บทที่ 11 แล้วถ้า 20 เหรียญเงินฟังดูเป็นยังไงล่ะ
“โอ๊ย! ข้าเจ็บนะ!” เฝิงหลุนร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกถึงแรงกดจากปลายกระบี่ที่จ่ออยู่บนหน้าอกด้านซ้ายของตนเอง
“แบบนี้ก็แสดงว่า…เจ้ายอมรับข้อเสนอนั่นแล้วสิ ถูกไหม?”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเป็นมิตรมากขึ้น ก่อนกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ายอมรับข้อเสนอของข้าแล้ว งั้นเจ้าก็ต้องหาวิธีทำให้กระบี่ของข้ากลับเข้าฝักให้ได้”
ตราบใดที่เขายังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ หลินเป่ยเฉินจะไม่ดึงกระบี่กลับมาเด็ดขาด
นั่นเป็นคติประจำใจของหลินเป่ยเฉิน
สงสัยรอบนี้ เขาคงต้องใช้ยาแรงเสียแล้ว
ถ้าหลินเป่ยเฉินทำตัวอ่อนโยนกับผู้อื่น ทุกคนก็จะคิดว่าเขาอ่อนแอเหมือนเดิม
และถ้าเป็นเช่นนั้น เขาต้องโดนตามราวีอีกเป็นแน่
เฝิงหลุนถึงกับนิ่งงันเมื่อได้ฟังคำพูดของหลินเป่ยเฉิน
ทำให้กระบี่กลับเข้าไปในฝักอย่างนั้นหรือ?
เขาจะทำแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า
หรือเจ้าแกะดำคิดอยากให้เขาขอโทษกระบี่เล่มนี้?
หรือเขาจะต้องเป็นฝ่ายลอดใต้หว่างขาของหลินเป่ยเฉินกันล่ะ?
แล้วแบบนั้น จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันเล่า
เฝิงหลุนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
จังหวะนั้น เสียงชายชราที่คุ้นหูพลันดังขึ้นจากข้างหลังหลินเป่ยเฉิน “นายน้อยขอรับ ข้าประสบกับสิ่งที่น่าเศร้ามาเมื่อครู่ ข้าเพิ่งไปหาอาหารเช้าทาน ก่อนจะพบว่าเราทั้งสองนั้น ไม่มีเงินสักแดงเดียวแล้วขอรับ นายน้อย”
เป็นเสียงของหวังจงนั่นเอง
ตาเฒ่าสารพัดพิษโผล่หัวมาจนได้สินะ
“บอกว่าไปหาของกินมางั้นเหรอ? ใครจะไปเชื่อ! แอบหนีเอาตัวรอดมากกว่าล่ะไม่ว่า”
ดวงตาของเฝิงหลุนเบิกกว้างขณะที่ความคิดเยี่ยมยอดผุดขึ้นมาในหัว “เดี๋ยวก่อน…ข้าจะจ่ายให้เอง ซัก 50 เหรียญทองแดงเป็นอย่างไร” เขาเอ่ย
“อุ๊ย…คือว่า…พอดีข้าไม่ได้สนใจเงินทองขนาดนั้น แต่…ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมกระบี่เล่มนี้ มันถึงไม่ยอมกลับคืนเข้าฝักสักที”
“งะ…งั้นซัก 80 เหรียญทองแดงเป็นอย่างไร ไม่สิ…เหรียญเงินไปเลย 1 เหรียญเงิน พอใช้ได้หรือไม่”
“โธ่…เจ้ากระบี่ ทำไมถึงไม่ยอมกลับเข้าฝักเสียทีล่ะเนี่ย”
“20! 20 เหรียญเงินไปเลย นั่นคือทั้งเนื้อทั้งตัวข้าแล้ว”
“ตายแล้ว…น่าแปลกนัก จู่ ๆ กระบี่ของข้าก็อยากจะกลับเข้าฝักเสียดื้อ ๆ ”
“นี่…รับไปซะ หลินเป่ยเฉิน ทีนี้เจ้าจะเอาคมกระบี่ที่จ่อข้าอยู่ลงได้หรือยัง”
“อ้อ…ขออภัย ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท ว่าแต่ข้าคงไม่ได้บังคับเจ้า ให้เอาเงินมามอบให้ข้าหรอกใช่ไหม?”
