บทที่ 9 ข้าพูดตรง ๆ นะ
ถึงแม้เด็กหนุ่มจะรู้ดีว่ามีเหล่าศิษย์อีกหลายคนรอจัดการเขาอยู่ในวันนี้ แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังจำเป็นที่จะต้องเข้าเรียน
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในโลกไหน ก็ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับความรู้
ถ้าเขาอยากแข็งแกร่ง เขาก็ต้องเข้าเรียนและใช้โทรศัพท์นี่ซะ
ผู้เป็นนายน้อยและพ่อบ้านหวังเดินไปยังห้องเรียนราวกับทหารกล้าเดินดุ่มเข้าสู่สมรภูมิ
และในขณะนั้น ที่โถงทางเดินชั้น 2 ของตึกวิชาการสอนบทเพลงกระบี่
เด็กสาวหน้าตาสะสวยในผมทรงหางม้าสีดำขลับ กำลังมองลงมาจากราวกั้น
แม้แต่สายคาดมือกระบี่สีแสดก็ยังไม่สามารถปิดบังความงามและร่างระหงของนางได้
เด็กสาวยืนมองลงมาจากราวกั้นเสมือนเทพธิดามองลงมายังโลกมนุษย์
“ศิษย์น้องมู่ ข้าได้ยินมาว่าคำร้องขอข้ามชั้นเรียนของเจ้า ได้รับการอนุมัติแล้วงั้นหรือ”
เสียงนุ่มทุ้มดังมาจากด้านหลัง
กวนเฟยตู้ผู้สวมใส่เครื่องแบบลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่ 3 เดินออกมาจากห้องข้าง ๆ และมองมายังเด็กสาวพร้อมยิ้มกว้าง เด็กสาวผู้เกิดมาในครอบครัวที่ต่ำต้อยคนนี้ เรียกได้ว่างดงามที่สุดในสถานศึกษากระบี่แห่งนี้ เพียงแค่ได้มองดูนาง ผู้คนก็เป็นสุขแล้ว
มู่ซินเยว่หันกลับไปมองและตอบด้วยรอยยิ้มพอเป็นพิธี “ถูกต้อง ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ ศิษย์พี่กวน”
กวนเฟยตู้เป็นเด็กหนุ่มอายุ 15 ปี มีร่างบางสูงชะลูด และใบหน้าขาวผ่องสะอาดใสที่ทำให้ใคร ๆ ต่างมองเขาเป็นเด็กหนุ่มแสนสูงศักดิ์และเป็นสุภาพบุรุษ อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความสามารถในด้านศิลปะการต่อสู้ เด็กสาวส่วนใหญ่ยามได้พบเจอเขาแล้ว ต่างก็ลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้นทั้งสิ้น
เด็กหนุ่มส่ายหน้า ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ “ไม่เลย ศิษย์พี่ไม่กล้าเอาความดีความชอบเข้าตัวแบบนั้นหรอก นั่นเป็นเพราะคณะอาจารย์เล็งเห็นความสามารถและตอบรับใบสมัครของเจ้าด้วยตนเองต่างหาก ขั้นต่อไปก็เหลือแค่เจ้าต้องเป็นอันดับ 1 ในการสอบกลางภาคของบรรดาปี 2 ให้ได้ เท่านั้นคำร้องขอข้ามชั้นปีของเจ้า ก็จะได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าเป็นเพราะศิษย์พี่กวนไม่ใช่หรือ ที่ไปพูดถึงความดีของข้าให้คณะอาจารย์ฟัง ขอบคุณท่านมากนะ ศิษย์พี่” มู่ซินเยว่กล่าว
ใบหน้าอันอ่อนหวานของเด็กสาวแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มซาบซึ้งใจ ราวกับดอกไม้กำลังบานสะพรั่งกลางแสงแดดอ่อน ๆ
