บทที่ 103 มือกระบี่รุ่นเยาว์ทั้ง 12 คน
หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกได้ถึงพลังกดดันที่แผ่เข้ามาหาร่างกาย
“อย่างน้อยก็มีพลังโจมตีถึง 1,000 ชั่งเลยนะเนี่ย”
เด็กหนุ่มคำนวณอยู่ในใจ
การโจมตีระดับนี้ หมายความว่าอีกฝ่ายหนึ่งต้องมีพลังไม่ต่ำกว่าขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 10
แต่ในวินาทีต่อมา หลินเป่ยเฉินก็รู้ว่าตนเองคิดผิด
นั่นเป็นเพราะว่า…
วูบ!
เปลวไฟสีแดงพวยพุ่งออกมาจากคมกระบี่ของตงฟางจัน
พลังลมปราณในรูปแบบเปลวไฟ!
อุณหภูมิรอบกายสูงขึ้นในทันที
นี่คือพลังปราณธาตุไฟ
จุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุได้ถูกเปิดขึ้นแล้ว!
ตงฟางจันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปรมาจารย์
จังหวะนั้น เปลวไฟพลันพุ่งเข้าหากระบี่วิหคคราม ลามเลียมาจนถึงมือของหลินเป่ยเฉิน
พรึบ!
เสียงนกกระพือปีกพลันดังขึ้น
หลินเป่ยเฉินอาศัยความยอดเยี่ยมของวิชาตัวเบาวิหคดั้นเมฆฉากกายถอยห่าง และเมื่อโคจรพลังลมปราณต้านทาน เปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่บนกระบี่วิหคครามก็ดับวูบลงไป
สีหน้าของเด็กหนุ่มแสดงความตื่นเต้น
“ให้ตายเถอะ”
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ได้เจอคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่มีพลังขั้นปรมาจารย์แล้ว
“วิชาตัวเบาของเจ้าร้ายกาจเหมือนกันนี่นา” ตงฟางจันยิ้มออกมาเล็กน้อย “นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ในเมื่อเจ้าสามารถรับกระบี่ของข้าได้ 1 กระบวนท่า ก็มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นหนึ่งในยอดมือกระบี่แห่งอนาคตเช่นกัน”
พูดจบแล้ว ตงฟางจันก็ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางลูบไล้ไปบนใบกระบี่
ฟู่!
แล้วกระบี่ธรรมดาในมือของเขา ก็มีเปลวไฟลุกโชติช่วง
กลุ่มเด็กหนุ่มที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่โดยรอบ พร้อมใจกันอุทานด้วยความตื่นตกใจ
นี่คือพลังระดับปรมาจารย์!
สำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี การขึ้นสู่ขั้นปรมาจารย์ให้ได้ คือสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝัน
“ข้าจะไม่ทำอะไรมากกว่านี้ หากเจ้ายินดียอมรับความพ่ายแพ้และเข้ามาค้อมศีรษะขอโทษศิษย์น้องของข้า เหตุการณ์ในวันนี้ จะถือว่าเราเลิกแล้วต่อกัน” ตงฟางจันกล่าว
หลินเป่ยเฉินจะยอมได้อย่างไร?
