ตอนที่ 287 รายงานเรื่องลับ
“ไปเถอะๆ ยังไงซะก็โดนจับได้แล้ว ทำต่อไปให้สุดเลยดีกว่า”
ซย่าเสี่ยวมั่วออกไปเดินเล่นหาอะไรกินกับเธอรอบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาที่บริษัทตอนที่คนอื่นกำลังพักกลางวันอยู่
“การที่พวกเราเลิกงานก่อนมีความพิเศษอะไรหรือเปล่า” ซย่าเสี่ยวมั่วยืนพิงผนังแล้วถามขึ้นเป็นเชิงว่าไม่เข้าใจ “เราจะกลับบริษัทกันตอนนี้ทำไม นอนกลางวันเหรอ”
“อืม…” อันหร่านก็ไม่รู้จะตอบเธออย่างไร เป็นครั้งแรกที่เธอเลิกงานก่อนแต่เดินไปแค่นี้ก็กลับมาแล้ว “เธอไปนอนเถอะ”
“ฉันไม่นอน!” ถ้าหลับลงเมื่อคืนเธอก็คงไม่นอนคิดเลอะเทอะจนฟ้าสว่างหรอก
อันหร่านไม่สนใจอารมณ์ขุ่นเคืองของเธอ “ถ้าเธอนอนไม่หลับก็ไปวาดการ์ตูนซะ”
“ฮือ” ซย่าเสี่ยวมั่วยกสองมือขึ้นปิดหน้าก่อนจะออกแรงถู “ไม่เอา”
ให้นอนยังพอรับได้ แต่การวาดรูปทำให้เธอต้องหวนนึกถึงเรื่องเมื่อคืนซ้ำอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เธอคงไม่ต้องนอนแล้วล่ะ
“ถ้างั้นเธอจะทำอะไร” อันหร่านจิ้มกะโหลกเธอ “ไม่งั้นออกไปหาอะไรกินอีกรอบไหม”
“ฉันอยากอยู่เงียบๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วเอนตัวหัวหน้าเข้าผนังไม่ขยับเขยื้อน
“อย่าไปแย่งที่อยู่จิ้งจกสิ” อันหร่านจับปกคอเสื้อเธอก่อนจะยกมันขึ้น “กลับไปพักผ่อนเถอะ เธอทำแบบนี้คนอื่นเห็นแล้วจะนึกว่าแผนกเรามีชีวิตครอบครัวที่มีความสุขดีนะ”
“ถ้าชีวิตครอบครัวที่มีความสุขจะซังกะตายแบบฉันเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วกลอกตามองบน “ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย” เธอแกะมือของอันหร่านออก ก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟต์ “ฉันว่าจะจัดเตรียมแผนการนัดบอดครั้งยิ่งใหญ่นี่ดีกว่า”
อันหร่านมองเธอปราดหนึ่งแล้วลังเลในใจ ‘นัดบอดเลยนะ…ต้องบอกบอสเรื่องของซย่าเสี่ยวมั่วเรื่องนี้หรือเปล่านะ…’
“เธอไปนัดบอดเมื่อไร”
“เช้าวันเสาร์ที่สตาร์บัค ในสถานที่ที่ทำลายความฝันของฉัน!”
“เอ่อ…” หลอกง่ายเสียจริง โพล่งเวลาและสถานที่ออกมาหมดเลย
ซย่าเสี่ยวมั่วเดินกลับห้องทำงานอย่างหมดอาลัยตายอยาก ก่อนจะลงไปนอนตัวตรงบนโซฟา ไม่มีแรงขับเคลื่อนในการวาดต้นฉบับเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้แม้แต่งานออกแบบเสื้อผ้าและชุดแต่งงานเธอก็ไม่รับทำแล้ว เธอกลัวว่าจะเผลอวาดหัวกะโหลกและคำสาปแช่งลงไปบนชุดแต่งงานของคนอื่นเขา…
ความรักทำให้คนงดงาม และก็ทำให้คนอัปลักษณ์ได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อใครคนนั้นรักแต่ไม่สามารถครอบครอง จนเกิดความยึดมั่น…
ซย่าเสี่ยวมั่วยังถือว่าโชคดี อย่างน้อยเธอก็รู้ตัวตนของเหยียนเค่อก่อนจะกลายเป็นคนที่ยึดมั่นไว้ไม่ปล่อยไม่อย่างนั้นเธอคงต้องกลัดกลุ้มเรื่องชีวิตที่เหลือของตนเป็นแน่
อันหร่านกำลังเผชิญหน้ากับความลังเลแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับเหยียนเค่อ ไม่ใช่การขายเพื่อนหรือว่าอาศัยซย่าเสี่ยวมั่วเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากเหยียนเค่อ แต่เป็นเพราะเธอรู้สึกว่าสองคนนี้มีใจให้กันจริงๆ เหยียนเค่อแคร์ซย่าเสี่ยวมั่วมาก เพียงแต่วิธีการแปลกประหลาดไปหน่อยก็เท่านั้น
