บทที่ 107 ยอดมือกระบี่ทั้ง 5
ติงซานฉือมองหน้าหลินเป่ยเฉินอยู่เช่นนั้นอีกอึดใจใหญ่
“ข้าเคยเชื่อใจคนง่ายๆ มาแล้ว แต่ก็โดนหักหลังตลอด”
พูดจบ ชายชราก็หันไปมองกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ยังเลือกอาวุธอยู่ที่โต๊ะวางกระบี่ “เมื่อสักครู่เจ้าถามใช่หรือไม่ ว่าข้าเคยศึกษาวิชากระบี่ที่เมืองไป๋หยุนหรือเปล่า?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “คนอ่านกำลังอยากรู้เรื่องเลยขอรับ อาจารย์รีบเล่าเลยดีกว่า”
ติงซานฉือหยุดชะงัก แล้วหันกลับมาเขกกะโหลกศิษย์เอกเสียงดังโป๊ก “เจ้าเด็กนี่ ช่วยจริงจังหน่อยได้ไหม คนกำลังจะท้าวความ เสียบรรยากาศหมด”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มออกมาอีกครั้ง “อดีตก็คืออดีต เรื่องที่ผ่านไปแล้วถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต ไม่จำเป็นต้องคิดใส่ใจก็ได้ขอรับ อดีตแม่ทัพคนสำคัญนามว่าลกซุนเคยกล่าวเอาไว้ ชายชาติทหารที่แท้จริง ต้องไม่เกรงกลัวการเผชิญชีวิตที่ทุกข์ยากและเต็มไปด้วยการนองเลือด”
“ลกซุนอย่างนั้นหรือ?”
ติงซานฉือทวนคำด้วยน้ำเสียงสงสัย “เขาสังกัดอยู่กองทัพใด ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน แต่ในเมื่อเขาพูดอะไรที่คมคายออกมาเช่นนี้ได้ ก็คงเป็นชายชาติทหารตัวจริงคนหนึ่งละนะ”
หลินเป่ยเฉินยกมือดันแว่นด้วยความเคยชินอีกครั้ง “เล่าต่อเถอะขอรับอาจารย์ติง ตกลงว่าท่านเคยเป็นสมาชิกเมืองไป๋หยุนจริงหรือ?”
ติงซานฉือลุกขึ้นยืนและพยักหน้า “ตามข้ามา”
ว่าแล่วชายชราก็เดินนำเด็กหนุ่มไปหยุดยืนอยู่ริมสระน้ำ
หลินเป่ยเฉินเดินตามไป คมดาบที่ยาวระพื้นทำให้เกิดประกายไฟไปตลอดทาง
ติงซานฉือหันกลับมามองเด็กหนุ่มตาขวาง
หลินเป่ยเฉินยิ้มแฉ่ง รีบยกดาบขึ้นให้ลอยเหนือพื้นหิน
“เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อ 16 ปีที่แล้ว เมืองไป๋หยุนมียอดมือกระบี่อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 5 คน ไม่ได้มีแค่ 3 คนอย่างในปัจจุบัน” ติงซานฉือเริ่มต้นเล่าความหลัง “แต่ทว่ามันก็ได้เกิดเหตุร้ายทำให้ 1 ในมือกระบี่ 5 คนนั้นต้องเสียชีวิต ส่วนอีกคนก็ถูกขับไล่ออกจากเมือง ต่อให้คนผู้นั้นยังสามารถรักษาสถานะมือกระบี่เอาไว้ได้ แต่เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปที่เมืองไป๋หยุนอีกเลยตลอดชีวิต”
“คนคนนั้นก็คืออาจารย์ใช่ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
ติงซานฉือผงกศีรษะ “ทำไมเจ้าถึงคาดเดาได้เร็วเสียจริง?”
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มต้องรู้อยู่แล้ว
หลินเป่ยเฉินมองออกตั้งแต่แรก
เรื่องราวเช่นนี้พบเห็นได้ในละครหลังข่าวเป็นประจำ
“อาจารย์ของข้าเป็น 1 ใน 7 มือกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ประจำเมือง ท่านมีนามว่า ‘เซียนกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุน’ โมโยวเฉียน อาจารย์เป็นคนขับไล่ข้าออกมาเพื่อช่วยชีวิตข้าไว้ สุดท้าย หลังร่อนเร่พเนจรอยู่ทั่วจักรวรรดินานสองนาน ข้าก็มาลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองหยุนเมิ่ง และได้ทำข้อตกลงว่า หากข้าสามารถฝึกฝนมือกระบี่รุ่นใหม่ ให้มีฝีมือเทียบเท่าพี่ใหญ่ มือกระบี่ที่เสียชีวิตไปได้ ข้าก็จะได้รับอนุญาตให้กลับไปเจอท่านอาจารย์อีกครั้ง”
ติงซานฉืออธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พี่ใหญ่ของพวกท่านต้องเสียชีวิตเพราะท่านใช่ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถามอีกครั้ง
ติงซานฉือตอบว่า “เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อน แต่จะบอกว่าเขาต้องเสียชีวิตเพราะข้าก็คงไม่ผิด”
ในส่วนลึกของหัวใจหลินเป่ยเฉิน เขารู้สึกตะขิดตะขวงกับข้อมูลส่วนนี้ชอบกล
แต่ถ้าถามอะไรออกไปอีก มันจะดูเป็นการละลาบละล้วงมากเกินไป แถมยังไม่เคารพต่ออาจารย์ติงอีกด้วย ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงกล่าวว่า “อาจารย์นับถือพี่ใหญ่มากเลยใช่ไหมขอรับ?”
ติงซานฉือพยักหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พวกเรายอดมือกระบี่ทั้ง 5 มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองไป๋หยุนและทั่วจักรวรรดิเป่ยไห่ได้ ก็เพราะพี่ใหญ่คนเดียวเท่านั้น เขาเป็นเสมือนดวงดาวที่จรัสแสงบนฟากฟ้า เราได้รับการสอนสั่งจากพี่ใหญ่มากมาย หากไม่มีเขา ก็คงไม่มีพวกข้า สำหรับเราผู้เป็นศิษย์น้องทั้ง 4 คน พี่ใหญ่เป็นมากกว่าศิษย์พี่ เขาเป็นเสมือนทั้งอาจารย์และบิดาของพวกเราอีกด้วย”
“โห”
ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ หลินเป่ยเฉินนึกถึงเซินเฟยขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ลูกศิษย์ทั้ง 2 คนของสถานศึกษากระบี่หลวงที่ยึดถือเด็กหนุ่มผู้เป็นสาวกปีศาจเสมือนพี่น้องแท้ๆ แต่สุดท้ายก็ต้องถูกเซินเฟยดูดพลังไปจนเสียชีวิต นอกจากนี้ ยังทำให้ตระกูลเถากับตระกูลหลี่ต้องประสบเคราะห์กรรมล่มสลายอีกด้วย
รายละเอียดนอกเหนือจากนี้ หลินเป่ยเฉินไม่ได้ถามอีกแล้ว
ถึงสงสัยอยากรู้แทบตาย แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าไม่ควรถาม เพราะคำถามของเขาอาจจะเป็นการเปิดบาดแผลของอาจารย์ติงที่ปิดตัวไปนานแล้ว ให้กลับมาเจ็บปวดอีกครั้งก็เป็นได้
“ข้าน้อยได้ยินจากอาจารย์ฉู่ว่า เฉาพั่วเถียนเคยเป็นลูกศิษย์ของท่านด้วยใช่ไหมขอรับ?” หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนเรื่องพูด “ที่อาจารย์เลือกเขาเป็นลูกศิษย์ ก็เพราะตั้งใจจะฝึกฝนให้เฉาพั่วเถียนเป็นยอดอัจฉริยะคนใหม่ มีฝีมือเก่งกาจเทียบเท่ากับพี่ใหญ่ของท่าน เพื่อที่ท่านจะได้รับอนุญาตให้กลับเข้าเมืองไป๋หยุนได้อีกครั้ง?”