“มะ…ไม่เลย”
“บอกความจริงมาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ไม่เลย ข้าพูดจริง ๆ ”
เฝิงหลุนนั้นแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาแล้ว
โดนกระบี่จ่อที่หน้าอกขนาดนี้ ถ้าไม่เรียกว่าโดนบังคับขู่เข็ญ แล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก!
หลินเป่ยเฉินดึงกระบี่กลับไปจากหน้าอกของเฝิงหลุน
ติ๋ง!
และนั่นเป็นเสียงเลือดที่ไหลหยดออกมาจากบาดแผลของคมกระบี่
โชคยังดีที่คมกระบี่ไม่ได้แทงเข้าไปลึกนัก และมันเป็นเพียงบาดแผลตื้น ๆ เท่านั้น
เฝิงหลุนรู้สึกเหมือนตนเองเพิ่งรอดพ้นมาจากปากเหวแห่งความตาย มือข้างหนึ่งวางอยู่บนอก เพื่อยืนยันว่าหัวใจยังคงเต้นอยู่
ทันใดนั้น…
เสียงกระดิ่งพลันดังขึ้น
เฝิงหลุนและบรรดาลูกสมุนยกพวกกลับไปในพริบตาเดียว ราวกับนักโทษได้ยินสัญญาณเรียกเข้าสู่เรือนนอนอย่างไรอย่างนั้น
พวกเขาล้วนเป็นลูกศิษย์ที่สังกัดอยู่ห้องอื่น
บรรดาลูกศิษย์ร่วมสถาบันคนอื่น ๆ ต่างก็รีบจ้ำอ้าวกลับห้องเรียนของตนเอง ในขณะที่ภายในหัวยังคงพยายามประมวลผลสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาเมื่อครู่
แต่สิ่งเดียวที่ทุกคนล้วนคิดตรงกันก็คือ เจ้าเศษขยะไร้ความสามารถหลินเป่ยเฉิน มีฝีมือที่แท้จริงน่ากลัวเอาเรื่องไม่ใช่น้อย
ตั้งแต่นี้ต่อไป ไม่ว่าใครหน้าไหนที่พยายามจะเข้ามาแก้แค้นเขา มันผู้นั้นก็ควรจะประเมินตัวเองให้ดีเสียก่อน
ไม่เช่นนั้น ก็จะเป็นแบบเฝิงหลุน ตัวอย่างชั้นดีของเจ้าแกะน้อยขนหนาที่ต้องกลับบ้านไปด้วยสภาพเหี้ยนเตียนไม่เหลืออะไรเลย
หลินเป่ยเฉินค่อยรู้สึกโล่งใจไปอีกเปลาะหนึ่ง
เมื่อสักครู่ถือว่าเอาตัวรอดได้อย่างหวุดหวิดแท้ ๆ
ต้องยอมรับว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ชีวิตเขาลำบากมากทีเดียว
แต่อย่างน้อย ตอนนี้เขาก็กลายเป็นยอดมือกระบี่ในสายตาเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้ว
เด็กหนุ่มหันหลังกลับไปมองหวังจง
“ไปมุดหัวหลบอยู่ที่ไหนมา เจ้าคนทรยศ กล้าดีอย่างไรถึงมาหักหลังข้า หือ!”
“นะ…นายน้อยอย่าโกรธเคืองไปเลย ข้าไปหาอาหารเช้ามาจริง ๆ นา แต่ก่อนอื่น ข้าต้องขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะขอรับ…”
“อยากเข้าห้องน้ำงั้นหรือ? เอาเป็นว่า ข้าจะช่วยสงเคราะห์เจ้า ทำให้ไม่ต้องเข้าห้องน้ำอีกเลยตลอดชีวิตดีไหม!”
