บทที่ 109 กระบี่พิฆาตสวรรค์
ขณะนี้ ไป๋ชินหยุนมีความสุขมาก
นางมั่นใจว่าชื่อ ‘ดาบใหญ่’ ของตนเองเป็นชื่อที่ดี
“แล้วท่านล่ะตั้งชื่อดาบได้หรือยัง?” นางถาม
“ชื่อดาบของข้าหรือ?” หลินเป่ยเฉินรู้สึกปวดหัวเล็กน้อยตอนที่ตอบว่า “ยังเลย”
เขายังไม่ได้คิดไว้เลยสักชื่อเดียว
แต่แทนที่จะคิดชื่อดาบที่จะต้องตั้ง…
เด็กหนุ่มกลับหันมองไปยังโต๊ะวางอาวุธที่อยู่ห่างออกไป
ปรากฏว่ายังเหลือดาบและกระบี่ไม่มีเจ้าของอยู่อีก 6 เล่ม
ให้ตายเถอะ
เสียของอะไรขนาดนี้?
“ถ้าเอาไปขายคงได้เงินไม่น้อยเลยนะนั่น!”
ด้วยความรู้สึกเสียดาย หลินเป่ยเฉินจึงลุกขึ้นยืนโดยไม่ลังเลและกล่าวว่า “อาจารย์ไป๋ ท่านผู้ว่าหลิง ข้าน้อยมีเรื่องอยากสอบถามขอรับ”
ดวงตานับไม่ถ้วนหันมาจับจ้องที่หลินเป่ยเฉินเป็นตาเดียว
หลิงจุนเซวียนกล่าวว่า “เจ้ามีอะไรจะถามหรือ หลินเป่ยเฉิน?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง ตีสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ “ความจริงแล้ว นอกจากใช้กระบี่ด้วยมือขวา ข้าน้อยยังสามารถใช้กระบี่ด้วยมือซ้ายได้อีกด้วยขอรับ เพราะฉะนั้น เท่ากับว่าข้าน้อยสามารถใช้กระบี่ได้ทั้ง 2 มือ มันจึงไม่ยุติธรรมเลยที่ข้าน้อยสามารถเลือกอาวุธได้แค่ชิ้นเดียว”
ทันใดนั้น สีหน้าของทุกคนรอบตัวก็เปลี่ยนแปลงไป
“พูดออกมาได้หน้าไม่อาย!”
“ได้ดาบไปแล้วยังไม่พอใจ ยังจะต้องการอะไรอีกหรือ?”
“ข้าเคยเห็นแต่คนตะกละตะกรามในอาหารเท่านั้น ไม่เคยเห็นใครตะกละอยากได้กระบี่มากเท่านี้มาก่อน”
ในกลุ่มคนเหล่านั้น ชินหลันซูมีสีหน้าตื่นตกใจมากที่สุด
“เจ้าใช้กระบี่ด้วยมือซ้ายได้หรือ?” นางลุกขึ้นยืนจ้องหน้าหลินเป่ยเฉิน “แน่ใจนะว่าเจ้าพูดความจริง?”
หลิงจุนเซวียนกับหลีลั่วหรันพลันมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินเตรียมเหตุผลอธิบายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงยิ้มตอบอย่างสบายใจ “ข้าน้อยพูดความจริงขอรับ อันที่จริงระหว่างการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ตอนที่ข้าน้อยได้เห็นคุณหนูหลิงเฉินใช้กระบี่ด้วยมือซ้าย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าระ…”
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เจ้าอยากได้อาวุธชิ้นไหน ก็ไปเลือกมา” ชินหลันซูขัดจังหวะเด็กหนุ่มและกล่าวต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่ในการทดสอบขั้นต่อไป เจ้าต้องพิสูจน์ว่าตัวเองสามารถใช้อาวุธได้ทั้ง 2 มือจริงๆ มิฉะนั้นแล้ว นอกจากจะถูกริบอาวุธคืน แม้แต่สิทธิเข้าร่วมการแข่งขันทุกอย่างต่อจากนี้ ก็จะถูกริบคืนเช่นกัน หลังจากนั้น เจ้าจะถูกขับไล่ออกจากจวนผู้ว่าโดยทันที”
“เอ่อ…” หลินเป่ยเฉินเผลอตัวทำท่าทางใช้นิ้วมือดันแว่นอีกครั้ง “ไม่มีปัญหาขอรับ”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็เดินไปที่โต๊ะวางอาวุธภายใต้การจ้องมองของทุกคน สุดท้าย เขาก็เลือกกระบี่เงินขนาดมาตรฐานมาหนึ่งเล่ม หลายคนพากันสงสัยว่าเพราะอะไรหลินเป่ยเฉินถึงเลือกอาวุธที่ทำจากเงินอีกแล้ว?