กวนเฟยตู้ไม่อาจหักห้ามใจไปกับใบหน้าสวย ๆ ของนางได้เลย เขาถึงกับหลงอยู่ในภวังค์ไปกับรอยยิ้มหวานนั่นเสียครูใหญ่
นางช่างสมคำร่ำลือกับตำแหน่งหญิงงามแห่งสถานศึกษากระบี่ที่ 3 จริง ๆ
เคยมีข่าวลือว่าครั้งหนึ่ง นางเคยชอบพอกับหลินเป่ยเฉินผู้มีชื่อเสียงในด้านไม่ดีมากมาย แต่ในที่สุดพวกเขาก็เลิกกัน และเด็กสาวก็ตีตัวออกห่างจากอีกฝ่ายได้ทันเวลา
“ยังไงก็เถอะ ศิษย์น้องมู่ นี่เจ้ากำลังมองดูอะไรอยู่หรือ”
กวนเฟยตู้เปลี่ยนหัวข้อการสนทนาและพยายามจะแสดงความเป็นกันเองกับซินเยว่
มู่ซินเยว่ชี้ไปยังฝูงคนเบื้องล่าง กล่าวว่า “ดูเหมือนมีใครบางคนกำลังจะเดือดร้อน”
กวนเฟยตู้มองลงไปตามนิ้วเรียวของเด็กสาว
และนั่นก็เป็นประตูห้องเรียนห้องที่ 9 ประจำชั้นปีที่ 2
ศิษย์นับสิบเบียดเสียดขวางทางกัน และดูเหมือนข้างล่างนั่น กำลังจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นแล้ว
“เหมือนกำลังจะมีเรื่องกันจริงด้วย คนนับสิบเข้าไปรุมคนคนเดียว นี่มันไปกันใหญ่แล้ว…เอ๋?”
กวนเฟยตู้นิ่วหน้าและกำลังจะเข้าไปห้าม แต่ทันใดนั้นใบหน้าที่ดูคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางฝูงชน
เมื่อมองดูดี ๆ เขาก็จำได้ทันที ว่านั่นคือเจ้าแกะดำหลินเป่ยเฉินนั่นเอง
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
คฤหาสน์ประจำตำแหน่งขุนนางนักรบสวรรค์ไม่มีอีกแล้ว เพราะอย่างนั้น วันนี้จึงมีคนมากมายแทบรอไม่ไหวที่จะจัดการกับเจ้าเศษขยะประจำเมือง
“ศิษย์น้องมู่ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานเจ้าเข้าไปออกหน้าช่วยชีวิตเขาไว้งั้นหรือ”
กวนเฟยตู้หยุดความคิดที่จะเข้าไปห้ามการต่อสู้นั้น ก่อนวางมือลงบนราวเหล็กและเอ่ยปากถามมู่ซินเยว่อย่างเป็นกันเอง
มู่ซินเยว่ตอบกลับพร้อมกับถอนหายใจ “ใช่แล้ว ยังไงซะ เขาก็เคยช่วยข้าไว้ เมื่อวานข้าจึงตอบแทนเขาด้วยการช่วยเขาบ้าง”
กวนเฟยตู้พูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม “ศิษย์น้องมู่นี่ช่างสุดยอดจริง ๆ ที่แยกเรื่องส่วนตัวระหว่างความรักและความเกลียดออกจากกันได้ แต่ตอนนี้เจ้าหลินเป่ยเฉินดูจะมีปัญหาอีกแล้ว แล้วเจ้า…”
มู่ซินเยว่ส่ายหัวช้า ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ข้าคอยปกป้องเขาไม่ได้อีกแล้ว ยังไงเขาก็เคยทำเรื่องชั่วร้ายไว้มากมาย เขาน่ะสมควรได้รับความยากลำบากและการกล่าวโทษชดใช้กับสิ่งที่ตนเองเคยทำทั้งหมด บางทีนี่อาจเป็นวิธีเดียว ที่จะทำให้เขารู้จักทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้างก็ได้”