“นายน้อย จะ…ใจเย็นก่อนขอรับ”
“ข้าเย็นไม่ลงหรอก”
“นายน้อย อย่าไปสนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วรีบเข้าเรียนเสียเถอะ ไม่งั้นท่านจะสายเอานะ อาจารย์ของท่านต้องโกรธมากแน่ ๆ ตอนนี้ท่านไม่มีคนคอยหนุนหลังแล้ว อาจารย์คนนั้นยิ่งไม่ถูกกับท่านอยู่ เขาต้องหาเรื่องมาลงโทษท่านแน่ ๆ ”
“บัดซบ! ให้มันได้อย่างนี้สิ เจ้ารออยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหนอีกเด็ดขาด”
หางตาของหลินเป่ยเฉินพลันเหลือบไปเห็นอาจารย์ติงซานฉือผู้กำลังเดินเข้ามาในห้องเรียนพอดี
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงจำต้องปล่อยพ่อบ้านหวังไป และรีบรุดหน้าไปยังห้องเรียนแทน
เมื่อวานนี้ หลินเป่ยเฉินทำให้อาจารย์ติงปวดเศียรเวียนเกล้าไม่ใช่น้อย วันนี้เด็กหนุ่มจึงพยายามหาโอกาสแก้ตัวเต็มที่
เขารีบวิ่งไปยังห้องเรียนด้วยความเร็วเช่นกระต่ายป่า
ขณะนั้น ในชั้น 2 ของอาคารข้างเคียง รอยยิ้มบนใบหน้ามู่ซินเยว่ค่อย ๆ เลือนหายไป
เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เจ้าเศษขยะข้างถนน สามารถเอาชนะเฝิงหลุนได้อย่างนั้นหรือ?
แถมยังใช้วิชากระบี่ได้ดีอีกด้วย
แต่…เจ้าแกะดำฝึกวิชากระบี่จนแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
หลินเป่ยเฉินเอาชนะเฝิงหลุนได้อย่างสวยงามในพริบตาเดียว
ใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
จะมีก็แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 3 หรือระดับที่สูงกว่าเท่านั้น จึงจะทำเช่นนี้ได้ไม่ใช่หรือ?
อย่าบอกนะว่า…ทักษะการฝึกฝนของเจ้าหมอนี้ แตะขีดสูงสุดของผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 3 แล้ว?
ถ้ามีทักษะในระดับนี้ละก็ อาจถือว่าเก่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 2 ทั้งหมดเลยก็ได้
หลินเป่ยเฉินสามารถทำได้อย่างไรกัน?
ไม่…เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
คำถามมากมายถาโถมเข้าใส่มู่ซินเยว่
และทำให้นางเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาหน่อย ๆ
เริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินสามารถทำได้อย่างไร?
ตั้งแต่นางทิ้งเขาไป ไม่ใช่ว่าเขาควรจะต้องจมปลัก นอนเป็นผักรอความตายอย่างนั้นหรอกหรือ?
เขาอยากจะลุกขึ้นสู้งั้นสิ?
อภัยให้ไม่ได้เด็ดขาด!
