บทที่ 104 ทุกคนต้องคิดดูให้ดี
แม้ว่าหลิงจุนเซวียนกับภรรยาจะปกครองเพียงเมืองหยุนเมิ่ง ที่ถือเป็นเมืองบ้านนอกเมืองหนึ่ง แต่ด้วยสถานะของตระกูลหลิงในจักรวรรดิเป่ยไห่ มันก็ทำให้ทุกคนไม่กล้าประเมินพวกเขาต่ำเกินไป
โดยเฉพาะเหล่าขุนนางผู้สูงศักดิ์ ที่ต่างก็รับทราบเป็นอย่างดีว่าหลิงไท่ซวีและหลิงจุนเซวียนเป็นผู้สืบสายเลือดตระกูลหลิง และที่ต้องอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งนั้น ก็เป็นเพราะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้พวกเขาไปที่อื่นไม่ได้
แต่ถึงกระนั้น บุตรชายทั้ง 2 คนของหลิงจุนเซวียน ก็ถือเป็นอัจฉริยะอนาคตไกล ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพ ถูกวางตัวให้เป็น “1 ใน 10 แม่ทัพใหญ่” ประจำจักรวรรดิในอนาคตตั้งแต่อายุยังน้อย
แล้วจะมีผู้ใดกล้าดูถูกสามีภรรยาคู่นี้อีก?
“ฮ่าฮ่า ลำบากพวกท่านต้องเดินทางมาไกล ได้โปรดให้อภัยข้าด้วยที่ต้อนรับได้ไม่ดีพอ”
หลิงจุนเซวียนประสานมือคำนับแขกทุกคนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขาพูดต่อโดยไม่รอให้มีใครได้ส่งเสียงตอบรับ “อาจารย์ไป๋ไห่ชินกำลังเตรียมตัวขั้นสุดท้ายสำหรับการประลองคืนนี้ ขอเชิญทุกคนตามข้าลงไปด้านล่าง เรามาเริ่มงานเลี้ยงกันเลยดีกว่า”
หลังจากนั้น แขกเหรื่อทุกคนก็เดินตามหลิงจุนเซวียนลงบันได
“ท่านผู้ว่าหลิงขอรับ ข้าน้อยได้ยินมาว่าบุตรสาวของท่านเป็นยอดอัจฉริยะประจำเมืองหยุนเมิ่ง เหตุไฉนคืนนี้นางถึงไม่มางานเลี้ยงด้วยเล่า?” เสว่เหยียน เด็กหนุ่มผมแดงส่งเสียงถาม
หลิงจุนเซวียนไม่รู้ว่าตนเองควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
บุตรสาวของเขาได้รับฉายาเป็นเทพธิดาอัจฉริยะประจำเมือง เป็นรองก็แต่เพียงหลินถิงชานเท่านั้น ชื่อเสียงของนางโด่งดังไปทั่วมณฑลเฟิงอวี่ แม้แต่เหล่าเด็กหนุ่มมือกระบี่จากเมืองต่างๆ ก็อยากเห็นโฉมหน้าของนางกันทั้งนั้น
ชินหลันซูตอบว่า “เฉินเอ๋อร์ไม่สบาย ขณะนี้กำลังพักผ่อน นางจะไม่มาร่วมงานในคืนนี้”
เสว่เหยียนตอบกลับไปทันควันโดยไม่ทันได้คิด “ไม่สบายอย่างนั้นหรือ? เหอเหอ ข้าได้ยินข่าวลือว่าแม่นางหลิงเฉินสามารถเอาชนะสาวกปีศาจได้ด้วยซ้ำ แสดงว่าระดับพลังของนางอย่างน้อยก็อยู่ในขั้นปรมาจารย์ อยู่ดีๆ กลับไม่สบายกะทันหัน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว หรือที่นางไม่กล้าออกมาเพราะกลัวจะโดนเปิดโปง ว่าความจริงแล้วไม่ได้มีฝีมือเก่งกล้าอย่างที่ข่าวลือเขาว่ากัน?”