ตอนอยู่โลกมนุษย์ เขาเป็นเกมเมอร์ผู้บ้าระห่ำ
ส่วนในชีวิตจริง หลินเป่ยเฉินเป็นไอ้ขี้ขลาดที่เลือกใช้ชีวิตให้เรียบง่ายที่สุด ทว่า ถ้าเขาได้เข้าโลกออนไลน์เมื่อไหร่ หลินเป่ยเฉินก็จะกลายเป็นคนละคนไปทันที โดยเฉพาะยามที่เล่นเกมออนไลน์ เขาจะสวมบทบาทวีรบุรุษผู้ผดุงความยุติธรรม กล่าวได้ว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเด็กติดอินเทอร์เน็ตก็คงไม่ผิด และสิ่งที่เขาชอบทำมากที่สุดก็คือการเล่นเกมตะลุยด่านเพื่อไปจัดการตัวบอสให้ได้
วันนี้ ตงฟางจันให้ความรู้สึกนั้นกับหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
“ทำไมเราต้องกลัวมันด้วยวะ? แค่นึกว่ากำลังเล่นเกมอยู่ก็จบแล้ว! เราจัดการพวกลูกสมุนอย่างเซี่ยโหวฉ่งได้เรียบร้อย ตอนนี้ก็เป็นตัวบอสอย่างตงฟางจัน ถ้าสามารถจัดการได้ ก็เท่ากับผ่านด่านนี้ได้สำเร็จ ไม่สำคัญหรอกว่าสุดท้ายแล้วเราจะแพ้หรือชนะ เอาเป็นว่าพยายามดูก่อนก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินให้กำลังใจตัวเองเช่นนั้น
แต่ลึกๆ ในใจแล้ว เด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกได้ถึงอันตราย ความรู้สึกที่เขาไม่อาจมองข้ามได้…
ยมทูตเป็นคนส่งหลินเป่ยเฉินมาที่โลกใบนี้
ถ้าเกิดเขามีเหตุให้ต้องเสียชีวิตขึ้นมา จะได้กลับไปที่โลกมนุษย์โดยอัตโนมัติหรือเปล่านะ?
หรือในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เขาก็คงได้พบกับเจ้ายมทูตคนนั้นอีกครั้งใช่ไหม?
“ถ้าได้เจอหน้ากันอีกครั้งจริงๆ ฉันจะด่าแม่งให้หูชาเลย”
แน่นอนว่าหากเป็นยามปกติ หลินเป่ยเฉินคงไม่มีทางคิดทำเรื่องราวเช่นนี้แน่นอน แต่ตอนนี้สบโอกาสเหมาะ และเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
เพราะฉะนั้น คำตอบที่หลินเป่ยเฉินมอบให้แก่ตงฟางจันก็คือ…
“พวกเจ้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายคุกเข่าขอโทษข้า แล้ววันนี้ข้าจะไม่ถือสาหาความ”
“เจ้านี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ”
ตงฟางจันใบหน้ากระตุก
จากนั้น จึงได้โจมตีอีกครั้ง
กระบี่ในมือมีเปลวไฟสว่างไสว เมื่อตวัดผ่านอากาศ คลื่นความร้อนก็แผ่กระจาย
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังลมปราณไหลเวียนทั่วร่างกาย ก่อนจะกระโจนเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง
…
บนชั้นสองของคฤหาสน์
แขกผู้มีเกียรติสิบกว่าชีวิตจากสี่แคว้นใหญ่ของมณฑลเฟิงอวี่กำลังจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
ความจริงแล้ว การประลองกระบี่ในค่ำคืนนี้ ควรถูกจัดขึ้นเป็นงานขนาดเล็กเฉพาะคนในเมืองหยุนเมิ่งเท่านั้น
แต่เนื่องจากไป๋ไห่ชินได้ร้องขอเป็นการส่วนตัว ประกอบกับอาศัยตำแหน่งผู้ชนะการปรองจากครั้งที่แล้ว ผู้จัดงานจึงไม่สามารถคัดค้านได้ ดังนั้น แทนที่เทียบเชิญจะถูกส่งมอบให้แก่บุคคลสำคัญในแวดวงจำกัด มันจึงถูกส่งไปตามสำนักกระบี่ยักษ์ใหญ่ทั่วมณฑลเฟิงอวี่
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ หรือมือกระบี่อนาคตไกลจากเมืองต่างๆ ก็ได้รับเชิญมาด้วยเช่นกัน
อันที่จริงแล้ว การที่ไป๋ชินหยุนได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานประลอง นับเป็นอุบัติเหตุที่น่าตลกขบขัน
วันนั้น เฉาพั่วเถียนมีหน้าที่ไปส่งมอบเทียบเชิญให้แก่หลินเป่ยเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินมีคุณสมบัติเข้าร่วมงาน เพราะลือกันว่าเขาเป็นศิษย์เอกอนาคตไกลของติงซานฉือ ซ้ำยังเคยใช้งานกระบี่คุณธรรมอีกด้วย