นั่นเป็นเพราะว่ากระบี่และดาบเล่มอื่นๆ ที่เหลืออยู่ ถ้าไม่เป็นสีดำก็เป็นสีทองแดง และดูไม่ค่อยมีราคาเท่าไหร่
แต่เจ้าแกะดำยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะหยิบกริชเงินอีกเล่มหนึ่งติดมือมาด้วยเช่นกัน
เขาไม่อยากปล่อยให้อาวุธที่ทำขึ้นจากเงินต้องหลุดมือไปสักชิ้นเดียว
ไม่กี่อึดใจต่อมา หลินเป่ยเฉินก็เดินถือกระบี่และกริชเงินกลับมานั่งที่โต๊ะของตัวเองอีกครั้ง
“นี่เจ้าเลือกอาวุธถึง 3 ชิ้นเชียวหรือ?” ตงฟางจันทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว “เจ้ามี 3 มือหรือไง?”
หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มยียวนตอบกลับไปว่า “เจ้ารู้ได้ยังไงเนี่ย อย่าบอกนะว่ามีสัมผัสพิเศษ? อิอิ นอกจากข้าจะใช้กระบี่ได้พร้อมกัน 2 เล่มแล้ว ข้ายังถนัดวิชาที่ชื่อว่ากระบี่สามพิฆาตอีกด้วย มันทำให้ข้าสามารถใช้อาวุธได้พร้อมกันถึง 3 ชิ้น ด้วยเหตุนี้ ข้าเลือกอาวุธมา 3 ชิ้นก็ถูกต้องแล้ว”
“เจ้า…”
ตงฟางจันพูดอะไรไม่ออก
กลุ่มมือกระบี่รุ่นเยาวชนที่เข้าร่วมงานต่างก็ส่งเสียงก่นด่าด้วยความทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน
“ช่างเป็นคนที่ไร้ยางอายเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ” เฉาพั่วเถียนยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “อุตส่าห์เป็นศิษย์เอกของอาจารย์ติงทั้งที เจ้าไม่มีอาวุธดีๆ ติดตัวบ้างเลยหรือไง ถึงได้เที่ยวมากอบโกยกระบี่ไปจากผู้อื่นอย่างนี้? ข้าเดาไม่ออกเลยว่ามันเป็นเพราะเจ้าไร้ความสามารถเกินไป หรืออาจารย์ติงยากจนมากเกินไปกันแน่?”
