บทที่ 121 ทางเลือก
หัวใจของเฉาพั่วเถียนอัดแน่นด้วยความโกรธแค้นเหมือนภูเขาไฟใกล้ระเบิด
เขาไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับความตกต่ำเช่นนี้มา 3 ปีเต็มแล้ว
เขาไม่เคยพ่ายแพ้ให้ใครยับเยินขนาดนี้มาก่อน
“เจ้าต้องการเท่าไหร่”
เด็กหนุ่มผมทองเงยหน้าขึ้นมองหลินเป่ยเฉิน “ข้าต้องจ่ายเท่าไหร่ เจ้าถึงจะยอมคืนกระบี่ให้ข้า?”
เฉาพั่วเถียนชอบกระบี่พิฆาตสวรรค์ของตนเองมากจริงๆ
นอกจากจะเป็นกระบี่คุณภาพสูงรูปลักษณ์ดีแล้ว มันยังถูกลงชื่อด้วยอาจารย์ฟานซูอังผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง แล้วกระบี่ที่มีคุณค่าสูงส่งเช่นนี้ มีหรือที่เฉาพั่วเถียนจะยินดีหยิบยื่นให้แก่ผู้อื่นโดยง่าย?
ทว่า คำตอบของหลินเป่ยเฉินยังคงเหมือนเดิม “กระบี่”
เฉาพั่วเถียนแทบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความช้ำใจตายแล้ว
“ไม่ยุติธรรมเลย” เขาหันกลับไปมองหน้าผู้เป็นอาจารย์
บัดนี้ แม้แต่ไป๋ไห่ชินก็อยากจะฉีกกระชากร่างของหลินเป่ยเฉินออกเป็นชิ้นๆ นัก
“ลูกเอ๋ย อย่าทำอะไรที่มันโหดร้ายนักเลย” มือกระบี่หน้าโหดพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลินเป่ยเฉินขึงตามองกลับไป “ลูก? ท่านไม่ใช่บิดาของข้าสักหน่อย มีสิทธิ์อะไรมาเรียกข้าว่าลูก?”
ไป๋ไห่ชินคอยพูดจาฉีกหน้าอาจารย์ติงนับครั้งไม่ถ้วน มิหนำซ้ำ ยังขโมยลูกศิษย์ของติงซานฉือไปได้อย่างไร้ยางอาย เมื่อเผชิญความร้ายกาจกับสายตาของตนเอง หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าเขาจะไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่มือกระบี่จากเมืองไป๋หยุนคนนี้แน่นอน
“หึหึ” ไป๋ไห่ชินหรี่ตาลงเล็กน้อย ทำให้รอยแผลเป็นที่คมกระบี่ฝากไว้บนใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวน่าหวาดกลัว “เจ้าอย่าได้ทำตัวโอหังเกินไปนัก มิฉะนั้นแล้ว สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องตายไม่รู้ตัว”
ชายหน้าโหดมีฐานะเป็นหนึ่งในสามยอดมือกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน คำพูดของเขาแฝงไว้ด้วยความข่มขู่ทุกถ้อยคำ
แต่หลินเป่ยเฉินกลับยิ้มเย้ยหยัน และเป็นติงซานฉือที่ยืนเงียบมาตลอดส่งเสียงพูดขึ้นว่า
“กลับไปซะ”
ชายชราหันไปมองหน้าอดีตศิษย์น้องของตนเอง “กลับไปที่เมืองไป๋หยุนของเจ้า แล้วไม่ต้องกลับมาที่เมืองหยุนเมิ่งอีก”
แม้ติงซานฉือจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ผู้คนกลับรู้สึกได้ถึงมวลพลังกดดันมหาศาล ที่ทำให้หัวใจรู้สึกโดนบีบคั้นขึ้นมาอย่างประหลาด
“ฮ่าๆๆๆ”
ไป๋ไห่ชินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเหมือนขบขันเสียเต็มประดา “ติงเล่ย เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้กับข้า?”
