เรือสำราญล่องเรืออยู่ในมหาสมุทร ราวกับเลือกเล็กที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ทั้งอ่อนแอ ทั้งดูลึกลับเช่นนั้น
ห้องเล็กๆ ภายในเรือสำราญ เนื่องจากไม่มีหน้าต่าง จึงไม่สามารถมองเห็นทุกอย่างภายนอกได้ และไม่มีสิ่งของจำพวกนาฬิกา ดังนั้นรายละเอียดว่าซูย้าวกับโม่หว่านหว่าน ถูกกักตัวนานเท่าไหร่แล้วนั้น พวกเธอแทบไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
แค่อาศัยความรู้สึกเอา เหมือนจะเป็นเวลาสามวันโดยประมาณ อาจจะสามวันสี่คืนล่ะมั้ง หรืออาจจะสี่วันแล้วก็ได้
เมื่อเรือสำราญจอดเข้าท่า จากนั้นจึงมีผู้ชายเดินมาที่ห้อง ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีหมวกคลุมหัวสีดำมาคลุมหัวโม่หว่านหว่านกับซูย้าวตามเดิม จากนั้นจึงปลดโซ่ที่บริเวณคอของพวกเธอ แต่ใช้การมัดมือเข้ามาแทนที่ และพาตัวพวกเธอออกไปจากห้องนี้
หลังจากลงจากเรือสำราญแล้ว และเดินไม่นานนัก จึงขึ้นรถแทน
จากนั้นจึงเคลื่อนตัวออกเดินทางสักระยะอย่างไร้จุดหมาย และไม่รู้สถานที่ว่าจะไปไหน ซูย้าวได้กลิ่นแรงของน้ำมัน รถยนต์จอดอยู่สักพัก และเริ่มเคลื่อนตัวออกเดินทางอีกครั้งนั้น ใช้เวลาในการเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง จึงจอดอีกครั้ง
หลังจากขึ้นเรือแล้ว ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นรถยนต์ ต่อไปจะเป็นอะไรล่ะ ซูย้าวยังไม่มั่นใจ แต่กลับมีคนจับมัดแขนให้นั่งลงบนอะไรสักอย่าง หลังจากสตาร์ทเครื่องแล้ว เธอจึงรับรู้ได้ด้วยแรงลมจากเสียงใบพัด จึงรู้ทันที ว่าต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์
ใช้เวลาเดินทางกว่าสามชั่วโมง เฮลิคอปเตอร์จึงลงจอด ทั้งสองคนถูกคนจับมัดแขนให้ลงจากเครื่อง จากนั้นก็กลับไปนั่งรถยนต์ต่อ การเดินทางในครั้งนี้ใช้เวลานานพอควร ประมาณแปดชั่วโมงกว่าได้ ตั้งแต่กลางวันยันพระอาทิตย์ตกเลยทีเดียว ระหว่างการเดินทางมีผู้ชายคอยแกะหน้ากากให้พวกเธอบ้าง เพื่อเป็นการเอาน้ำมาให้ดื่มเช่นนั้น เพื่อให้พวกเธอทั้งสองคนดื่มน้ำรองท้องไว้ก่อน
เมื่อถึงที่หมายนั้น ซูย้าวยังคงใส่หน้ากากอยู่เช่นเดิม ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวต่างมืดไปหมด ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
เธออาศัยประสาทสัมผัสจนจับสัมผัสบริเวณโดยรอบได้ เหมือนรู้สึกว่า… ตัวเองจะอยู่ในป่า เพราะได้ยินเสียงนกร้องอยู่บ้าง และยังได้กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ และยังได้กลิ่นหอมของไอดินหลังฝนตกอีกด้วย
แต่ว่า มันแค่ป่างั้นเหรอ?!