ชินหลันซูเลิกคิ้วขึ้นสูง พูดโดยไม่ต้องหันไปมองหน้าเสว่เหยียนว่า “เจ้าเด็กไร้การศึกษาคนนี้เป็นใครกัน?”
“ท่าน…”
เสว่เหยียนชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ กำลังจะพ่นวาจาโต้ตอบกลับไป
เพี๊ยะ
พลัน ชายชราหนวดยาวในชุดเสื้อคลุมสีแดงเข้ม ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างยกมือขึ้นตบศีรษะเสว่เหยียนเสียงดังสนั่น พร้อมกับตวาดว่า “หุบปากเดี๋ยวนี้ อยู่ต่อหน้าฮูหยิน เจ้ากล้าประพฤติตัวหยาบคายได้อย่างไร?”
เสว่เหยียนยังคงไม่อยากทำตามคำสั่งอาจารย์ แต่รู้ดีว่าวันนี้มีผู้คนมาจากหลายเมือง เขาจะก่อเรื่องวุ่นวายไม่ได้ เด็กหนุ่มจึงจำต้องปิดปากเงียบสนิท แต่ก็มีสีหน้าเคียดแค้นอย่างเห็นได้ชัด เสว่เหยียนตั้งใจว่าจะระบายโทสะทั้งหมดที่อัดอั้นอยู่ในอก ลงในการประลองกระบี่ที่กำลังจะมาถึง
ชายชราชุดแดงหันกลับไปขอโทษขอโพยชินหลันซู “ลูกศิษย์ของข้าประพฤติตัวหยาบคาย แต่เขาไม่ได้มีเจตนาร้าย ขอฮูหยินอย่าได้ถือสาหาความ”
ชินหลันซูแค่นเสียงในลำคอและไม่พูดอะไรอีก
การประลองในครั้งนี้ ไป๋ไห่ชินเป็นคนดูแลทุกอย่าง เขาตั้งใจให้งานประลองโด่งดังไปทั่วมณฑลเฟิงอวี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชินหลันซูไม่เห็นด้วยเลยสักนิด ในอดีตที่ผ่านมา หากแขกผู้เข้ามาร่วมงานประพฤติตัวหยาบคายเช่นนี้ นางก็คงสั่งให้นายทหารจับหักแขนหักขาและโยนออกนอกงานไปแล้ว แต่บัดนี้ เพื่อเห็นแก่หน้าบุตรสาวของนาง ชินหลันซูจึงจำเป็นต้องอดทนเอาไว้ก่อน
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้กินเวลาไม่ถึง 1 ก้านธูป
ตอนที่ทุกคนเดินมาถึงพื้นที่ด้านหลังสวนดอกไม้ การต่อสู้ระหว่างหลินเป่ยเฉินกับตงฟางจันยังคงดำเนินต่อไป
มวลอากาศร้อนผ่าว ราวกับมีคนจุดกองไฟขนาดใหญ่ในสวนดอกไม้ พวกเขารู้สึกได้ถึงรัศมีความร้อนที่แผ่ออกมาตั้งแต่ยังเดินไปไม่ถึงพื้นที่งานเลี้ยง
สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ หลินเป่ยเฉินยังไม่แพ้ แต่กลับเป็นตรงกันข้าม เขาสามารถสู้กับตงฟางจันผู้มีพลังขั้นปรมาจารย์ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
หลังจากนั้น แขกผู้เข้าร่วมงานทุกคนก็มายืนดูการต่อสู้ของสองเด็กหนุ่มในความเงียบ
พลัน ชินหลันซูส่งเสียงกระซิบแผ่วเบา “ท่านรองผู้ว่าหลี่”
ทันใดนั้น เงาร่างของคนผู้หนึ่งถลันเข้าไปในวงต่อสู้ แขนเสื้อโบกสะบัดปลิวไสว
พรึบ! พรึบ!