ติงซานฉือมองรอยแผลเป็นบนใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วกล่าว “ข้ามีสิทธิ์จะพูดอะไรก็ได้”
ความอิจฉาริษยาและความเกลียดชังฉายชัดในแววตาของไป๋ไห่ชิน “คนไม่เอาไหนเช่นเจ้า มีอะไรให้พูดจาอวดดีอีกหรือ ติงเล่ย ส่วนสำคัญที่สุดในงานประลองค่ำคืนนี้ยังมาไม่ถึง นี่คือคืนวันที่ 15 พระจันทร์เต็มดวงเหนือหลังคาจวนผู้ว่า มันเป็นเวลาที่กระบี่ของเราจะได้ดวลกันอีกครั้ง ในเมื่อเจ้าไม่ได้ผิดนัด ก็จงเตรียมตัวรับความพ่ายแพ้ให้ดีเถอะ”
ติงซานฉือก้มหน้าต่ำ มองกระบี่ในมือตนเอง
ไป๋ไห่ชินมองตามสายตาของชายชรา แล้วยิ้มเหยียดหยาม “เจ้ายังใช้งานกระบี่เล่มนั้นอยู่อีกหรือ?”
ติงซานฉือยังคงไม่ตอบรับคำใด
หลินเป่ยเฉินพลันส่งเสียงแทรกมือกระบี่ชื่อดังทั้งสองคนว่า “กระบี่”
พร้อมกันนั้น เขาก็ยื่นมือออกไปตรงหน้าเฉาพั่วเถียน
“เจ้าลูกเต่าบัดซบ…”
เฉาพั่วเถียนกระอักเลือดออกมาแล้วจริงๆ
เด็กหนุ่มกัดฟันยื่นส่งกระบี่พิฆาตสวรรค์ให้แก่คู่ประลองขณะกล่าวว่า “ขอแนะนำว่าเจ้าอย่าได้ขายมันเด็ดขาด จงเก็บรักษาไว้ให้ดี อีกไม่นานข้าจะไปเอาคืน…”
แต่ยังไม่ทันที่เฉาพั่วเถียนจะพูดจบประโยค
“เคล้ง!”
เสียงกระบี่แตกหักดังกังวาน
นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อหลินเป่ยเฉินรับกระบี่มาถือในมือ เขาก็โยนมันทิ้งลงพื้นเหมือนขยะไร้ค่า เสร็จแล้วจึงใช้เท้าเหยียบย่ำจนใบกระบี่แตกหักไม่เหลือชิ้นดี
“เจ้า…” เฉาพั่วเถียนเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ “พอใจแล้วหรือยัง?”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาสบตาเฉาพั่วเถียน แล้วฉีกยิ้ม “พอใจมาก ยิ่งเห็นเจ้าโมโห ก็ยิ่งพอใจมากกว่าเดิมอีก”
“ข้าจะฆ่าเจ้า…” เฉาพั่วเถียนคำรามออกมาด้วยความโกรธ
แต่เมื่อเห็นสายตาของติงซานฉือที่มองมายังตนเอง เด็กหนุ่มผมทองผู้เป็นมือกระบี่ดาวรุ่งจากเมืองไป๋หยุนก็รู้สึกเย็นเยือกไปทั่วกายราวกับตกลงไปในธารน้ำแข็ง ความเดือดดาลของเขาสลายหายไปสิ้น เฉาพั่วเถียนตั้งสติได้อีกครั้ง และไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย
“คนที่ทำให้คนอื่นขายหน้า สักวันก็ต้องถูกทำให้ขายหน้าเสียเองเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินไม่มีทางปล่อยโอกาสดีงามเช่นนี้หลุดมือไปได้เด็ดขาด เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่งสอนว่า “ในเมื่อเจ้าแสดงออกว่าเป็นตัววายร้ายเสียขนาดนี้ ข้าจะรอรับการแก้แค้นจากเจ้าก็แล้วกัน”
“ข้าจะต้องแก้แค้นแน่” เฉาพั่วเถียนพลันยิ้มออกมาด้วยความอาฆาต
“ตามสบายเถอะ” หลินเป่ยเฉินยักไหล่เหมือนไม่สนใจ หลังจากนั้น เขาก็หันไปมองหน้าเฒ่าทะเล “ผู้อาวุโสขอรับ จะประกาศผลผู้ชนะได้หรือยังขอรับ?”
ชายชราหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความพึงพอใจ “เอาล่ะ ขอเชิญมือกระบี่อาวุโสทั้งสองท่านจากเมืองไป๋หยุนกลับไปนั่งที่ได้แล้ว นี่ยังไม่ถึงเวลาของพวกท่าน รอให้ข้าจัดการงานประลองส่วนนี้ให้เสร็จสิ้นก่อน”
ทุกคนเห็นกับตาว่าเบื้องหน้าเกิดแสงสว่างวูบวาบ
แล้วไป๋ไห่ชินกับติงซานฉือก็ใช้วิชาตัวเบากลับมานั่งอยู่บนเก้าอี้ของตนเองด้วยความรวดเร็วราวภูตผี
“ผู้ชนะของบททดสอบนี้ คือหลินเป่ยเฉิน”
เฒ่าทะเลไม่สนใจเฉาพั่วเถียนอีกต่อไปแล้ว ในสายตาของเขาตอนนี้ มีแต่เพียงหลินเป่ยเฉินผู้เดียวเท่านั้น ชายชรายื่นแหวนสีเขียวเข้มให้กับเด็กหนุ่มพร้อมกล่าวว่า “ยินดีด้วย เจ้ามีความสามารถทัดเทียมฟ้าดิน การที่เจ้าสามารถใช้กระบวนท่าสูงสุดอย่างกระบี่สลายสายน้ำได้ ทำให้ข้าประทับใจในตัวเจ้าเหลือเกิน”
“ผู้อาวุโสชื่นชมข้าน้อยมากเกินไปแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นอ่อนน้อมถ่อมตนทันที “ถึงความจริงข้าน้อยจะมีพรสวรรค์ หน้าตาหล่อเหลา ฉลาดเป็นกรด แถมยังน่ารักที่สุดในปฐพี แต่การที่ข้าน้อยสามารถใช้กระบวนท่าสูงสุดในวิชาของผู้อาวุโสได้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่บุญวาสนานำพาทั้งสิ้นขอรับ”
คำชื่นชมจากชายชราทำให้หลินเป่ยเฉินในขณะนี้กลายเป็นกระต่ายน้อยไร้พิษภัยไปเสียแล้ว
นั่นเป็นเพราะเด็กหนุ่มพอเดาได้ ว่าชายชราผมเขียวมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา
เพราะไม่ใช่คนทั่วไปจะนำแหวนเก็บของมาเป็นของรางวัลได้เช่นนี้ อีกอย่าง ไม่มีใครกล้าทำเสียงแข็งใส่ผู้ที่มีสถานะเป็นหนึ่งในยอดมือกระบี่จากเมืองไป๋หยุนอย่างไป๋ไห่ชินได้เหมือนชายชราคนนี้อีกแล้ว
“ฮ่าๆๆๆ…”
เฒ่าทะเลระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความโล่งใจ
เขามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความพินิจพิเคราะห์มากขึ้น ยิ่งมองก็ยิ่งยิ้มกว้างด้วยความปลื้มปริ่ม
“เจ้าหนู ข้าจะบอกความจริงให้นะ ข้ามาจากเกาะตงหลิว มันเป็น 1 ใน 3 เกาะศักดิ์สิทธิ์จากมหาสมุทรใหญ่ เจ้าอยากมาเป็นลูกศิษย์ของข้าหรือไม่?” ชายชราถามออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย “หากเจ้ายอมเป็นลูกศิษย์ของข้า ในอนาคต เจ้าจะได้มีโอกาสสืบทอดบัลลังก์เทพเจ้าบนเกาะตงหลิว นี่คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่เจ้าจะหาไม่ได้อีกแล้ว”
“หืม? ใจคอจะแย่งลูกศิษย์ต่อหน้าอาจารย์เลยเหรอเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินอดตกตะลึงไม่ได้แล้วจริงๆ
เมื่อวิเคราะห์จากอากัปกิริยาเบิกตาโตของบรรดามือกระบี่ดาวรุ่งโดยรอบ ประกอบกับเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจจากกลุ่มมือกระบี่อาวุโส หลินเป่ยเฉินก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าสถานะของเกาะศักดิ์สิทธิ์ในทะเลเป่ยไห่จะต้องสูงส่งมากแน่นอน และสิ่งที่เรียกว่าบัลลังก์เทพเจ้าก็เป็นอะไรที่ฟังแล้วดึงดูดใจชะมัด