ซูย้าวยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ การถูกคนจับมัดแขนในการเดินทางแบบนี้ เธอเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากให้ความร่วมมือ ทำได้แค่เพียงเท่านี้แหละ
ใช้เวลาเดินประมาณเลยครึ่งชั่วโมงมาแล้ว จนถึงที่หมายสักแห่งหนึ่ง เหมือนว่ามีบันไดด้วย เพราะผู้ชายที่อยู่ด้านข้างนั้นยังคอยพูดเตือนอยู่
โม่หว่านหว่านสติหลุด จึงไม่ได้ยินคำเตือน เมื่อเดินอย่างไม่มีสติ จนเสี่ยงชนกับบันได จังหวะที่ไม่ทันระวังจนสะดุดล้มลงไปนั้น ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างก็จับช่วงเอวของเธอเอาไว้ทันที เพื่อเป็นการดึงร่างกายของเธอให้ทรงตัวได้ และพูด “ขอโทษ” ออกมาทันทีอย่างมีมารยาท
สิ่งที่ชายหนุ่มหมายถึงคือการที่ไม่ควรมีการแตะเนื้อต้องตัวกันเช่นนี้ แต่ด้วยสถานการณ์เช่นนั้นแล้ว ในฐานะถูก ‘คนลักพาตัว’ มาแต่กลับสามารถมีทัศนคติและมารยาทเช่นนี้ โม่หว่านหว่านจะพูดอะไรได้อีกเล่า?
“ไม่เป็นไร” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ จากนั้นจึงถูกผู้ชายจับมัดแขนและเดินไปทางด้านหน้าต่อไป
เมื่อเดินขึ้นบันไดมาสักระยะแล้ว จึงมาถึงที่หมาย จากนั้นมีคนถอดผ้าคลุมหน้าของซูย้าวกับโม่หว่านหว่านออก แต่ไม่ได้แก้มัดให้ทั้งสองคน
จู่ ๆ มีแสงสว่างจ้าเข้ามาอย่างกะทันหัน จนทำให้ทั้งสองคนเริ่มปรับตัวไม่ทัน ผ่านไปชั่วครู่ ถึงค่อยๆ ปรับแสงสว่างจ้านี้ได้ ทั้งสองคนต่างมองสำรวจโดยรอบ เป็นบ้านหลังหนึ่งที่แสนหรูหรามากทีเดียว เป็นวิลล่าที่มีขนาดใหญ่มาก มีห้องหับเยอะแยะ ชั้นล่างก็ตกแต่งได้อย่างงดงามมาก
ด้านข้างมีชายฉกรรจ์อยู่สิบกว่าคน ทุกคนต่างกำยำล่ำสัน แผงอกหน้าท้องมีกล้ามเป็นลอน แต่ทุกคนเหมือนเป็นเครื่องจักร ไร้ความรู้สึก ได้แต่ยืนตัวตรงขนาบทั้งสองข้าง
โม่หว่านหว่านกลืนน้ำลายลงคออยู่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี และเหลือบมองซูย้าวตามสัญชาตญาณ เนื่องจากเป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย และไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งสองคนจึงไม่กล้าลงมือโดยไม่ยั้งคิด และไม่กล้าจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมาเรื่อยเปื่อย
จากนั้นไม่นานนัก จึงมีผู้ชายที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าเดินออกมาจากห้องครัว ในมือถือถาดมาด้วย พร้อมทั้งมีอาหารทุกชนิดครบครัน อยู่ในนั้นทั้งหมด
เวลาเดียวกัน ผู้ชายที่อยู่ด้านหลัง และยังมีผู้ชายอีกสองคน ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วอายุใกล้เคียงกัน แต่ลักษณะหน้าตาต่างกัน แต่ในมือของทุกคนนั้นต่างถือถาดอยู่ และเดินเข้ามาวางลงบนใกล้ๆ โต๊ะหน้าโซฟา ที่อยู่ใกล้ซูย้าวกับโม่หว่านหว่านอยู่ตลอด
“คุณผู้หญิงทั้งสอง “อีกสักพักจึงสามารถขึ้นชั้นบนไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตา และพักผ่อนอยู่ที่นี่ครับ”
“หากต้องการสิ่งใด สามารถบอกกับผมได้ตลอดเวลา โดยอาศัยเท่าที่ทำได้ ยินดีจะทำให้ท่านทั้งสองตามปรารถนาครับ” ชายหนุ่มสุภาพ แถมมีมารยาทมากด้วย
ซูย้าวขมวดคิ้วอย่างอธิบายไม่ถูก “แค่นี้เองเหรอ?”