คลื่นความโกรธเกรี้ยวโหมกระหน่ำขึ้นภายในใจของมู่ซินเยว่จนนางแทบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่
“ศิษย์น้องมู่ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” กวนเฟยตู้ถามขึ้นเมื่อสังเกตได้ว่าสีหน้าของเด็กสาวเปลี่ยนไป
“ว่าไงนะ” มู่ซินเยว่หลุดออกจากภวังค์ ก่อนนึกได้ว่านางไม่ควรแสดงความโกรธออกมาตรงนี้ เด็กสาวทำได้แค่เพียงข่มอารมณ์ทั้งหมดไว้และรักษาภาพพจน์ของเจ้าหญิงแห่งปวงชนต่อไป นางหันไปยิ้มให้กวนเฟยตู้และตอบว่า “ข้าสบายดี เพียงคิดไม่ถึงว่าหลินเป่ยเฉินจะแข็งแกร่งขนาดนั้น ข้าอดประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้จริง ๆ ”
กวนเฟยตู้พยักหน้าอย่างเห็นด้วยและกล่าวว่า “ข้าเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน ที่เจ้าหลินเป่ยเฉินนั่นสามารถฝึกกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตของอาจารย์ติงได้ดีขนาดนี้ ข้าคิดว่าเขาคงซุ่มฝึกฝนอยู่เงียบ ๆ มาเป็นเดือนแล้วแน่นอน”
“หืม? ศิษย์พี่กวน…นี่แสดงว่าวิชาที่เขาเพิ่งใช้คือกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตงั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว กระบวนท่านี้เป็นที่เลื่องชื่อของอาจารย์ติง ถึงมันจะไม่ใช่วิชาชั้นสูงอะไรมากมาย และยังเป็นท่าพื้นฐานของวิชากระบี่ แต่มันใช้การในสนามรบได้ดีมากเลยล่ะ ถ้าหากว่าฝึกฝนสามกระบวนท่านี้จนเชี่ยวชาญแล้วละก็ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 2 ก็สามารถใช้พลังที่มีในการต่อสู้ได้เทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 3 เลยทีเดียว”
“อย่างนี้นี่เอง”
“หือ? ศิษย์น้องมู่…นี่เจ้ายังไม่เคยฝึกกระบวนท่านี้หรอกรึ?”
“พูดตามตรงนะ ศิษย์พี่กวน ข้าประมาทเกินไป ตอนข้าเรียนในห้องเรียน ข้าคิดว่าไอ้เจ้ากระบวนท่านี้มันง่าย ๆ เสียอีก ข้าจึงละเลยไม่ได้ฝึกฝนอย่างเต็มที่ ดูเหมือนว่าข้าจะปิดตาตัวเองไปเสียแล้วสิ ข้าไม่ควรหยิ่งยโสปานนั้นเลย”
“ข้านับถือในความตรงไปตรงมาของเจ้าเหลือเกิน ศิษย์น้องมู่ แต่กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาต ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่เสียทีเดียว ข้ามีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ แต่มันไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์การสอน มันเป็นข้อมูลสำหรับเจาะช่องโหว่กระบวนท่านี้โดยเฉพาะ ศิษย์น้องมู่…ถ้าเจ้าสนใจ คิดจะเอาบันทึกข้อมูลพวกนั้นไปฝึก ข้าก็ยินดี”
“แหม…คนที่เขียนคัมภีร์เช่นนี้ขึ้นมาได้ ย่อมต้องเป็นมือกระบี่อัจฉริยะแน่นอน”
“ฮะฮ่า ข้าตัวลอยแล้ว ศิษย์น้องมู่ เจ้าเองก็ชมเกินไป มันก็เป็นเพียงคัมภีร์ที่ข้าเขียนเอาไว้เวลาว่างเท่านั้น”
“จริงหรือ? ศิษย์พี่กวนนี่ช่างฉลาดและเหมาะสมจะได้เป็นตัวแทนในการประลองของชั้นปีที่ 3 จริง ๆ ข้าชื่นชมศิษย์พี่มากเหลือเกิน ถ้าหากข้ามีปัญหาหรือคำถามใดในอนาคต ข้าขอรบกวนให้ศิษย์พี่ช่วยชี้แนะเป็นการส่วนตัวสักหน่อยได้หรือไม่”
“ฮ่า ๆ ๆ ย่อมได้อยู่แล้ว ศิษย์น้องมู่ ข้ายินดีตอบทุกคำถามของเจ้าเลยล่ะ”