บทที่ 123 ไม่อายปากบ้างหรือไง
เป็นครั้งแรกที่ไป๋ไห่ชินรู้สึกได้ว่าติงซานฉือเปลี่ยนแปลงไปเหมือนเป็นคนละคน
ไป๋ไห่ชินมองเห็นติงซานฉือคนเดิมเมื่อ 16 ปีที่แล้วกลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
หลิงจุนเซวียนกับชินหลันซูสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณแกร่งกล้าที่แผ่ออกมาจากร่างกายของติงซานฉือ ราวกับว่าจุกขวดที่ปิดผนึกพลังงานได้ถูกเปิดออก มันเป็นรัศมีของมือกระบี่ที่สามารถทำลายโลกได้ทั้งใบ แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น รัศมีกดดันก็หายวับไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในงานเลี้ยงขณะนี้
คำพูดของหลินเป่ยเฉินกระแทกจิตกระแทกใจติงซานฉืออย่างใหญ่หลวง
แต่เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าเขาจะทำให้อาจารย์ตาสว่างได้สักแค่ไหน
หลินเป่ยเฉินจึงกล่าวต่อไปอย่างไม่ลดละความพยายาม
“คืนความยุติธรรมให้กับคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม คนดีเท่านั้นจึงสมควรได้รับการทำดีตอบแทน สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่มือกระบี่ทุกคนควรทำตาม พวกเรามีแต่ต้องแก้แค้นให้สาสมกับลูกศิษย์ที่สามารถหักหลังอาจารย์ได้อย่างใจดำอำมหิต เพราะฉะนั้น ข้าหลินเป่ยเฉินคนนี้ จะไม่ขอกราบผู้อื่นเป็นอาจารย์อีกเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้ว มันไม่เท่ากับข้ากระทำผิดหลักการของตัวเองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพูดจบ ก็หันกลับไปโค้งคำนับให้กับเฒ่าทะเล พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมว่า “ข้าน้อยขอขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับความเมตตา แต่บัดนี้ ข้าน้อยมีอาจารย์ที่ดีอยู่แล้ว ต้องขออภัยด้วยที่ข้าน้อยไม่สามารถทิ้งอาจารย์ของข้าไปได้เด็ดขาด”
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินรู้สึกอยากเขียนบทกวีเหลือเกิน…
“แต่เปลี่ยนเป็นร้องเพลงดีกว่ามั้ง รู้ตัวว่าคนที่มาทีหลัง ไม่มีสิทธิ์หวังเป็นคนที่หนึ่ง เป็นแค่ความลึกซึ้ง ที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง…”
ความผิดหวังปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเฒ่าทะเล
เขามีมาตรฐานในการเลือกรับลูกศิษย์สูงมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ป่านนี้เฒ่าทะเลคงมีลูกศิษย์มากมายล้นแผ่นดินแล้ว
ด้วยความสามารถของหลินเป่ยเฉิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กหนุ่มมีคุณสมบัติดีพอ ที่จะเป็นลูกศิษย์ซึ่งเฒ่าทะเลกำลังตามหา
แต่การตัดสินใจของหลินเป่ยเฉิน ยิ่งทำให้เฒ่าทะเลมองเด็กหนุ่มคนนี้ด้วยความชื่นชมมากกว่าเดิม
“เจ้าช่างเป็นเด็กดีนัก”
ชายชราตบไหล่หลินเป่ยเฉิน พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้อเสนอของข้าจะคงอยู่ตลอดไป หากวันไหนที่จักรวรรดิเป่ยไห่ไม่ต้อนรับเจ้าอีกแล้ว ขอให้เจ้าเดินทางมาหาข้าที่เกาะตงหลิวได้ตลอดเวลา”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ทีนี้ก็มีแผนสำรองแล้วโว้ย
เด็กหนุ่มรีบคำนับขอบคุณชายชรา
เมื่อเหตุการดำเนินมาถึงจุดนี้ บททดสอบส่วนที่สองก็เป็นอันสิ้นสุดลง
หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ชนะบททดสอบส่วนแรกและส่วนที่สองเพียงผู้เดียว ตำแหน่งผู้ชนะในการประลองมือกระบี่รุ่นเยาวชนค่ำคืนนี้ เรียกได้ว่าอยู่ในกำมือของเขาแล้ว