เด็กหนุ่มทั้งสองคนถอยแยกออกจากกันไปทางซ้ายทางขวา
หลินเป่ยเฉินยืนหยัดมั่นคง พลังลมปราณในร่างกายเหมือนน้ำที่กำลังเดือดพล่าน อารมณ์ความรู้สึกกำลังสบายตัว คล้ายในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่เขาต้องการมากไปกว่าการต่อสู้อีกแล้ว
แต่ทันทีที่เห็นหน้าหลีลั่วหรัน เด็กหนุ่มก็ล้มเลิกความคิดที่จะสู้ต่อไป
ตอนแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง เซินเฟยเข้าสู่ด้านมืดกลายเป็นสาวกปีศาจ หลินเป่ยเฉินมีโอกาสได้เห็นฝีมือของหลีลั่วหรันในขณะนั้น เรียกได้ว่าชายชราเป็นจอมยุทธ์ผู้ช่ำชอง ฝีมือแข็งแกร่งหาตัวจับยาก หลินเป่ยเฉินรู้ตัวดีว่าตนเองยังไม่อาจเทียบเคียงหลีลั่วหรันได้เด็ดขาด
ในเมื่อเอาชนะไม่ได้ ก็อย่ามีเรื่องด้วยจะดีกว่า
อีกอย่าง ถ้าเกิดหลินเป่ยเฉินมีเรื่องกับหลีลั่วหรันขึ้นมาจริงๆ ติงซานฉือก็คงไม่อยากออกมาหาเขาอีกแล้ว และนั่นจะทำให้ความพยายามทั้งหมดของเด็กหนุ่มต้องสูญเปล่า
ในขณะที่ตงฟางจันบัดนี้รู้สึกอับอายขายหน้า เพราะตอนแรกมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้ในไม่กี่กระบวนท่า แต่ทว่ากลับกลายเป็นต้องต่อสู้อย่างยืดเยื้อ ด้วยความที่ยังต่อสู้ติดพัน กระบี่ในมือจึงเสือกแทงเข้าใส่หลีลั่วหรันโดยไม่ทันได้มองว่าคู่ต่อสู้เป็นใคร
หลีลั่วหรันมีสีหน้าเรียบเฉย โบกสะบัดแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย
เป็นท่วงท่าที่ธรรมดายิ่ง
แต่ก็ทำให้ตงฟางจันต้องส่งเสียงร้องโหยหวนขณะลอยกระเด็นไปในอากาศ กว่าจะตั้งหลักได้ก็ต้องเซถอยหลังไปหลายก้าว ลำตัวครึ่งหนึ่งรู้สึกชาดิก พละกำลังที่จะต่อสู้สูญสลายไปหมดสิ้น
ตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มถึงได้รู้ตัวว่าตนเองแทงกระบี่ใส่ผู้ใด
“อ๊ะ ท่านหลี…ข้าน้อยขอโทษ เมื่อสักครู่นี้ ข้าน้อยไม่ทันได้มอง…”
ตงฟางจันรีบประสานมือขออภัยด้วยความตื่นกลัว
สถานะของหลีลั่วหรันในจวนผู้ว่าไม่ธรรมดา ซ้ำยังเป็นคนใหญ่คนโตประจำเมืองหยุนเมิ่ง แม้แต่บิดามารดาของตงฟางจันก็ยังไม่กล้าทำตัวหยาบคายต่อหน้าหลีลั่วหรัน ดังนั้น ขณะนี้เด็กหนุ่มจึงตกใจมากแล้ว
หลีลั่วหรันยังคงมีสีหน้าเป็นปกติขณะคลี่ยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เอาเรื่องเจ้าหรอก ตงฟางจัน”
พูดจบแล้ว ชายชราก็ขยับถอยหลังไปยืนอยู่ข้างกายผู้ว่าการเมืองและภรรยาเช่นเดิม