ขอเพียงเขาพยักหน้า ชีวิตของหลินเป่ยเฉินก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล
“อุ๊วะฮ่าๆๆๆ”
ไป๋ไห่ชินพลันระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
เขาหันไปมองหน้าติงซานฉือ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใยหลินเป่ยเฉินอย่างเสแสร้งแกล้งดัด “หลินเป่ยเฉิน เจ้าอาจไม่รู้ว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 ในทะเลเป่ยไห่หมายถึงอะไร ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังก็แล้วกัน เกาะตงหลิวเป็น 1 ใน 3 เกาะศักดิ์สิทธิ์ มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานหลายพันปี เป็นเกาะที่มีอยู่ตั้งแต่จักรพรรดิผู้ก่อตั้งยังไม่สร้างจักรวรรดิเป่ยไห่ขึ้นมาด้วยซ้ำ แค่เจ้าพยักหน้าเท่านั้น เจ้าก็จะกลายเป็นผู้ที่อยู่เหนือกฎหมายของจักรวรรดิโดยทันที”
เฒ่าทะเลได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้ากล่าวเสริมว่า “ถูกต้อง เกาะตงหลิวขึ้นชื่อเรื่องการฝึกวิทยายุทธ์ที่สุดในมหาสมุทรใหญ่ ที่นั่นมีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 3,000 ปี นับได้ว่ายาวนานยิ่งกว่าจักรวรรดิเป่ยไห่ของเจ้าเสียอีก หลินเป่ยเฉิน เจ้าจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าติงซานฉือ
อาจารย์ชรายิ้มตอบกลับมาด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ทำตามหัวใจของเจ้าเถอะ”
หลังจากนั้น จึงได้กล่าวเสริมต่อว่า “หลินเป่ยเฉิน ข้าเป็นเพียงอาจารย์สอนหนังสือของเจ้าเท่านั้น ไม่ได้เป็นอาจารย์สอนวิทยายุทธ์ให้แก่เจ้า ดังนั้น เจ้าไม่ต้องลำบากใจ จงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดกับตัวเจ้าเองเถอะ”
3 ปีที่แล้ว เขาก็เคยพูดประโยคเดียวกันนี้กับเฉาพั่วเถียน
หลังเสแสร้งแกล้งทำเป็นลำบากใจอยู่นานสองนาน สุดท้าย เฉาพั่วเถียนก็ตัดสินใจหันไปเป็นลูกศิษย์ไป๋ไห่ชิน
เหตุการณ์นั้นทำให้ติงซานฉือเจ็บปวดใจเสมอมา
ค่ำคืนนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะต้องพูดประโยคเดียวกันนี้กับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง
เมื่อเทียบกับเฉาพั่วเถียนที่เขาฟูมฟักมาตั้งแต่เริ่มต้น เจ้าแกะดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าติงซานฉือขณะนี้ แทบไม่ได้ผูกพันอะไรกับเขาเลย พวกเขาเพิ่งจะเริ่มเรียนวิชากระบี่ด้วยกันอย่างจริงจังไม่ถึง 1 เดือนที่แล้วนี่เอง
หากหลินเป่ยเฉินตัดสินใจจากไป ติงซานฉือก็ไม่เสียใจแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำ เขากลับรู้สึกยินดีแทนเด็กหนุ่มอีกต่างหาก
เพราะถ้าหลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นลูกศิษย์ของเกาะตงหลิว เด็กหนุ่มก็จะแก้ไขปัญหาวิกฤติชีวิตที่กำลังพบเจออยู่ในขณะนี้ได้ แม้แต่ปัญหาของตระกูลหลินก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้อีกแล้วเช่นกัน
ทุกคนรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินควรตัดสินใจอย่างไร