“ยังมีอีก อุปกรณ์การติดต่อสื่อสารในทุกช่องทางของที่นี่ได้ถูกปิดกั้นหมดแล้ว ฉะนั้นโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์นั้น ใช้งานไม่ได้ และยังมีคนพวกนี้ พวกเขาจะอยู่เป็นเพื่อนกับสองท่านอยู่ที่นี่ตลอด 24 ชั่วโมง รบกวนอย่าคิดหนีโดยไม่ได้รับอนุญาตเลยครับ”
อีกฝ่ายดูเหมือนพินอบพิเทาอยู่ แต่ในคำพูดนั้น ยังเป็นการตักเตือนพวกเธออยู่ด้วย ขอแค่อยู่ที่นี่ เพลิดเพลินกับอาหารอันโอชาและการดูแลเช่นนี้ มิเช่นนั้น พวกเธอไม่กล้าจินตนาการ ถึงผลลัพธ์ที่ตามมาภายหลังว่าจะเป็นอย่างไรเลย
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพวกเขาจะหนีไปได้ไหม แค่พูดว่าที่นี่คือที่ไหน เมื่อวิ่งออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้แล้ว ด้านนอกคืออะไรอีก ก่อนหน้าที่ยังไม่รู้เรื่องพวกนี้อย่างชัดเจน ซูย้าวกับโม่หว่านหว่าน จะลงมืออย่างหุนหันพลันแล่นได้อย่างไรกัน?!
กระทั่งเป็นตัวประกันที่อยู่ในเงื้อมมือของคนอื่นไปแล้ว สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คือ การอยู่อย่างสงบให้ปลอดภัยเข้าไว้ เรื่องอื่น ตอนนี้ยังไม่ต้องไปคำนึงถึง
มิเช่นนั้น ความปลอดภัยยังทำไม่ได้เลย แล้วจะเอาอิสรภาพมาจากไหนกัน?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูย้าวรับสภาพที่เกิดขึ้นในเวลานี้ได้อย่างยินดี พลันพยักหน้าแผ่วเบา “งั้นพวกเราขอไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะได้ไหม?”
“ได้ครับ” ชายหนุ่มตอบทันควัน “ถ้าทั้งสองท่านไม่ยินดีที่จะลงมารับประทานอาหารข้างล่าง อีกเดี๋ยวพวกเราจะส่งอาหารเหล่านี้ขึ้นไปยังห้องของทั้งสองท่านครับ”
ซูย้าวส่งเสียงตอบรับ จากนั้นจึงดึงโม่หว่านหว่านให้เดินขึ้นตึกไป
โม่หว่านหว่านเดินตามหลังซูย้าวไปติดๆ พลันรู้สึกว่าบอดี้การ์ดสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลังนั้น ท่าทางต่างโหดเหี้ยม จนทำให้ใจเธออยู่ไม่เป็นสุข
ไม่ง่ายเลยที่เดินเข้ามาในห้อง เธอถึงได้ถอนหายใจโล่งอก “พระเจ้าช่วย! นี่ต้องการจะทำอะไรเนี่ย? กักตัวพวกเราไว้ที่นี่ เพื่ออะไรกันแน่?”
