่อยู่ในถาด พร้อมทั้งแสดงท่าทางเคอะเขินและไร้คำพูดใดๆ
เธอหยิบช้อนขึ้นมาหนึ่งคัน และมองไปทางซูย้าว “นี่กลัวว่าพวกเราจะสะเดาะกุญแจหนีใช่ไหมเนี่ย?”
ซูย้าวรับสภาพสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้มากกว่าเธอ พลันก้มหน้าก้มตาหยิบช้อนซุปขึ้นมา และเริ่มกินอาหารแล้ว
ทว่าโม่หว่านหว่านกลับรู้สึกไม่พอใจ พลันมองข้าวที่อยู่ในชามพร้อมกับข้าวง่ายๆ สองสามอย่าง พลันขมวดคิ้วทันที “น่าจะเอาตะเกียบมาให้พวกเรานะ!”
“ช่างเถอะ มีข้าวให้กิน ก็รีบกินเถอะ!” ซูย้าวพูดเร่งรัดออกมาประโยคหนึ่ง
โม่หว่านหว่านได้แต่ถอนใจอย่างหมดคำพูด “เฮ้อ นี่ตกลงว่าพวกเราต้องถูกจับตัวมากี่วันกันเนี่ย?”
“นานพอควร” น้ำเสียงซูย้าวเฉยเมย และแสดงอาการไร้ความรู้สึกได้อย่างชัดเจน พลันกินข้าวอยู่ตลอดเวลา
ปมคิ้วที่ขมวดไว้แน่นของโม่หว่านหว่านไม่คลายแยกจากกันสักที แต่ไม่อยากจะฝืนร่างกายของตนเอง จนหยิบช้อนซุปขึ้นมา และเริ่มกินข้าวราดแกงอย่างตั้งใจ แต่เมื่อตักใส่ปากไปได้หนึ่งคำ พลันพลั้งปากสบถออกมาอย่างตกใจทันที “นี่มันกับข้าวอะไรเนี่ย? ไม่อร่อยสักนิด!”
“ยังไม่อร่อยกว่าที่ฉันทำอีกเนี่ย!”
ซูย้าวได้แต่ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย “มีของให้กิน ก็ดีกว่าหิวท้องไส้กิ่วป่ะล่ะ? กินซะสิ!”
“ดูท่าทางของแกแล้ว น่าจะเคยผ่านสถานการณ์จำพวกนี้มาแล้วใช่ไหม?” คำพูดนี้ โม่หว่านหว่านเผลอหลุดปากถามโพล่งออกไป อย่างไรเสีย การที่ทั้งสองคนถูกกักขังอยู่ที่นี่ ด้านนอกเป็นมหาสมุทรอันสุดลูกหูลูกตา แม้ว่ามีโอกาสที่สามารถหลบหนีไปได้ ซึ่งนอกจากกระโดดลงทะเลแล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นใดที่สามารถช่วยให้รอดไปได้
แต่การกระโดดทะเลนั้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่าจะถูกคนลักพาตัวจับกลับมาอีกครั้งหรือเปล่า แม้ปากจะพูดว่าด้านนอกเป็นทะเลลึกก็ตาม ซึ่งการที่ทั้งสองคนกระโดดลงไป ก็เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายเอง
แม้ว่าการถูกคุมตัวอยู่มันจะน่าเบื่ออยู่บ้าง สู้เอาเวลามานั่งคุย ยังสามารถฆ่าเวลาไปได้
ซูย้าวก้มหน้าก้มตารีบยัดอาหารอย่างเข้าปากอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วครู่เดียว จึงกินข้าวในจานตัวเองหมดเกลี้ยง แถมยังกินอาหารไปครึ่งหนึ่งด้วย จากนั้นจึงเช็ดปาก และบิดฝาเกลียวขวดน้ำและยื่นให้โม่หว่านหว่านขวดหนึ่ง พลันบิดให้ตัวเองหนึ่งขวด และกระดกดื่มไปหลายอึก
เธอวางขวดน้ำลง และช้อนตามองโม่หว่านหว่าน ราวกับต่างรู้แก่ใจกันดีการทำตัวว่างแบบนี้ มันช่างน่าเบื่อ ถึงได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้ “เรื่องจำพวกนี้ ผ่านมาหมดแล้ว”
โม่หว่านหว่านแสดงท่าทางตกตะลึงทันที “หา? ตอนไหนเหรอ?”