หลังพูดจบ นางก็ก้มหน้ามองลงไป
ความเย้ยหยันจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของเด็กสาว
เพียงสีหน้าจาง ๆ เช่นนั้น ก็สามารถเห็นได้ชัดว่านางกำลังอารมณ์ดีอยู่ทีเดียว
เมื่อคืน เด็กสาวได้ออกไปหาเด็กหนุ่ม 2 คนเพื่อรับประกันว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด
ตราบใดที่ทั้ง 2 คนนั้นทำคำขอของนางให้เป็นจริงได้สำเร็จ ก็ไม่มีอะไรสุขใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว
แน่ล่ะว่าเฝิงหลุนจอมเลียแข้งเลียขานั้น ไม่ทำให้นางผิดหวังอย่างแน่นอน
เมื่อเช้านี้ เขาได้ส่งคนไปดักรอหลินเป่ยเฉินแล้ว
“เยี่ยมมาก”
“เฝิงหลุน…”
“ทำให้ข้าเห็นสิว่าเจ้าน่ะเป็นข้ารับใช้ที่เก่งขนาดไหน”
มู่ซินเยว่หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสยิ่งกว่าเดิม
ที่หน้าประตูของชั้นปี 2 ห้อง 9
เฝิงหลุนจากชั้นปีที่ 2 ห้อง 6 พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอาฆาตแค้น “หลินเป่ยเฉิน อย่าหาว่าเราไม่เคยให้โอกาส ชักกระบี่ของเจ้าออกมาซะ แล้วมาสู้กันสักตั้ง”
หลินเป่ยเฉินหยุดอยู่ตรงหน้าคู่อริ ห่างไปราวสามผิงจากประตูห้องเรียน
น่าขายหน้าอะไรเช่นนี้
หลินเป่ยเฉินมายังห้องเรียนอย่างระมัดระวังที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมาหยุดตรงหน้าประตูนี่จนได้
“เวรเอ๊ย”
เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นพร้อมถอนหายใจ “ตาต่อตารังแต่จะทำให้โลกนี้มืดบอดเสียเปล่า อะไรอีกล่ะเฝิงหลุน ถ้าข้าจำได้ไม่ผิด ข้าไม่เคยไปทำร้ายหรือรังควานเจ้าเลยนะ จริง ๆ เจ้ายังเคยทำตัวเป็นสหายกับข้าและทำเรื่องชั่ว ๆ ด้วยกันเสียอีก ชื่อเสียงเจ้าน่ะไม่ได้ดีไปกว่าข้าหรอก ไม่มีเหตุผลอะไรที่เจ้าจะต้องมาแก้แค้นข้าสักหน่อย”
“ฮึ่ม…ไอ้เจ้าคนไร้ค่า เจ้านั่นแหละที่เป็นคนบังคับให้ข้าทำเรื่องชั่ว ๆ นี่เจ้ากลัวงั้นรึ หลินเป่ยเฉิน ไม่มีประโยชน์ที่จะมามัวพูดพร่ำอีกต่อไป ถ้าเจ้ากลัวนัก เจ้าจะคลานลอดหว่างขาของข้าก็ได้ แล้ววันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
เฝิงหลุนยิ้มเยาะในขณะที่กางขาออกและชี้ไปยังหว่างขาของตนเอง
เขาเคยเอาอกเอาใจหลินเป่ยเฉินทุกอย่าง และเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ติดตามของเจ้าแกะดำ
แต่เมื่อขุนนางนักรบแห่งสวรรค์นั้นตกอับเสียแล้ว เด็กหนุ่มจึงต้องรีบตัดขาดจากหลินเป่ยเฉินตั้งแต่เนิ่น ๆ
อีกอย่าง เขาได้สัญญากับเด็กสาวในดวงใจไว้แล้วว่า จะอย่างไรก็ต้องฆ่าหลินเป่ยเฉินให้ได้