“เชิญครับ” เหยียนเค่อกำลังนั่งพิงพนักเก้าอี้หลับพักสายตา แต่บาดแผลตรงมุมคิ้วก็ไม่ส่งผลกระทบกับความหล่อเหลาของใบหน้าของเขาเลย
“ท่านประธานคะ” ก่อนจะเคาะประตูห้องอันหร่านยังลังเลอยู่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจขายซย่าเสี่ยวมั่วไป
เหยียนเค่อช้อนตามองอย่างเกียจคร้าน เห็นว่าเป็นเธอจึงหลุบตามองต่ำ “หัวหน้าอันรักเคารพในหน้าที่ดีนะครับ ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อน แผนคุณออกไปกินข้าวแล้วไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกครับ”
คำพูดนี้ช่างย้อนแย้งเสียจริง…การรักและเคารพในหน้าที่ใช่เรื่องเดียวกับการมาหาแฟนหรือไง? นี่เขากำลังพูดจาเสียดสีเธออยู่ชัดๆ
อันหร่านกำหมัด ถ้าเขาไม่ใช่เจ้านายของเธอนะ กำปั้นนี้คงพุ่งเข้าไปฝากรอยบนใบหน้างดงามไร้ที่ติของเหยียนเค่อแล้ว
“ฉันมาคุยเรื่องส่วนตัวค่ะ”
“ผมยังไม่พร้อมรับฟัง” เหยียนเค่อเอ่ยเตือน อย่ามาสาดความสวีตแถวนี้นะ
เทียบกับเหยียนเค่อแล้ว ‘พี่ชายในห้องน้ำ’ ของซย่าเสี่ยวมั่วดีกว่าเยอะเลย
“ฉันจะมาคุยเรื่องซย่าเสี่ยวมั่วค่ะ” อันหร่านพูดเข้าประเด็นทันที ไม่อยากพิรี้พิไรกับเขาอีก
“สำคัญมากไหมครับ ถ้าไม่สำคัญผมไม่ฟัง” เหยียนเค่อโหมดปากไม่ตรงกับใจประทับร่างโดยฉับพลัน เขาตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ให้ห่างจากซย่าเสี่ยวมั่ว จะกลับไปทำแบบเดิมอีกเพราะคำพูดแค่นี้ของอันหร่านไม่ได้
ตอนที่ 288 เรื่องสำคัญ
คำพูดที่ซย่าเสี่ยวมั่วพูดเมื่อคืน ถึงตอนนี้เขาก็ยังจำได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง อะไรคือการบอกว่า ‘ไม่ว่าจะเป็นใครเธอก็รับได้ ยกเว้นเขา’ น่ะหา!
เรื่องที่ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยนั้นได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เหยียนเค่อมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ย้อนกลับไปคิดถึงคำพูดเหล่านั้นของซย่าเสี่ยวมั่วทีละนิด แต่คิดๆ ดูแล้วก็น่าโมโห
“แบบไหนถึงจะเรียกว่าสำคัญคะ” อันหร่านถามขึ้นด้วยความไม่รู้ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกว่าถ้าบอกไปว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะไปนัดบอด นายบอสคนนี้จะต้องโมโหแน่นอน เพียงแต่ต้องเก๊กขรึมเอาไว้
เหยียนเค่อไม่พูดอะไร ความหงุดหงิดแผ่กระจายก่อนจะแสดงออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าเรื่องนี้จะสำคัญหรือเปล่า ถ้าท่านคิดว่าไม่สำคัญก็พูดขัดจังหวะได้เลยค่ะ ฉันจะไม่พูดต่อ”
เหยียนเค่อเลิกคิ้ว เหลือบตาขึ้นรอฟังเธอพูด
อันหร่านกระแอม เห็นเขาตั้งใจฟังเช่นนี้ก็แอบค่อนแคะในใจ ‘ถ้าไม่ใส่ใจจะทำท่าทางเหมือนสนใจทำไมล่ะยะ’
“ซย่าเสี่ยวมั่วจะไปนัดบอดค่ะ”
สีหน้าของเหยียนเค่อเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ อันหร่านไม่เห็นถึงความผิดปกติอันใดจึงหยุดพูดแต่เพียงเท่านั้น
เหยียนเค่อรออยู่นานก็ไม่ได้ฟังประโยคหลังสักที จึงรู้สึกรำคาญใจ “ผมขัดจังหวะคุณแล้วเหรอครับ?”