“ฉันจำได้ดีว่าลี่เฉินซีไม่เคยลักพาตัวหรือกักบริเวณแกมาก่อนสักครั้งเลยนี่? แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยได้เรื่อง แต่ก็ไม่ได้เลวทรามถึงขั้นนั้นนี่!”
ซูย้าวสูดหายใจลึกๆ เฮือกใหญ่อย่างเบื่อหน่าย “ทำไมมักคิดทางฝั่งเฉินซีทุกทีนะ ถ้าตอนแรกเขาทำกับฉันแบบนี้ ฉันอาจจะสนใจเขาขึ้นมาอีกครั้งหรือเปล่า?”
โม่หว่านหว่านเพิ่งรู้ทีหลัง “อ้อ ก็ใช่นะ แล้วเป็นใครล่ะ?”
“อานเจียเย้น” ซูย้าวตอบคำถามทันที
โม่หว่านหว่านตกใจจนหวาดหวั่นและอยากพูดอะไรบางอย่างต่อ ซูย้าวจึงรีบแก้ต่างทันที “ความจริงแล้วก็ไม่ถือว่าลักพาตัวมานะ แต่ว่าคนอย่างเขาเนี่ย นิสัยจำพวกเห็นแก่ตัว ตอนนั้นฉันเพิ่งผ่าตัดเสร็จได้ไม่นานนัก ทางเพ้ยหยู่เจี๋ยก็สั่งให้คนมาทำร้ายฉันทันที เขาจึงคำนึงถึงการปกป้องฉันอย่างเต็มพิกัด ดังนั้นจึงกักบริเวณไม่ให้เธอก้าวออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว แต่ด้วยสถานการณ์มันยังดีกว่าตอนนี้อยู่บ้าง”
“เอ่อ แล้วมันนานมากไหม?” โม่หว่านหว่านถามกลับ
ซูย้าวครุ่นคิดแล้วจึงพูดว่า “ประมาณสองเดือนได้ละมั้ง!”
โม่หว่านหว่าน “…”
“นี่เขาเข้าข่ายตกเป็นอาชญากรแล้วนะ แล้วยังตกเป็นผู้ต้องหา จำเอาไว้ด้วยนะ รอถึงตอนนั้นแกก็ต้องฟ้องข้อกล่าวหาเขาต่อศาลฯเลย”
ซูย้าว “….”
เรื่องหยอกล้อเล่นก็คือการล้อกันเล่น สิ่งที่โม่หว่านหว่านพูดออกมาก็ถูกนะ แต่ซูย้าวพูดว่า “แต่ ถ้าตอนนั้นไม่ถูกเขา ‘ปกป้อง’ อย่างนั้น เกรงว่าฉันก็คงตายอยู่ในเงื้อมมือของเพ้ยหยู่เจี๋ยไปตั้งนานแล้วแหละ”
“เอ่อ…” โม่หว่านหว่านถึงกลับพูดไม่ออกทันที แต่เมื่อครุ่นคิดอยู่แป๊บเดียวแล้ว จึงวางช้อนซุปในมือลง “ดังนั้น ตกลงว่ามีอานเจียเย้นเขาแสดงท่าทีกับแกยังไงกัน? ส่วนแกมีความรู้สึกอะไรกับเขา? แต่ทำไมฉันรู้สึกว่า ฟังไปฟังมา เขาเคยทำร้ายแก แถมยังเคยปกป้องแกไปด้วยล่ะ?”