แผนของเฝิงหลุนนั้นเรียบง่ายมาก
ก็แค่ทำให้หลินเป่ยเฉินโกรธและกลายเป็นบ้าเท่านั้นเอง
และเขาก็จะทำทีเป็นเผลอพลั้งมือฆ่าเจ้าหลินเป่ยเฉินตายระหว่างการประลอง
แย่ที่สุดก็แค่โดนไล่ออกจากสถานศึกษากระบี่
แต่มันไม่สำคัญหรอก ตราบใดที่เขาจะได้เป็นที่ชื่นชมของเทพธิดายอดรัก ต่อให้เป็นสิ่งที่ชั่วช้ามากกว่านี้ เฝิงหลุนก็สามารถกระทำได้
คนเย่อหยิ่งเช่นหลินเป่ยเฉิน ไม่มีวันยอมคลานลอดใต้หว่างขาใครเด็ดขาด
“แล้วเจ้าจะรออะไรอยู่อีก”
“เจ้าสารเลวหลินเป่ยเฉิน มานี่เดี๋ยวนี้”
“ชักกระบี่ออกมา วิ่งมาหาข้า และก็โดนฆ่าตายโดยไม่ได้ตั้งใจซะ เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว”
“ข้อเสนอของข้าน่ะดีจะตาย”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจยาวแรงและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าขอพูดตรง ๆ นะ เราทั้งคู่ต่างก็เคยเป็นคนดีมาก่อน มันจะไม่ดีกว่าหรือถ้าเราปล่อยวางอคติทิ้งไปซะ ปล่อยวางทั้งบุญคุณและความแค้น วางกระบี่และหันหน้ามายิ้มแย้มให้กัน เปลี่ยนตัวตนของเราให้กลายเป็นคนใหม่”
“หุบปาก ข้าเป็นคนดีอยู่แล้ว เจ้าจะคลานหรือไม่คลาน บอกมาเดี๋ยวนี้”
เฝิงหลุนอดทนใจเย็นต่อไปไม่ไหวแล้ว
เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินคำพูดของเฝิงหลุน จึงนึกเสียใจว่าไม่น่าแกล้งทำตัวเป็นคนดีเลยจริง ๆ
คนดีน่ะ ถูกกลั่นแกล้งเสมอนั่นแหละ
“ไปตายซะ!”
หลินเป่ยเฉินรำคาญจนทนไม่ไหวและโต้ตอบกลับไปด้วยความเดือดดาล
“เฝิงหลุน…เจ้าไม่ยอมรับข้อเสนอของข้า และเป็นคนยืนยันจะทำแบบนี้เอง ข้าขอพูดตรง ๆ อีกสักครั้ง จะให้ข้าลอดหว่างขาเจ้าแล้วจากไปก็ได้ แต่ถ้าเจ้าคิดว่าจะสามารถดูถูกกลั่นแกล้งข้าตามใจชอบยังไงก็ได้ เจ้าคิดผิดแล้วล่ะ หึ ๆ …ต้องให้ข้าบอกไหมว่าข้าน่ะ ยังมีทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์ถูกเลือกสรรมาอย่างดีจากบิดาของข้า ผู้ที่เก่งกล้าจนสามารถปกป้องข้าได้ เขาไม่ได้อยากจะเปิดเผยตัวหรอก แต่ทว่า…”
หลินเป่ยเฉินหยุดพูดครู่หนึ่ง กวักมือเรียกใครบางคน ก่อนจะพูดต่อด้วยท่าทางยโสโอหัง “หวังจง…มานี่เสีย มาสั่งสอนคุณชายคนนี้เสียหน่อย เขาจะได้รู้ว่าการทำตัวเป็นคนดีน่ะต้องทำยังไง”
หากแต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบงัน
หลินเป่ยเฉินถึงกับแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
“หวังจง นี่…เจ้าบ้าเอ๊ย หายหัวไปไหนแล้ววะ?”
หลินเป่ยเฉินมองไปข้างหลัง
พ่อบ้านหวังที่ยืนอยู่ข้างหลังเขามาตลอด บัดนี้ได้หายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้