ตอนที่ 409 จินตนาการในใจ
หลายปัญหาถูกสะสมมานานหลายปี ที่ตอนนี้ภายในบริษัทมีหนอนบ่อนไส้ก็เป็นเพราะว่าข้อมูลภายในบริษัทส่วนมากล้วนเป็นการป้องกันขั้นแรกเท่านั้น บางคนอาจโดนคนอื่นหลอกใช้โดยไม่รู้ตัว อีกเหตุผลหนึ่งก็คือตอนนี้ยิ่งสวัสดิการที่ได้รับดีมากเท่าไร การจัดการดูแลก็ยิ่งผ่อนปรนลงไปมากเท่านั้น อาจจะทำให้พวกคนที่อยากได้ผลประโยชน์มากขึ้นเอาข้อมูลของบริษัทออกไปขาย
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ไม่มีข้ออ้างใดที่สามารถยกมาเพื่อให้อภัยได้ทั้งนั้น เหยียนเค่อก็จะไม่ไว้หน้าแน่นอน การมีเมตตากับคนอื่นก็คือการโหดร้ายกับตัวเอง หรือบางทีความเมตตาทั้งหมดของเขาล้วนมีให้
ซย่าเสี่ยวมั่วไปหมดแล้ว
“ตอนผมไปดูงาน ถ้ามีเรื่องอะไรให้ไปหาเซ่าหมิงฟ่านนะ” เหยียนเค่อไม่รู้ว่าเซ่าหมิงฟ่านไปไหนเสียแล้ว แต่ถ้ามีปัญหา เขาก็ไม่ให้เซ่าหมิงฟ่านได้ใช้ชีวิตอย่างแน่นอน ให้ไปหาฉินซื่อหลานก็หวังพึ่งอะไรไม่ค่อยได้เท่าไร
“ครับ” รอบนี้ผู้ช่วยหวังดูอย่างรวดเร็วกว่าเดิม เพราะว่าคนที่เขากล้ายืนยันก็มีจำนวนมากอยู่เหมือนกัน ผู้ช่วยหวังรู้เรื่องของพวกเขาในแต่ละด้านอย่างทะลุปรุโปร่ง เหมือนว่าจะมีเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่เหยียนเค่อจะไปดูงาน แต่ความจริงนั้นเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก ถึงเวลานั้นเขาต้องกลายเป็นบ่าวไร้นาย จะไปตามหาเจ้านายที่ไหนก็ไม่ได้
“กำหนดการของผมไม่ต้องบอกให้พวกเขารู้ล่ะ” เหยียนเค่อไม่คิดจะบอกพนักงานคนอื่น ครั้งนี้เขาไปกับสวีอันหรานในนามของสวีกรุ๊ป มีสวีอันหรานอยู่ เขาก็ไม่เอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องแน่นอน ไม่ต้องใช้งานพนักงานคนอื่น
“แล้วพวกประชาสัมพันธ์…” จากนิสัยของเหยียนเค่อแล้ว ถ้าไม่ก่อเรื่องก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง
“ไม่ต้อง” เหยียนเค่อปฏิเสธเด็ดขาด ก่อนจะมองเขาอย่างสงสัย “ผมเป็นคนที่ไม่รู้จักความพอดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
ผู้ช่วยหวังยิ้มแกนๆ ท่านมีความพอดีครับ เพียงแต่ความพอดีของท่านมีมากกว่าพวกผมก็เท่านั้นเอง
“เฮ้อ” เหยียนเค่อก็รู้ว่าเขาไม่มีทางเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตนในความคิดของเขาได้ อย่างไรเสียเขาก็ยอมแพ้กับความคิดที่จะสร้างคาแรกเตอร์ให้ตัวเองแล้ว
พนักงานคนอื่นไม่รู้ว่าเหยียนเค่อจะไปดูงาน พนักงานระดับกลางต่างก็หวาดหวั่นในใจ กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
“พี่ชวี พี่ว่าบอสเราคิดจะทำอะไรอะ” พวกเขาต่างก็เดาไม่ถูกว่าในใจของเหยียนเค่อคิดอะไรอยู่กันแน่ กลัวว่าจะเกิดเรื่องกับตัวเอง
แต่ชวีไหน่กลับไม่กลัว เหยียนเค่อก็แค่คนที่ปากร้ายใจดีคนหนึ่ง ไม่ทำเรื่องที่เกินไปกว่าเหตุแน่นอน เธอจึงปลอบโยนพวกเขา “ไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าเราทำดีแล้วก็ไม่ต้องกลัวความผิด ท่านประธานไม่ลงโทษใครซี้ซั้วหรอก”
“พี่ชวีรู้ใจบอสที่สุดจริงๆ ด้วยสินะ”
“พี่ชวีพูดแบบนี้แล้วฉันก็สบายใจ”
รอบกายเต็มไปด้วยเสียงสรรเสริญเยินยอ ชวีไหน่ก็รู้ว่าใครจริงใจใครเสแสร้ง เธอก็ขี้เกียจไปทำตัวเสแสร้งกลับ จึงทำได้เพียงยิ้มให้แล้วจึงเดินกลับห้องทำงานของตัวเอง