แต่ด้วยวิธีการส่งเทียบเชิญที่แปลกพิสดารเช่นนั้น จึงทำให้ไป๋ชินหยุนได้รับเชิญโดยไม่คาดคิด เฉาพั่วเถียนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากนำเทียบเชิญแผ่นที่ 2 ออกมา หมายมั่นจะทำให้หลินเป่ยเฉินอับอายขายหน้า ไม่สามารถรับเทียบเชิญได้เด็ดขาด ก่อนที่หลังจากนั้น เฉาพั่วเถียนจะทำการนำเทียบเชิญที่แท้จริงไปโยนใส่หน้าอีกฝ่ายด้วยความสมเพชเวทนา
แต่หารู้ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินกลับสามารถรับเทียบเชิญได้ด้วยวิธีที่จนถึงตอนนี้เฉาพั่วเถียนก็ยังไม่เข้าใจ เปรียบเสมือนเขาพ่ายแพ้ถึง 2 ครั้งสองครา ต้องซมซานกลับมาหาอาจารย์ด้วยความช้ำใจเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินและคนอื่นๆ ไม่รู้เลยว่าในแวดวงมือกระบี่หักเหลี่ยมเฉือนคมกันเข้มข้นขนาดไหน
จักรวรรดิเป่ยไห่มีอยู่ทั้งสิ้น 9 มณฑล
มณฑลเฟิงอวี่คือหนึ่งในนั้น ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจักรวรรดิ อยู่ติดชายทะเล ในมณฑลแบ่งออกเป็น 4 แคว้นใหญ่ ประกอบไปด้วยแคว้นซินจิน ตงหมิง ต้าชวน และไห่อัน
ใน 4 แคว้นเหล่านี้ก็จะแยกย่อยเป็นเมืองเล็กใหญ่ออกไปอีกมากมาย
หยุนเมิ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในแคว้นไห่อัน
ขณะนี้ มีผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่ที่ชั้นสองของคฤหาสน์จวนผู้ว่า มีทั้งคนหนุ่มและคนชรา บรรดาชายชราจะแต่งตัวภูมิฐาน มีสง่าราศี ส่วนเด็กหนุ่มก็มีอายุไม่เกิน 15 ถึง 17 ปี สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นกระตือรือร้น ข้างเอวสะพายกระบี่ ทุกคนล้วนมีสถานะเป็นมือกระบี่อนาคตไกลประจำเมืองของตนเอง
“ตงฟางจันเป็นตัวแทนจากเมืองหยุนเมิ่งอย่างนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มหน้าเหลี่ยมผู้มีผมสีแดงยาวสลวยยืนอยู่ริมหน้าต่าง กำลังจ้องมองการต่อสู้ที่เบื้องล่างพร้อมกับกล่าวว่า “เพิ่งมีพลังเพียงขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 1 ตอนกลางเท่านั้น ช่างอ่อนแอเหลือเกิน ต่อให้เปิดจุดก่อกำเนิดปราณธาตุได้สำเร็จ ก็ยังนับว่าไร้ประโยชน์อยู่ดี”
“ท่านพี่เสว่เหยียนจะคาดหวังอะไรจากเมืองบ้านนอกอย่างหยุนเมิ่งเล่าขอรับ?”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดบัณฑิตผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
เขาเดินมาวางมือไว้บนขอบหน้าต่าง นิ้วมือของเด็กหนุ่มคงแก่เรียนผู้นี้มีลักษณะเรียวยาวเหมือนมือสตรี เขาจ้องมองการต่อสู้ที่งานเลี้ยงด้านล่างด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากรับชมละครสัตว์
“ซ้งชิงเฟิง เจ้าไม่คิดว่ามันน่าอายหรือที่ถูกเรียกตัวมาร่วมประลองกับกลุ่มคนเหล่านั้น?” เสว่เหยียนพูดด้วยน้ำเสียงหยาบคาย สีหน้าแสดงความไม่พอใจชัดเจน
“ยังไม่มีใครรู้สักหน่อยว่ามือกระบี่รุ่นเยาว์ทั้ง 12 คนที่ได้รับเทียบเชิญมีใครบ้าง” เด็กหนุ่มที่สวมใส่เสื้อคลุมหรูหราสีขาวประดับดิ้นเงินดิ้นทองกล่าวขึ้นขณะโบกสะบัดพัดจีบในมือ ดูก็รู้ว่าเป็นพวกชอบอวดเบ่งบารมี เขาเสแสร้งแกล้งพูดโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “ต่อให้เป็นเจ้า เสว่เหยียน ก็ยังไม่แน่ด้วยซ้ำว่าจะได้รับเชิญเป็น 1 ใน 12 คนนั้นหรือไม่ แล้วเจ้าจะไปวิตกกังวลแทนคนอื่นเพื่ออะไร? ฮ่าฮ่า นับว่าน่าขันยิ่งนัก”
“หลินไห่ถัง เจ้าพูดแบบนี้อยากมีเรื่องกับข้าหรือ?”