“ไม่ใช่สิ นี่เขาเคยทำร้ายแกจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย? นอกเหนือจากเรื่องเปลี่ยนความทรงจำของแกแล้วนะ”
ซูย้าวถูกถึงกับสะอึกกับการซักถามของเธอ พลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แม้ว่าจะไม่ยินยอมก็ตาม แต่ว่าได้แต่ส่ายหน้าไปมา “เหมือนไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่นะ”
“แต่ว่า เรื่องของหมิงเอ๋อนั้น เขาต้องเป็นคนลงมือทำอย่างแน่นอน ฉันจะไม่ยอมยกโทษให้เขาแน่!” ซูย้าวนึกย้อนถึงเรื่องลูกชายของตนเองที่เสียชีวิตไปแล้ว พลันเจ็บจี๊ดเจียนตาย
โม่หว่านหว่านรับรู้ความรู้สึกนั้นเช่นกัน จึงรีบเขยิบตัวเพื่อเข้ามาปลอบโยนทันที “ใช่ นอกจากเรื่องของลี่หมิงแล้วล่ะ?”
ซูย้าวหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดจนแสดงออกมาให้เห็นอยู่บ้าง พลางพยายามที่ไม่คิดถึงลูกชายที่เสียชีวิตไปแล้ว และครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ความจริงแล้ว จะพูดว่ายังไงดีนะ?”
“ถ้าเป็นไปได้นะ ถ้าเขาไม่ได้มาแตะต้องลูกชายฉัน และยับยั้งการลงมือได้ทันท่วงที มันคงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว”
ถึงอย่างไร แม้ว่าอานเจียเย้นเคยลักพาตัวเธอไปแล้วก็ตาม แถมยังลบและแก้ไขความทรงจำของเธอไปอีก แต่ทุกครั้งเธอก็จะได้รับการคุ้มครองจากเงื้อมมือของเพ้ยหยู่เจี๋ยครั้งแล้วครั้งเล่า นี่แหละคือความจริง
อีกทั้งระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยบีบบังคับเธอเลยสักครั้ง กระทั่งการล่วงเกินยังไม่เคยทำเลย แม้ว่าจะมีหลายครั้งที่ใช้ประโยชน์จากเธอก็ตาม แต่เป็นเรื่องงานทั้งสิ้น ก็เหมือนกับการทำงานแทนเจ้านายบางคน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา อานเจียเย้นได้ให้สถานะกับเธอใหม่ ชีวิตใหม่ และให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นรูปธรรม ตามใจเธอปรารถนาทั้งสิ้น
ฉะนั้นแล้ว ในหลายๆ ด้าน นอกจากเรื่องความทรงจำกับเรื่องของลี่หมิงแล้ว อานเจียเย้นไม่เคยปฏิบัติตัวไม่ดีกับเธอเลยสักครั้ง
ทว่าเรื่องความทรงจำนี้นั้นซูย้าวยังพักการรื้อฟื้นฝอยหาตะเข็บไปก่อน มีเพียงเรื่องของลี่หมิงอย่างเดียว เธอไม่สามารถปล่อยวางลงได้ และไม่มีทางจะลืมเลือนกับปล่อยมือไปแน่!
“แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย!” ซูย้าวถอนหายใจออกมาอย่างหมดเรี่ยวแรง แม้ว่าอานเจียเย้นจะเกิดใจดีขึ้นมาดื้อๆ อยากจะปล่อยวาง แต่เรื่องที่เขาทำร้ายลี่หมิงจนถึงแก่ความตาย ซูย้าวไม่มีวันปล่อยเขาไปแม้เพียงเศษเสี้ยว!