ติงซานฉือตอบว่า “ถูกต้อง อาจารย์ฉู่นี่ปากสว่างเสียจริง เขาคงเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟังแล้วสินะ”
หลังจากหยุดไปเล็กน้อย อาจารย์ชราก็อธิบายเพิ่มเติมว่า “ตอนนั้น อาจารย์ของข้าพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยข้าเอาไว้ แต่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ไม่ยอมให้อภัยข้าเลย ดังนั้น เราจึงตกลงกันว่าจะจัดการประลองขึ้นทุกๆ 3 ปี พวกเขาอยากดูฝีมือว่าข้าฝึกลูกศิษย์ได้เก่งกาจขนาดไหน ในกลุ่มศิษย์น้อง ไป๋ไห่ชินเกลียดชังข้ามากที่สุด เพราะเขาเคารพเทิดทูนพี่ใหญ่มากที่สุด เขานับถือพี่ใหญ่เป็นวีรบุรุษประจำใจ ยึดถือเป็นเสมือนพี่ชายแท้ๆ ดังนั้นในการประลองกระบี่ทุกครั้ง ศิษย์น้องไป๋จึงลงมือกับข้าด้วยความโหดร้ายรุนแรงยิ่งนัก…”
ที่แท้เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้เอง
หลินเป่ยเฉินเข้าใจแล้ว
“3 ปีก่อน ศิษย์น้องไป๋มาที่เมืองหยุนเมิ่งและสะดุดตาเฉาพั่วเถียน จึงใช้ผลประโยชน์หลอกล่อ ทำให้เฉาพั่วเถียนถอนตัวจากการเป็นลูกศิษย์ของข้า และคำนับเขาเป็นอาจารย์ ก่อนเดินทางไปศึกษาวิชากระบี่ต่อที่เมืองไป๋หยุนจนถึงปัจจุบัน”
ติงซานฉือบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน
หลินเป่ยเฉินใช้นิ้วกลางดันแว่นตาด้วยความเคยชินอีกครั้ง แม้ตอนนี้เขาไม่ได้ใส่แว่นอยู่ก็ตาม “ไป๋ไห่ชินเลือกลูกศิษย์ได้ไม่มีรสนิยมเอาเสียเลยนะขอรับ เฉาพั่วเถียนผู้นี้ มองดูก็รู้แล้วว่าเป็นตัวร้ายกาจ ในเมื่อเขาสามารถหักหลังอาจารย์ได้เพราะผลประโยชน์ เขาก็สามารถหักหลังไป๋ไห่ชินและเมืองไป๋หยุนได้เพราะผลประโยชน์เช่นกัน”
ติงซานฉือไม่ให้ความเห็นอะไรเพิ่มเติม
เขาทอดสายตามองเงาสะท้อนของดวงจันทร์บนผิวน้ำ เหมือนกำลังได้ย้อนเวลากลับไปในวันวานอันรุ่งเรืองอีกครั้ง
ก่อนที่อาจารย์ติงจะหยิบหุ่นไม้แกะสลักขนาดเท่าฝ่ามือเด็กออกมา มันเป็นหุ่นแกะสลักของชายชราท่าทางสง่างามผู้หนึ่ง เสื้อคลุมที่สวมใส่เป็นลวดลายเรียบง่าย ร่างกายผอมบาง ใบหน้ายิ้มแย้ม ขนคิ้วเรียวยาวมาจรดหัวไหล่ มองแค่แวบเดี๋ยวก็รู้แล้วว่า ตัวจริงของชายชราคนนี้ต้องมีพลังมหาศาลแน่นอน
“นี่คืออาจารย์ของท่านหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกไปอย่างระมัดระวัง
ติงซานฉือพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว”
หลินเป่ยเฉินถามโดยที่ห้ามตัวเองไม่ทัน “อาจารย์ปู่ชื่อว่าโมโยวเฉียนใช่ไหมขอรับ? เฮ้อ ทั้งโมทั้งเฉียง ฟังชื่อดูไม่ค่อยเก่งเลยนะขอรับ”
โป๊ก!
ติงซานฉือยกมือขึ้นเขตมะเหงกใส่หน้าผากของหลินเป่ยเฉินอีกหนึ่งโป๊ก “เจ้ากล้าล้อเลียนอาจารย์ปู่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือกุมศีรษะ เพิ่งรู้ตัวว่าพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไป “เราไม่สนิทกันไม่ใช่หรือขอรับ มาเขกหัวกันตามใจชอบได้อย่างไร?”
“ก็เมื่อครู่นี้ เจ้าบอกว่าข้าเป็นเหมือนบิดาคนที่ 2 ของเจ้าไม่ใช่หรือ?”
“ขอถอนคำพูดได้ไหมขอรับ เราอย่ารู้จักกันเลยดีกว่า”
“เฮอะ ตอนนี้เจ้ากับข้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะทิ้งกันกลางทางได้อย่างไร?”
“อ้อ อาจารย์ขอรับ เมื่อครู่นี้ข้าน้อยเห็นว่าในกระเป๋าของท่านมีหุ่นสลักอีกตัวหนึ่ง มันเป็นหุ่นของใครหรือขอรับ? ใช่อาจารย์ลุงหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่หรอก…เหลวไหล เจ้าเห็นหุ่นสลักอีกตัวที่ไหน? ไม่เห็นมีสักหน่อย”
“แต่ข้าน้อยเห็นจริงๆ…”
โป๊ก!
“โอ๊ย เวลาเถียงสู้ข้าไม่ได้ อย่าใช้กำลังสิขอรับ”
หลังจากหลินเป่ยเฉินบ่นอุบอิบ บรรยากาศก็ดีขึ้นมาทันตา ติงซานฉือเริ่มยิ้มออกมาบ้างแล้ว
จังหวะนั้น กลุ่มมือกระบี่รุ่นเยาวชนคนอื่นๆ ก็เลือกอาวุธคู่กายของตนเองเสร็จเรียบร้อยพอดี