หลินเป่ยเฉินพลันหัวเราะในลำคอ “เจ้ามันจะไปรู้อะไร”
“เจ้า…”
เฉาพั่วเถียนใบหน้ากระตุก
สงครามประสาทเป็นการต่อสู้ทางจิตวิทยาชนิดหนึ่ง แต่ไม่ว่าทำอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถบั่นทอนกำลังใจของหลินเป่ยเฉิน ซึ่งเก่งกาจในเรื่องฝีปากได้เลยสักนิด
ไป๋ไห่ชินโบกมือเล็กน้อย
เฉาพั่วเถียนก้มศีรษะ ไม่พูดอะไรออกมาอีก
“ศิษย์พี่ติง 3 ปีที่แล้ว เพราะอะไรเฉาพั่วเถียนถึงทิ้งท่านไป ดูเหมือนจนถึงตอนนี้ ท่านก็ยังไม่รู้คำตอบสินะ”
ไป๋ไห่ชินหันกลับไปมองหน้าติงซานฉือ
ฝ่ายหลังไม่พูดอะไร ทำตัวเหมือนพระกำลังนั่งกรรมฐาน
ไป๋ไห่ชินแค่นยิ้มออกมาอีกครั้ง “ในเมื่อท่านเป็นคนคิดค้นวิชากระบี่สามพิฆาต ลูกศิษย์ของท่านจะเลือกอาวุธได้ 3 ชิ้นก็คงไม่ผิด เพียงแต่นี่แสดงให้เห็นว่าท่านไม่ได้สั่งสอนลูกศิษย์มาดีเท่าที่ควร มิเช่นนั้น เขาคงไม่ทำอะไรเกินตัว นี่คือกฎของยุทธจักรเรา กระบี่ทุกเล่มล้วนมีวิญญาณของตนเอง ความใฝ่ฝันที่อยากจะใช้อาวุธทั้ง 3 ชิ้นให้ได้ในครั้งเดียว ต่อให้ฝึกฝนหนักขนาดไหน ก็มีแต่ทำให้ตัวเองธาตุไฟแตกตายเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ให้ความสนใจไปที่มือกระบี่หน้าโหดคนนี้เลย
ไป๋ไห่ชินแสยะยิ้มใส่ติงซานฉืออีกครั้ง “เอาละ เรามาตั้งชื่อกันต่อดีกว่า”
หลังจากนั้น ฟานซูอังก็รับหน้าที่สลักชื่อบนกระบี่ต่อไป
และแล้วก็มาถึงคราวของเฉาพั่วเถียน
เด็กหนุ่มผมทองส่งกระบี่สีทองคำให้ชายหนุ่มพร้อมกับบอกว่า “กระบี่เล่มนี้มีนามว่ากระบี่พิฆาตสวรรค์”
ฟู่!
หลินเป่ยเฉินที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่ถึงกับสำลักพรวดออกมาทีเดียว
เฉาพั่วเถียนหันมามองตาขวางทันที
หลินเป่ยเฉินกลั้นหัวเราะไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว “ทุกชีวิตล้วนเกิดขึ้นมาได้เพราะสวรรค์กำหนด แต่คงไม่ใช่เจ้าแล้วกระมัง ถึงกับตั้งชื่อกระบี่แบบนี้ ไม่ทราบว่าเจ้าโกรธแค้นสวรรค์มาจากไหน?”
ฟู่!
ไป๋ชินหยุนที่นั่งอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินก็ถึงกับสำลักน้ำชาหัวเราะก๊ากออกมาเช่นกัน
นางเข้าใจดีว่าหลินเป่ยเฉินตั้งใจหักหน้าเฉาพั่วเถียนที่ทรยศอาจารย์ติงซานฉือและแปรพรรคเข้าร่วมกับไป๋ไห่ชิน จังหวะที่ดีงามเช่นนี้มีไม่ง่ายนัก ต้องยอมรับเลยว่าเจ้าแกะดำหัวไวเป็นเลิศ
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” เฉาพั่วเถียนหัวเราะในลำคอและกล่าวต่อว่า “การฝึกวิทยายุทธ์ก็เป็นการฝืนธรรมชาติชนิดหนึ่ง พวกเราเหล่าจอมยุทธ์มือกระบี่ต่างก็ต้องการฝึกฝนเพื่อท้าท้ายฟ้าดิน เราไม่สมควรเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น เมื่อบรรลุขั้นพลังระดับสูงสุด พวกเราก็จะมีลำดับชั้นเทียบเท่ากับเทพเจ้าบนสวรรค์ เศษขยะไร้ความสามารถอย่างเจ้าจะไปเข้าใจหลักการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร?”