เทียบกับบริษัทอื่นแล้ว YAN ไม่มีการต่อสู้แก่งแย่งอำนาจกันมากขนาดนั้น แต่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหลากหลายรูปแบบในบริษัทแห่งนี้ ทำให้หลบหลีกคนจอมปลอมพวกนั้นไปไม่ได้
ที่จริงความรู้สึกที่ชวีไหน่มีให้เหยียนเค่อนั้นใกล้จะสูญสลายไปแล้ว แต่คำพูดของคนรอบข้างก็ทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหวอีกครั้ง เธอเองก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของหญิงสาวคนนั้นกับเหยียนเค่อมานานแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเธอยังมีความหวังอยู่ใช่ไหม
เธอนึกไปถึงซย่าเสี่ยวมั่ว หญิงสาวที่ยิ้มแล้วสดใสและสวยงาม รูปร่างสะโอดสะองราวกับดอกบัว ท่าทางตอนยืนเคียงข้างเหยียนเค่อนั้นราวกับคู่รักเทพยดาคู่หนึ่งที่เดินออกมาจากภาพวาดน้ำหมึก
แต่ภาพวาดน้ำหมึกของเหยียนเค่อก็อาจจะไม่ได้เหมาะกับผู้หญิงคนนั้นเพียงคนเดียวนี่นา ชวีไหน่จินตนาการภาพของตนกับเหยียนเค่อคืนเคียงกัน ท่าทางดูเหมาะสมกันไม่น้อย
บนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องที่ถูกกำหนดไว้ตายตัว คำว่ามาก่อนมีสิทธิ์ก่อนใช้ไม่ได้ในเรื่องของความรัก ดังนั้นเธอเองก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ ชวีไหน่คิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ให้เธอช่วยสืบเรื่องซย่าเสี่ยวมั่ว
เมื่อก่อนเธอไม่ได้คิดกับเหยียนเค่อลึกซึ้งเหมือนอย่างตอนนี้ ในเมื่อตอนนี้มีความคิดแบบนี้แล้ว ก็ต้องศึกษาเรื่องของผู้หญิงที่เคยพัวพันกับเหยียนเค่อเสียหน่อย
ตอนที่ 410 น้ำจะร้อนหรือเย็น มีเพียงผู้ดื่มที่รู้
“ฮัลโหล” เหยียนเค่อผู้โดดเดี่ยวไม่มีห้องหนังสือให้นอน ทำได้เพียงนั่งทำงานโต้รุ่งในห้องทำงาน และก็ไม่ได้อยากจะรับโทรศัพท์จากสวีอันหรานมากนัก
สวีอันหรานได้ยินน้ำเสียงเกียจคร้านของเขาก็รู้ว่าเหยียนเค่อไม่อยากสนใจตน แต่การที่เขาสะกดกลั้นความตื่นเต้นเมื่อตอนบ่ายมาถึงตอนนี้ได้นั้นไม่ง่ายเลย
“ฉันจะบอกให้ ฉันคลำเจอชื่อฉันด้วยล่ะ”
“อืม” เหยียนเค่อค่อนแคะในใจ ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นคนคิดขึ้นมาน่ะสิ สวีรั่วชีจะไปมีอารมณ์อ่อนหวานแบบนั้นได้อย่างไร
สวีอันหรานตื่นเต้นอยู่ค่อนวัน ความกระตือรือร้นรวมตัวกลายเป็นฟองสบู่แห่งความสุข แต่ปฏิกิริยาของเหยียนเค่อเหมือนกับน้ำเย็นที่ราดรดลงมาบนฟองสบู่ของเขา [นายช่วยตื่นเต้นหน่อยได้ไหม] อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน ตนมีความสุขแล้วเขาจะไม่ดีใจหน่อยเหรอ
“ถ้าฉันตื่นเต้นแล้วนายจะไม่รู้สึกว่าฉันกับสวีรั่วชีกิ๊กกันหรือไง” เหยียนเค่ออยากจะพอแล้ว ถ้าตนรู้มากไปเขาก็จะสงสัยว่าตนกับสวีรั่วชีกิ๊กกัน ถ้าตนรู้น้อยไปเขาก็ไม่พอใจอีก เอาใจยากขนาดนี้จะมาหาเขาทำไมกันนะ
“ตอนนี้ฉันไม่อยากอยู่ห่างเสี่ยวชีเลย” สวีอันหรานมองสวีรั่วชีที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องผ่านบานกระจกของระเบียง “เสี่ยวชีของฉันน่ารักเกินไปแล้ว”
น่ารัก…น่ารักตรงไหน… เหยียนเค่อเอือมระอา “งั้นนายไปอยู่กับเมียต่อเถอะ ฉันมีธุระ”