ทางด้านเฉาพั่วเถียนที่นั่งอยู่ในศาลาริมน้ำ เขาพลันลุกขึ้นเดินออกมา ก่อนจะประสานมือคำนับท่านผู้ว่าและภรรยาด้วยความเคารพนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง
ขณะนี้ เป็นเวลาค่ำแล้ว
ภายใต้แสงสว่างของจันทราสีเงิน สวนดอกไม้ดูสวยงามมีเสน่ห์ บรรดาต้นไม้ใบหญ้าและคฤหาสน์ต่างก็ปกคลุมด้วยมนต์เสน่ห์ลึกลับ
“แขกทุกท่านฟังทางนี้ การประลองกระบี่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า ขอเชิญทุกท่านนั่งประจำที่ แล้วเราจะได้เริ่มงานเลี้ยงกันเสียที”
ตอนนี้ มีคณะนักดนตรีคอยบรรเลงเสียงเพลงเป็นพื้นหลัง สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้แก่สวนดอกไม้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
บรรดาข้ารับใช้ทั้งชายทั้งหญิงต่างก็เดินนำแขกผู้เข้าร่วมงานไปนั่งประจำตามโต๊ะต่างๆ
หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่ที่โต๊ะไกลจากเวทีหลักมากที่สุด
ไป๋ชินหยุนนั่งอยู่ข้างกายเขา
ทั้งสองคนนั่งอยู่เคียงข้างกันที่โต๊ะแถวหลังสุดของงานเลี้ยง
“ข้าจะต้องทำให้เขาลุ่มหลงข้าให้ได้”
เด็กสาวหันหน้ามองหลินเป่ยเฉินพร้อมกับตัดสินใจเป็นมั่นเป็นเหมาะ
หลินเป่ยเฉินกำลังกวาดสายตามองรอบตัว ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย
เนื่องจากเขาพบติงซานฉือแล้ว
อาจารย์ชรามีที่นั่งอยู่เคียงข้างคู่สามีภรรยาหลิงจุนเซวียน นั่งอยู่ซ้ายมือของโต๊ะเจ้าภาพ และท่ามกลางบรรดาคนที่นั่งร่วมโต๊ะนั้น พวกเขาก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เดินลงมาจากจวนผู้ว่าเมื่อสักครู่นี้ทั้งสิ้น
ฝั่งขวามือด้านตรงข้ามกับที่นั่งของติงซานฉือ เป็นที่นั่งของชายฉกรรจ์อายุ 40 กว่าปี ร่างกายผอมบาง ใบหน้าหยาบกร้านดูชั่วร้าย จากบริเวณหางคิ้วซ้ายไปจนถึงขมับ ปรากฏรอยแผลเป็นน่าหวาดกลัว ก่อให้เกิดความรู้สึกน่าขนลุกแก่ผู้มองอย่างแปลกประหลาด
เฉาพั่วเถียนยืนกุมมือเชิดหน้าอยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์หน้าโหดคนนั้น
“ตาลุงหน้าโจรนี่ต้องเป็นไป๋ไห่ชิน 1 ใน 3 มือกระบี่ชื่อดังของเมืองไป๋หยุนแหงๆ”
เขาเป็นคนที่จัดงานประลองนี้ขึ้นมา
ชายคนนี้เป็นคนที่มีปัญหากับติงซานฉือ
เฉาพั่วเถียนที่มีสถานะเป็นลูกศิษย์ยังฝีมือแข็งแกร่งขนาดนั้น แน่นอนว่าตัวเขาที่เป็นอาจารย์ ก็ต้องมีฝีมือแข็งแกร่งมากยิ่งกว่า
“แล้วเราจะช่วยอาจารย์ติงได้ไงบ้างวะเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินครุ่นคิดด้วยความเป็นกังวล