เฉาพั่วเถียนจ้องมองหลินเป่ยเฉินเหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อ
เจ้าแกะดำไม่เพียงเอาชนะเขาได้สองครั้งติดกันเท่านั้น แต่มันยังทำลายภาพลักษณ์ของเขาไม่เหลือชิ้นดี ในขณะนี้ เฉาพั่วเถียนไม่กล้าเงยหน้าสบตามองผู้ใดแล้วด้วยซ้ำ
“ฮ่าฮ่า! ไม่คิดเลยนะว่าอายุเพียงเท่านี้ เจ้าจะแผนสูงไม่ใช่เล่น” ไป๋ไห่ชินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะจ้องมองหลินเป่ยเฉินไม่วางตา
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “ข้าน้อยเป็นเพียงตัวโง่งมคนหนึ่ง ไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านกำลังพูดหรอกขอรับ”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตนเองและหยิบแหวนเก็บของสีเขียวเข้มออกมาสำรวจดู
ไม่นาน เขาก็รู้วิธีใช้งาน
รูปแบบการใช้งานแหวนเก็บของไม่ต้องพึ่งพาพลังลมปราณ แต่สิ่งที่ต้องใช้คือพลังจิต
เมื่อปล่อยคลื่นพลังจิตเข้าไปในตัวแหวนแล้ว หลินเป่ยเฉินก็มองเห็นพื้นที่ด้านในขนาดเท่ากับตู้เย็นตู้หนึ่ง ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับใช้เก็บสิ่งของ
สามารถนำดาบและกระบี่ทั้ง 3 เล่มเข้าไปเก็บไว้ได้พอดี
เกิดแสงสว่างวูบวาบ
ดาบศีลธรรม กระบี่โดรานและมีดเจิ้งอี้ที่อยู่ติดกับตัวของเขา เดี๋ยวหายวับ เดี๋ยวปรากฏกลับมาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เหอๆ สนุกเหมือนกันแฮะ”
หลินเป่ยเฉินแกล้งทำเป็นเก็บอาวุธเข้าๆ ออกๆ ด้วยความเห่อแหวนเก็บของอยู่อย่างนั้น
ไป๋ชินหยุนกลอกตาหันไปมองหน้าหลินเป่ยเฉิน ก่อนที่จะมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายรอบ แม้ส่งเสียงกระแอมไอหลายครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ไม่สนใจนางเลยสักนิด เด็กสาวทนไม่ไหว จึงต้องขยับตัวเข้าไปกระซิบว่า “คำพูดเมื่อสักครู่นี้ เจ้าคิดเองหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองเด็กสาว แล้วตอบ “ต้องคิดเองอยู่แล้วสิ เจ้าไม่เชื่อหรือไง? ไม่ใช่ว่าเจ้าก็เห็นด้วยกับหลักการของข้าหรือ?”
ไป๋ชินหยุนหัวเราะในลำคอ ก่อนสะบัดหน้าหนี
ณ โต๊ะอาหารของเจ้าภาพงานประลอง
ผู้ว่าการหลิงจุนเซวียนจ้องมองหลินเป่ยเฉินเกือบตลอดเวลา จนกระทั่งชินหลันซูต้องใช้ข้อศอกกระทุ้งเขาถึงรู้สึกตัว และกระซิบออกมาน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา”
ชินหลันซูพูดโดยใช้พลังจิตว่า “ข้าไม่คิดเลยว่าบุตรชายของขุนนางนักรบสวรรค์จะมีฝีมือแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ท่านว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินแกล้งทำตัวโง่งมมาตลอด หรือว่าเขาโง่จริงๆ กันแน่?”
หลิงจุนเซวียนตอบว่า “เรื่องนั้นข้าก็ไม่อาจทราบได้ แต่ท่านขุนนางนักรบสวรรค์คงไม่ได้แกล้งออกตามหาหมอยานับสิบปี เพื่อมารักษาลูกชายของเขาแน่ๆ แต่หลังจากที่ตระกูลหลินล่มสลาย อยู่ดีๆ เด็กคนนี้ก็มีฝีมือเก่งกาจขึ้นมาอย่างน่ามหัศจรรย์…บางที…” ผู้ว่าการหนุ่มนึกถึงความเป็นไปได้ สีหน้าก็เกิดความตกตะลึงชัดเจน “บางทีเด็กคนนี้อาจวางแผนแกล้งหลอกท่านขุนนางนักรบสวรรค์มาตลอดเลยก็ได้”
ชินหลันซูส่ายหน้า
เป็นไปไม่ได้ หลินเป่ยเฉินไม่สามารถเสแสร้งตอนที่ยังเป็นเด็กแบเบาะแบบนั้นได้เด็ดขาด
“ไม่ว่าเขาจะแกล้งทำหรือไม่ แต่ด้วยระดับฝีมือขนาดนี้ ต่อให้ฝึกวิชาตั้งแต่อายุ 3 – 4 ขวบ ก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ”
หรือว่านี่จะเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายที่ขุนนางนักรบสวรรค์หลินจินหนานทิ้งเอาไว้?