“แหม แหม” หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “เอาที่เจ้าสบายใจก็แล้วกัน”
เฉาพั่วเถียนแทบจะสำลักความโกรธแค้นตายแล้ว
“คุณชายเฉา เถียงกันไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดหรอกขอรับ กระบี่ชื่อนี้นับว่าไม่เลว การพิฆาตสวรรค์ย่อมหมายความว่าความสามารถของท่านไม่ธรรมดา ข้าสลักชื่อให้เรียบร้อยแล้ว โปรดรับกระบี่ของท่านคืนไป”
ฟานซูอังจัดการสลักตัวอักษรคำว่า ‘พิฆาตสวรรค์’ ลงไปบนใบกระบี่เรียบร้อยแล้วจริงๆ
บัดนี้ ตัวกระบี่ได้แผ่รังสีประหลาดออกมา รัศมีของมันสว่างเรืองรอง แทบจะเพิ่มระดับพลังในการเป็นศาสตราวุธขึ้นอีกหนึ่งขั้น เห็นได้ชัดว่านับเป็นชื่อที่เหมาะสมกับตัวกระบี่ มากกว่ากระบี่ทุกเล่มที่ฟานซูอังได้ทำการสลักชื่อก่อนหน้านี้
โดยเฉพาะยามที่กระบี่พิฆาตสวรรค์อยู่ในมือของเฉาพั่วเถียน ตัวกระบี่ก็เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย ราวกับว่ามีพลังลึกลับกำลังจะระเบิดออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
เฉาพั่วเถียนหัวเราะด้วยความชอบใจ รีบโคจรพลังลมปราณเข้าใส่ตัวกระบี่ในมือ
พลัน ได้ยินเสียงโลหะขยายตัวดังออกมาจากตัวกระบี่ ทันใดนั้น กระบี่พิฆาตสวรรค์ก็ระเบิดลำแสงสีทองคำสว่างจ้า ลวดลายอักขระอาคมที่แฝงอยู่ในใบกระบี่ปรากฏวูบวาบ นี่คือสัญลักษณ์ที่บอกว่าวิญญาณของกระบี่ได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ทำให้กระบี่เล่มนี้มีความพิเศษมากขึ้นกว่าเดิม
“อักขระพวกนั้น…ทำไมมันเหมือนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์เลยวะ?” หลินเป่ยเฉินพบว่ามันเป็นสิ่งที่คุ้นตาอย่างประหลาด “ว่าแต่มันมีเอาไว้ใช้ประโยชน์อะไร เป็นเหมือนหมายเลขประจำตัวกระบี่ใช่ไหม? หรือว่า…มันจะเป็นอักขระอาคม?”
เพียงพริบตาเดียว กระบี่พิฆาตสวรรค์ก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติดังเดิม
“เป็นกระบี่ที่ดียิ่ง!”
ฟานซูอังกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมจากใจจริง “การหลอมรวมระหว่างกระบี่เล่มนี้กับระดับพลังของคุณชายเฉาเข้ากันได้ในอัตรา 60 ส่วนแล้ว ในอนาคต ตราบใดที่ท่านตั้งใจฝึกฝน อัตราการหลอมรวมก็จะสูงขึ้นยิ่งกว่านี้แน่นอน ในไม่ช้ากระบี่กับตัวท่านจะหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ…ฮ่าฮ่า นับว่าคุณชายเฉามีความสามารถในการเลือกกระบี่เป็นเลิศเหลือเกิน”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
เฉาพั่วเถียนหุบยิ้มไม่ลงอีกแล้ว เขาพอใจในกระบี่เล่มนี้มาก
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็พอใจในสิ่งที่ตนเองเพิ่งสร้างขึ้นอีกด้วย
มันพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า เฉาพั่วเถียนคนนี้คืออัจฉริยะตัวจริง และสามารถเลือกกระบี่ที่ดีที่สุดให้แก่ตัวเองได้สำเร็จ
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋ไห่ชินเช่นกัน
เมืองไป๋หยุนมีกฎระเบียบค่อนข้างเคร่งครัด ถึงแม้เฉาพั่วเถียนจะเป็นลูกศิษย์ของไป๋ไห่ชิน แต่เขาก็มีสิทธิ์ใช้งานเพียงกระบี่ธรรมดาในเมืองไป๋หยุนเท่านั้น ซึ่งมันไม่เหมาะกับระดับฝีมือเหนือคนธรรมดาของเด็กหนุ่มเลยสักนิด ขณะนี้ เมื่อมีโอกาสได้รับกระบี่คุณภาพสูงให้เป็นอาวุธประจำกาย มันก็จะช่วยทำให้เฉาพั่วเถียนสามารถแสดงฝีมือออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
เฉาพั่วเถียนหันกลับไปมองหน้าเจ้าแกะดำ ก่อนถามว่า “หลินเป่ยเฉิน ถึงตาเจ้าแล้ว คิดชื่อดีๆ ให้กระบี่ของเจ้าได้หรือยัง?”