ทันใดนั้น เสว่เหยียนมีกิริยาเหมือนเสือดาวหนุ่มถูกเหยียบหาง เกร็งกำลังทั่วร่างกาย พร้อมลงมือโจมตีได้ทุกเมื่อ
“อย่าเสียเวลาพ่นวาจากันอยู่อีกเลย ทำไมพวกเจ้าไม่สู้กันเลยล่ะ? ถ้าคนใดคนหนึ่งในพวกเจ้าเกิดตายขึ้นมา งานเลี้ยงคืนนี้คงสนุกขึ้นไม่น้อย” เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งนามว่าซ้งเชวอี้หัวเราะในลำคอขณะรับประทานเม็ดแตงโม “อีกอย่าง คืนนี้พวกเราได้รับอนุญาตให้ประลองกันอยู่แล้ว เอาให้ทุกคนในงานได้ตะลึงกันไปเลยก็คงจะดีไม่น้อย”
เสว่เหยียนกับหลินไห่ถังพลันหันมามองหน้าซ้งเชวอี้ตาขวาง
ในคฤหาสน์ขณะนี้มีเด็กหนุ่มอยู่ทั้งสิ้น 12 คน
ถ้าไม่ได้มายืนรวมกลุ่มพูดคุยกันอยู่ ก็จะนั่งกอดกระบี่ทำสมาธิ หรือไม่ก็ยืนก้มหน้าต่ำเอามือไขว้หลังอยู่เคียงข้างผู้เป็นอาจารย์เงียบๆ นอกจากนี้ ก็ยังมีเด็กหนุ่มร่างอ้วนคนหนึ่งกำลังรับประทานขนมเต็มปากด้วยความเอร็ดอร่อย ไม่พูดไม่คุยกับผู้ใดเลยสักคำ
ส่วนบรรดาชายชรานั้นก็พูดคุยกันด้วยความเป็นมิตรมากกว่าคนหนุ่ม พวกเขากำลังพูดถึงวันวานอันรุ่งเรืองที่เด็กหนุ่มเหล่านี้ไม่สนใจ
จังหวะนั้น เสียงฝีเท้าดังขึ้น
ท่านผู้ว่าการประจำเมืองหยุนเมิ่ง หลิงจุนเซวียนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับภรรยาของเขา ทั้งสองคนเดินลงมาจากชั้นสามของตัวคฤหาสน์ ทักทายแขกเหรื่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
กลุ่มเด็กหนุ่มไม่ใคร่ให้ความสนใจผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองบ้านนอกสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะท่านผู้ว่าและภรรยาทำให้พวกเขาต้องรอคอยมาทั้งวัน ในใจจึงเกิดความรู้สึกไม่สบอารมณ์ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงอยากจะทำเป็นเมินเฉยต่อหลิงจุนเซวียนกับภรรยานัก
แต่เหล่าอาจารย์ของพวกเขากลับลุกขึ้นยืนพรึ่บพรั่บและประสานมือทำความเคารพด้วยความนอบน้อม เพราะฉะนั้น กลุ่มเด็กหนุ่มจึงไม่สามารถทำเป็นเมินเฉยได้ตามที่ใจต้องการ
อีกอย่าง พวกเขานั้นก็ทราบดีว่าไม่ควรประเมินตระกูลหลิงต่ำเกินไปเด็ดขาด