โม่หว่านหว่านพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ใช่ เฮ้อ…”
“อีกอย่างนะ หว่านหว่าน อานเจียเย้นไม่ใช่คนดีอะไร ในการทำงานของเขานั้น ไม่มีการออมมือ มีผู้เสียหายจำนวนไม่น้อย จนทำให้คนอื่นขาดทุนล้มละลาย บีบบังคับให้คนอื่นกระโดดตึกฆ่าตัวตายเพราะสาเหตุมาจากการล้มละลาย เรื่องพวกนี้ มากจนฉันเองก็นับไม่หวาดไม่ไหว ยังมีอีก เขาทำร้ายคนอื่น ซึ่งหน้าและยืมมือคนอื่นมาทำร้ายคนอื่นจำนวนไม่น้อย จนมือเปื้อนเลือดไปทั่ว”
“คนดีหรือคนเลว ก็ไม่สามารถชี้เฉพาะคำจำกัดความได้อย่างชัดเจน แต่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว เรื่องนี้ไม่มีการออมมือแต่อย่างใด เป้าหมายคือผลประโยชน์เท่านั้น กระทั่งไม่คำนึงการทำลายชีวิตของคนอื่นเลยด้วยซ้ำ นี่มันเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์ไปตั้งนานแล้ว และเป็นปีศาจร้ายตั้งแต่หัวจรดเท้า!”
ซูย้าวได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายอยู่ลึกๆ ” ไม่สนว่าจะทำเพื่อคนอื่น หรือเพื่อพวกเราเองก็ตาม ยังไงก็ต้องกวาดล้างปีศาจนี้ให้สิ้นซากให้ได้ หว่านหว่าน แกต้องเข้าใจนะ เรื่องนี้ไม่มีวันจบอย่างง่ายดายแน่นอน อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย และอาจจะ… แกต้องตระหนักถึงการเสียชีวิตได้ตลอดเวลาอีกด้วย
เธอเขยิบตัวพลางกุมมือของโม่หว่านหว่านเอาไว้ด้วย “ขอโทษนะ ฉันไม่อยากดึงแกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเลย ถ้าเป็นไปได้ ฉันจะพยายามดูแลแกให้ปลอดภัยที่สุด แต่ถ้า…”
ซูย้าวคิดว่าวิธีในการดูแลโม่หว่านหว่านรอบด้าน แต่ความสามารถของเธอแค่คนเดียว มันก็มีขีดจำกัด มีเรื่องราวอีกมากมาย ที่เหนือเกินคาดเดา และมุ่งไปทางผลลัพธ์ขั้นยอดแย่ที่สุดทางนั้น
โม่หว่านหว่านเข้าใจในความกังวลของเธอ พลันเงียบไปชั่วครู่ หลังจากพยายามครุ่นคิดชั่วครู่ จึงหันมาหาเธออีกครั้ง “วางใจเถอะ เรื่องนี้ฉันต้องตระหนักอยู่แล้ว ย้าวย้าว เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นฉันไม่โทษแกเลย พวกเราต่างถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งไปแล้ว อย่าได้โทษกันเลย ไม่เป็นไรหรอกน่า”
“ไม่ว่าจุดจบมันจะเป็นเช่นไร และไม่สนใจว่าฉันจะเป็นยังไง อย่าได้โทษตัวเอง ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับแกเลย”
ตั้งแต่แรกเริ่ม โม่หว่านหว่านก็รู้ว่าเรื่องนี้มันไม่สามารถย้อนกลับไปทางเดิมได้แล้ว แต่เธอยอมลงเรือลำเดียวมาเอง ดังนั้น จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับซูย้าวสักนิด
“แต่ก็ได้แต่หวังว่าอย่าได้เปลี่ยนไปในทางแย่เกินเหตุ!” ซูย้าวหลับตาลงและถอนหายใจ ตราบใดที่การเสียสละในครั้งนี้มันอยู่ในขั้นพื้นฐานสุดแล้ว แม้ว่าจะตายตกไปตามกัน หรือว่ามอดไหม้ไปพร้อมกัน เธอก็ไม่เสียดายอะไรอีกแล้ว
แต่ว่า เธอก็ได้แค่หวังจากใจจริง เรื่องทุกอย่างทั้งหมดนี้ โม่หว่านหว่านอย่าต้องรับเคราะห์ไปด้วยเลย….