“ยังจะเพื่ออะไรล่ะ? ตัวประกันไง” ซูย้าวหลุดปากพูดออกไป จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ
แต่ไม่ได้อาบน้ำจริงๆ แต่แค่ล้างหน้าล้างตา และล้างมือซ้ำอยู่หลายรอบเท่านั้นเอง โม่หว่านหว่านที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ฉันว่าแกรับสภาพแบบนี้ได้ง่ายดายมากเลยทีเดียว”
“อะไรที่รับได้ก็ต้องรับ รับไม่ได้ก็ต้องรับ ทำไมจะต้องทำให้ตัวเองลำบากไปด้วยล่ะ?” ซูย้าวหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดมือ และพูดขึ้นว่า “แกต้องหิวแล้วแน่ ๆ ล้างมือสิ เดี๋ยวไปกินข้าวกันเถอะ!”
โม่หว่านหว่านส่ายหน้าแทน “ไม่เอาอ่ะ ฉันอยากอาบน้ำ”
เพราะว่าตอนการเดินทางนั้น ไม่ได้ล้างหน้าล้างตาชำระร่างกายมาตั้งหลายวัน โม่หว่านหว่านรู้สึกว่าร่างกายสกปรกไปทั้งตัว ต้องอาบน้ำให้สะอาดก่อน ไม่งั้นกินข้าวไม่ลง
ซูย้าวได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย พลันเหลือบตามองไปทางมุมเพดานห้องน้ำ พลันส่งสายตาให้กับโม่หว่านหว่าน
โม่หว่านหว่านเหลือบตามองแวบเดียว พลันตะลึงทันที “กล้องวงจรปิดเหรอ? นี่…”
“อย่าเพิ่งอาบน้ำเลย ถ้าอยากจะอาบจริงๆ นะ รออีกเดี๋ยวฉันจะช่วยแกบังเอาไว้ให้ ล้างมือให้เสร็จ แล้วลงไปกินข้าวก่อนนะ!” ซูย้าวเอ่ยออกมา
โม่หว่านหว่านทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว จนสีหน้าไม่สามารถกลับคืนมาเป็นดังเดิมได้ แค่รู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อ “เอ่อ.. ตกลงอยากจะทำอะไรกันแน่? ถึงขั้นติดกล้องวงจรปิดเอาไว้ด้วย! แถมอยู่ในห้องน้ำอีกต่างหาก!”
ซูย้าวดึงเธอออกมา และชี้ไปที่มุมห้องนอน “เอ้า ตรงนี้ก็มี ถ้าฉันเดาไม่ผิดนะ ทุกมุมห้องของคฤหาสน์หลังนี้ มีกล้องวงจรปิดติดไว้หมด สนามด้านนอกก็ต้องมี”
ฉะนั้น อย่าได้ทำอะไรหุนหันพลันแล่นเป็นอันขาด และไม่ต้องจินตนาการอยากจะหลุดรอดสายตาของบอดี้การ์ดตั้งสิบกว่าคนของที่นี่เลย อานเจียเย้นเป็นคนทำงานได้อย่างระมัดระวังมาก ต้องไม่สร้างโอกาสให้พวกเธอสองคนอย่างแน่นอน
ร่างกายของโม่หว่านหว่านไร้เรี่ยวแรงจนขาอ่อนระทวย พลันเอนตัวพิงกับกำแพงที่อยู่ด้านข้างทันที “ฉันยังคิดว่า…”
“ยังคิดว่าหลุดจากปลดพันธนาการจากโซ่ตรวนแบบนั้นไปได้แล้ว พวกเขาคงเกรงใจพวกเราจริงๆ เหรอ? หว่านหว่าน นี่แกช่างคิดว่าแสนธรรมดาเกินจริงแล้ว!”
ถ้าอานเจียเย้นมีความคิดเหมือนคนปกติทั่วไปคนหนึ่ง เช่นนั้นก่อนหน้านี้ซูย้าวต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานหัวใจเช่นนั้นมาก่อน และทำไมถึงหวาดกลัวอยู่ตลอดด้วยล่ะ?