“นายจะมีธุระอะไร ซย่าเสี่ยวมั่วก็มีฉินซื่อหลานคอยอยู่เป็นเพื่อนแล้ว” สวีอันหรานพูดใส่ไม่ยั้ง
เหยียนเค่อแสยะยิ้ม ไอ้หมอนี่คงลืมไปแล้วสินะ ว่าใครกันที่ทำหน้าจะเป็นจะตายเมื่อสองวันก่อน
“ถึงเวลาลงมือแล้วก็ต้องลงมือ” สวีอันหรานยังไม่รู้ตัวสักนิดว่าตนกำลังทำให้เขาไม่พอใจอยู่
“ฉันว่าฉันควรจะบอกสวีรั่วชีสักหน่อย เรื่องของบนรถนายน่ะ” เหยียนเค่อลอบถอนหายใจ เขาก็มีวันที่ต้องมาข่มขู่คนอื่นด้วยหรือเนี่ย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจัดการสวีอันหรานไปนานแล้ว
“เฮ้ยๆๆ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกันสิ” สวีอันหรานร้อนใจ “ฉันจะบอกให้ วันนี้ฉินซื่อหลานไปเดินซูเปอร์ฯ กับซย่าเสี่ยวมั่วมา”
เหยียนเค่ออยากวางสาย ไม่อยากฟังต่อไปเลยสักนิด
สวีอันหรานยังคงพูดต่อไปอย่างกระตือรือร้น [ซย่าเสี่ยวมั่วเรียกนายว่าสามีด้วย นายรู้หรือเปล่า] น้ำเสียงสูงขึ้นอย่างประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินคนเรียกเหยียนเค่อว่า ‘สามี’ ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นเรื่องที่ภรรยาในอนาคตของเหยียนเค่อก็อาจจะทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ดินสอที่เหยียนเค่อใช้เขียนแผนรายงานหยุดชะงักลงบนหน้ากระดาษ ตวัดวาดเป็นรอยยาวสีเข้ม แต่น้ำเสียงยังคงนิ่งสงบดังเดิม “นายว่าไงนะ”
“ก็ซย่าเสี่ยวมั่วบอกว่าฉินซื่อหลานเป็นน้องชายสามีเขาน่ะ” สวีอันหรานไม่รู้รายละเอียด แต่รู้แค่ส่วนหนึ่งโดยคร่าวๆ เท่านั้น
เหยียนเค่อถอนหายใจยาวเหยียด “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน”
“เอาเป็นว่าก็หมายถึงนายนั่นแหละ ซย่าเสี่ยวมั่วพูดเองเลยนะ”
เหยียนเค่อขมวดคิ้วบางๆ “เดี๋ยวนี้นายยุ่งเรื่องคนอื่นมากจังเลยนะ”
“ซะที่ไหนกัน!” สวีอันหรานรีบแก้ต่างให้ตัวเอง “วันนี้ซย่าเสี่ยวมั่วโทรมาเล่าให้เสี่ยวชีฟังต่างหาก ฉันก็แค่คอยฟังอยู่ข้างๆ”
เหยียนเค่อเอามือเท้าศีรษะแล้วตอบกลับแบบขอไปที “เอาเถอะ ฉันไปทำงานก่อนนะ นายก็ไปอยู่กับสวีรั่วชีของนายเถอะ”
“เอิ่ม…นายไม่ตื่นเต้นเลยเหรอ ฉินซื่อหลานอาจจะเชื่อคำพูดของนายนะ แต่ฉันรู้จักนายดี”
สวีอันหรานยืนพิงราวระเบียงมองคนในห้องเงียบๆ รู้สึกอิ่มเอมไปทั้งหัวใจ
ความตื่นเต้นของเหยียนเค่อถูกทำลายไปเกือบหมดแล้ว ตื่นเต้นไปแล้วยังไง ทุกสิ่งล้วนกอดไม่ได้ สักวันหนึ่งก็ต้องตกเป็นของคนอื่นอยู่ดี
“เอาเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กลับไปหาสวีรั่วชีไป ถ้าว่างก็มาหาฉัน”
ผู้ช่วยหวังร่างรายชื่อส่วนใหญ่ออกมาเรียบร้อยแล้ว เมื่อลองเอามาเทียบกับของสวีอันหรานแล้วน่าจะพอใช้ไม่ได้
“ก็ได้” ช่วงที่ต้องเดินออกมาจากโคลนตมนั้นช่างยากลำบาก แต่ความปีติที่ได้รับชีวิตใหม่อีกครั้งมักจะทำให้คนหลงลืมความเจ็บปวดในระหว่างนั้น
สวีอันหรานหลงลืมความหวาดกลัวหลังจากที่เริ่มตกหลุมรักสวีรั่วชีไปแล้ว จดจำเพียงความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้เท่านั้น
ดังนั้นความรักก็เหมือนกับน้ำเปล่า ที่ไม่ว่าจะร้อนหรือเย็น ก็มีเพียงผู้ดื่มเท่านั้นที่รู้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางรับรู้อุณหภูมิของน้ำได้จากการสัมผัสหรอก