หลายความคิดวาบขึ้นมาในสมองของชินหลันซู นางต้องยอมรับเลยว่าสำหรับกับเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน หลินเป่ยเฉินจัดเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปร่างหน้าตา ความสามารถ หรือลักษณะนิสัย บัดนี้นางไม่นึกกล่าวโทษบุตรสาวตัวเองอีกแล้วที่หลงรักเด็กหนุ่มคนนี้
แต่ปัญหาก็คือ หลินเป่ยเฉินยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาประจำตัวของหลิงเฉินได้อยู่ดี
ชินหลันซูสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตนเอง และกลับมาตั้งสติอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
ไม่นานต่อมา หลิงจุนเซวียนก็หันไปพยักหน้าส่งสัญญาณกับหลีลั่วหรัน ซึ่งรับหน้าที่ดำเนินงานประลองส่วนสุดท้ายของมือกระบี่รุ่นเยาวชนต่อไป
นั่นคือการประลองกระบี่
การประลองกระบี่ครั้งนี้ แตกต่างจากการประลองกระบี่ด้วยวิชากระบี่สายน้ำไหลเมื่อรอบที่แล้ว เพราะการประลองกระบี่ในรอบนี้ สามารถใช้วิชากระบี่ได้ทุกแขนงตามที่ผู้ร่วมประลองร่ำเรียนมา มือกระบี่รุ่นเยาวชนชายหญิงกลุ่มนี้ จึงสามารถแสดงออกถึงฝีมือของตนเองได้เต็มที่ไม่จํากัดกระบวนท่า
และมีกฎเพียงข้อเดียวเท่านั้น…
การต่อสู้ต้องหยุด เมื่อถูกสั่งให้หยุด
“หลินเป่ยเฉิน ข้าขอท้าเจ้า”
เฉาพั่วเถียนอดทนรอให้ถึงเวลานี้ไม่ไหวแล้ว เขารีบลุกขึ้นยืนทันที
เด็กหนุ่มเชื่อมั่นสุดหัวใจว่า ถ้าไม่ต้องใช้เพียงวิชากระบี่สายน้ำไหล ด้วยระดับฝีมือของตนเองในตอนนี้ จะอย่างไรก็ต้องเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้อย่างแน่นอน
ในที่สุด เขาก็มีโอกาสแก้แค้นแล้ว
“ไม่ดีกว่า ข้าไม่อยากสู้กับเจ้า”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธคำท้าโดยไม่ลังเล
เขาไม่ใช่คนโง่
เขายังไม่อยากแสดงฝีมือมากเกินไป
บัดนี้ เขาเป็นผู้ชนะจาก 2 ใน 3 บททดสอบแรกเรียบร้อยแล้ว
ที่หลินเป่ยเฉินพยายามทั้งหมด ก็เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงให้แก่อาจารย์ติง
ภารกิจของเขาลุล่วงเรียบร้อยดีแล้ว
แต่ที่สำคัญก็คือ หลินเป่ยเฉินรับทราบฝีมือของตนเองดี หากให้ต่อสู้โดยสามารถใช้วิชากระบี่ได้ไม่จำกัด อย่าว่าแต่เฉาพั่วเถียนเลย ต่อให้เป็นเสว่เหยียน ซ้งเชวอี้ หรือว่าหมิงลั่วเถียน เขาก็สู้ไม่ได้ทั้งนั้น ที่พอจะสามารถต่อสู้ได้อย่างสูสีหน่อยก็คงจะเป็นตงฟางจัน ถ้าจะให้สู้กับเฉาพั่วเถียน มันก็คงเป็นการออกไปทรมานตนเองเสียเปล่าๆ จึงไม่มีเหตุผลเลยที่หลินเป่ยเฉินต้องรับคำท้าในครั้งนี้
“ว่าไงนะ? จะ…เจ้าไม่ยอมรับคำท้าอย่างนั้นหรือ?”
เฉาพั่วเถียนคำรามออกมาด้วยความไม่พอใจ “อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัวข้า?”
แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินต้องกลัวอยู่แล้ว
แต่เขาไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด
“ฉันอยากยั่วโมโหนายว่ะ ฉันอยากเห็นหน้านายตอนที่รู้ว่าสามารถจัดการฉันได้ง่ายๆ แต่กลับไม่มีปัญญาทำอะไรฉันได้เลยต่างหาก”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ก่อนตอบว่า “เจ้าคิดว่าข้าสมควรกลัวคู่ต่อสู้ ที่เพิ่งจะพ่ายแพ้ข้ายับเยินไหมล่ะ? เจ้าไม่มีคุณสมบัติมากพอจะมาประลองกับข้าต่างหาก”
เฉาพั่วเถียนใบหน้ากระตุกด้วยความโกรธแค้นแทบตายแล้ว
“เดี๋ยวข้าจัดการเอง” เสว่เหยียนเดินออกมาข้างหน้าและกล่าวว่า “หลินเป่ยเฉิน ข้าขอท้าเจ้า เรามาสู้กัน”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “หากเจ้าอยากสู้กับข้า เจ้าก็ต้องเอาชนะเขาให้ได้ก่อน” หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ยกมือชี้ไปที่เฉาพั่วเถียน
“ว่าไงนะ”
เฉาพั่วเถียนกับเสว่เหยียนร้องอุทานออกมาด้วยความเดือดดาล
“พูดออกมาได้ เจ้าไม่อายปากบ้างหรือไง?”