“คะ?” อันหร่านที่กำลังรอคำสั่งอยู่ได้ยินประโยคนี้ ก็สมองช็อตไปสักพักหนึ่งถึงจะคิดตามทัน ชิ ปากไม่ตรงกับใจนี่นา เขารู้ได้อย่างไรนะว่าที่เธอจะพูดไม่ได้มีแค่นี้ “ท่านคิดว่าสำคัญเหรอคะ”
เหยียนเค่อมองขวับ อันหร่านจึงไม่กล้าล้อเล่นกับเขาอีก แล้วรีบพูดออกไปอย่างหมดเปลือก “เช้าวันเสาร์ ที่สตาร์บัค เท่าที่ฉันสำรวจมา ต้องเป็นสตาร์บัคร้านนั้นที่อยู่ใกล้ๆ บ้านของซย่าเสี่ยวมั่วแน่นอนค่ะ”
“อืม” เหยียนเค่อแสร้งทำเป็นงานยุ่งด้วยการพลิกเอกสารบนโต๊ะที่ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ส่วน
อันหร่านก็ยังยืนอยู่ที่เดิมตรงนั้น ไม่รู้ว่าตนควรจะเดินออกไปหรือเปล่า
เหยียนเค่อเก๊กอยู่นาน แต่คนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานก็ยังไม่ออกไปสักที จึงถามขึ้นอย่างข้องใจ “คุณยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอครับ”
“ไม่มีแล้วค่ะ”
“ผมก็นึกว่าคุณมายืนรอแฟนซะอีก ถ้าคุณจะรอก็ไปนั่งรอตรงนู้น”
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันไม่ยืนบังแสงอาทิตย์ของคุณแน่นอน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” อันหร่านพูดขัดขึ้นอย่างรู้ทัน ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
เหยียนเค่อรอจนเธอเดินออกไปแล้วจึงไปล็อกประตู ก่อนจะปิดแฟ้มเอกสารอย่างแรงแล้วนั่งเท้าคางอย่างใช้ความคิด
เขาจะหาเหตุผลอะไรถึงจะไปปรากฏตัวต่อหน้าซย่าเสี่ยวมั่วได้กันนะ ว่ากันตามหลักแล้ว สถานที่แบบนี้เขาไม่ไปเหยียบแน่นอน…
เหยียนเฟิงดูข้อมูลที่เบลล์จัดระเบียบมาให้ และคอยถามความเห็นจากเบลล์เป็นระยะ
“น้องสาวของเฉิงนั่ว…”เหยียนเฟิงขมวดคิ้ว
“อายุยี่สิบก็แต่งงานได้แล้วค่ะ” เบลล์อธิบาย “คุณหนูของตระกูลเฉิงคนนี้ถือว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถเลยค่ะ ถูกเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่เด็กค่ะ”
เหยียนเฟิงก็รู้ดีว่าบ้านตระกูลเฉิงอบรมลูกสาวอย่างดีที่สุด อาศัยการแต่งงานมาคอยพยุงบ้านตระกูลเหยียนที่เริ่มจะเสื่อมถอยลงไปทีละรุ่นๆ ตลอดสิบปีมานี้
“ตระกูลเฉิงโลภมากเกินไป ในอนาคตต้องโดนเล่นงานแน่นอน” เหยียนเฟิงพลิกกระดาษไปด้านหลัง ยิ่งดูก็ยิ่งหงุดหงิด ไม่มีผู้หญิงถูกใจเขาเลยสักคน
“มีคนถูกใจหรือยังคะ ต้องการให้ฉันไปติดต่อไหมคะ”
“ค่อยว่ากัน” เหยียนเฟิงโยนแฟ้มเอกสารไปอีกทาง ก็จะนวดหัวคิ้ว “สวีอิ๋งอิ๋งเข้ามาหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ วันนี้คุณสวีไม่ได้เข้ามา” เบลล์ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามตน ทุกครั้งก็เป็นเหยียนเฟิงที่พา
สวีอิ๋งอิ๋งเข้ามาด้วยตัวเอง ต่อให้ตัวเขาเข้ามาที่เหยียนกรุ๊ปด้วยตัวเองก็ต้องวุ่นวายจนคนอื่นรู้กันให้ทั่วอยู่แล้ว เธอไม่สามารถห้ามสวีอิ๋งอิ๋งไม่ให้เข้ามาได้หรอก
“ประธานเหยียนคะ คือเรื่องย้ายไปทำงานในแผนกน่ะค่ะ…” เบลล์นึกไปถึงเรื่องคำสั่งโยกย้ายของตน
เหยียนเฟิงเหลือบตามองเธอปราดหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมทำเอาเบลล์ใจฝ่อ “คุณอยากไปทำงานในแผนกเหรอ”
“ก็…ค่ะ แค่อยากได้ประสบการณ์เพิ่มอีกสักหน่อย…” เบลล์เริ่มชักแม่น้ำ
“พอเถอะ อย่าเอามุกที่คุณหลอกอาจารย์มหาวิทยาลัยมาหลอกผมเลย ใช่ว่าผมจะไม่รู้จักคุณดีสักหน่อย” เหยียนเฟิงมองสายตาล่องลอยของเธอแล้วก็รู้แล้วว่าเธอจะพูดไร้สาระอะไรต่ออีก “เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน”