บทที่ 127 ลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่คือที่ไหน
พลังลมปราณถาโถมหนาแน่น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนมีภูเขาทั้งลูกกดทับลงมาที่ศีรษะ ด้วยแรงกดดันมหาศาลขนาดนี้ มันก็ทำให้เขาขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้อีกแล้ว เด็กหนุ่มทำได้เพียงเฝ้ามองพลังฝ่ามือของมือกระบี่หน้าโหดพุ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“แย่แล้วสิ”
หลินเป่ยเฉินอุทานอยู่ในใจ
นี่คือการโจมตีที่เขาไม่อาจต้านรับได้เลย
แต่โชคดีที่ในจังหวะเดียวกันนี้ ติงซานฉือก็เคลื่อนไหวแล้ว
อาจารย์ชราพริ้วกายเหมือนหมอกควันสีน้ำเงิน ตรงเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน พร้อมกันนั้นก็ยื่นนิ้วมือแทงขึ้นไปในอากาศ เกิดเป็นมวลพลังงานรูปทรงกระบี่ไฟฟ้าสามแฉกแลบแปลบปลาบโจมตีใส่ไป๋ไห่ชิน
แต่ใครจะคิดเลยว่าไป๋ไห่ชินกลับไม่หลบหลีกแม้แต่น้อย
เพราะในจังหวะที่มวลพลังงานไฟฟ้ากำลังจะถึงตัวเขานั้นเอง เงาร่างสองสายก็ปรากฏกายขึ้นสลายคลื่นพลังเหล่านั้นทิ้งไป
“อาจารย์ติง ใจเย็นก่อน”
“ท่านกำลังทำผิดกฎ”
“อาจารย์ไป๋เพียงต้องการปกป้องลูกศิษย์ของเขาเท่านั้น”
เจ้าของเงาร่างทั้งสองนั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มมือกระบี่อาวุโส และหนึ่งในสองก็ถึงกับเป็นอาจารย์ของหมิงลั่วเถียนด้วยซ้ำ
มองจากด้านหลัง เห็นได้ชัดเลยว่าความเร็วของติงซานฉือลดน้อยลงไปแล้ว
ในหัวหลินเป่ยเฉินขณะนี้มีแต่คำว่า ‘อันตราย’ ลอยอยู่เต็มไปหมด
การโจมตีด้วยฝ่ามือเมื่อสักครู่นี้สามารถสลายร่างกายเขาแหลกเละได้แน่นอน
ไป๋ไห่ชินมีเจตนาอำมหิต หมายสังหารเขาให้ตกตายไม่ยั้งมือ
มือกระบี่หน้าโหดย่อมไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของลูกศิษย์สุดที่รักได้เด็ดขาด เขาเตรียมการคืนนี้มาเนิ่นนาน ไม่มีทางที่ผู้ชนะการประลองจะไม่ใช่เฉาพั่วเถียน
อีกอย่าง ไป๋ไห่ชินไม่มีทางปล่อยให้ติงซานฉือมีลูกศิษย์ฝีมือเยี่ยมอีกคนแน่นอน
เพราะฉะนั้น มือกระบี่หน้าโหดจึงวางแผนเอาไว้แล้ว เขาแอบนัดแนะกับมือกระบี่อาวุโสที่เป็นพรรคพวก ให้คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของติงซานฉือล่วงหน้า
แผนการถูกวางอย่างรัดกุมหมดทุกด้าน
ไป๋ไห่ชินคำรามอยู่ในใจว่า “ตายซะเถอะ”
มือกระบี่หน้าโหดจ้องมองหลินเป่ยเฉินที่กำลังจะต้องตกตายด้วยพลังลมปราณจากฝ่ามือของเขา
แต่แล้วในทันใดนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป…
มือที่ขาวผ่องเป็นยองใยข้างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นข้างกายหลินเป่ยเฉิน พลังลมปราณพวยพุ่งออกมาจากมือข้างนั้น สลายพลังการโจมตีจากไป๋ไห่ชินได้อย่างปราศจากปัญหาใดๆ
ฝ่ามือพันบุปผา!
หลิงเฉิน!
สองคำนี้ผุดขึ้นมาในสมองของหลินเป่ยเฉิน
ถูกต้อง
ผู้ที่มาช่วยเขาคือหลิงเฉินจริงๆ
เทพธิดาอันดับหนึ่งประจำเมืองหยุนเมิ่งเฝ้าดูการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ในที่สุด นางก็อดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือไม่ได้เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินตกอยู่ในอันตราย
นอกจากติงซานฉือแล้ว นับว่าหลิงเฉินเป็นคนที่ลงมือรวดเร็วที่สุด ขณะนี้นางมายืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินโดยที่ทุกคนไม่ทันรู้ตัว
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
พลังลมปราณระเบิดกึกก้องกัมปนาทอยู่เหนือศีรษะของเด็กหนุ่ม
แรงระเบิดแผ่รัศมีไปรอบบริเวณ
“กอดข้าเอาไว้ให้แน่นๆ”
เสียงของหลิงเฉินดังขึ้นข้างหูหลินเป่ยเฉิน
“ยัยนี่หาโอกาสแต๊ะอั๋งฉันอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินโอบแขนเข้ากับเอวคอดกิ่ว แนบกายซบร่างอรชนนุ่มนิ่มไม่ลังเล
เปรี้ยง!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินกับหลิงเฉินกอดกันกลิ้งไปบนพื้นหญ้า
“น้องเล็ก”
“เฉินเอ๋อร์”
เสียงที่แสดงออกถึงความตกใจดังขึ้นรอบกายพร้อมๆ กัน
ท่ามกลางม่านหมอกควันจากแรงระเบิด หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีจอมยุทธ์ระดับพลังแข็งแกร่งหลายคนกำลังยืนอยู่รอบกาย ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ เขาอาศัยฟังจากเสียงรอบตัว
เด็กหนุ่มตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว รีบปล่อยมือออกจากเอวของหลิงเฉิน พยายามม้วนตัวหนีออกมา
มันคงไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ดีนัก หากเขาจะนอนกอดสตรีในที่สาธารณะ
แต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อเขาปล่อยมือออกจากเอวของหลิงเฉิน มือของนางกลับยื่นเข้ามาโอบรัดเขาเอาไว้ยิ่งกว่าเถาวัลย์ไม้เลื้อยเสียอีก
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินตั้งตัวไม่ทัน
การบดเบียดกันในระยะประชิด ทำให้ร่างกายของเขาเริ่มเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาแล้ว
ตอนนั้นเอง ที่เสียงกระซิบของหลิงเฉินดังขึ้นข้างหูว่า “เห็นไหมล่ะ ถึงมีหน้าอกใหญ่ขนาดไหน แต่นางก็ช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้สักหน่อย”
หลังจากนั้น นางถึงได้ผลักเขาออกมา
เด็กหนุ่มและเด็กสาวแยกออกจากกัน
เงาร่างห้าสายทิ้งตัวลงมายืนอยู่ข้างกายพวกเขา
สี่ในห้านั้นแยกไปยืนอารักขาหลิงเฉิน
สี่คนนั้นประกอบไปด้วยหลิงจุนเซวียน ชินหลันซู หลีลั่วหรันและหลิงอู๋
คนเดียวที่ยืนอยู่ข้างหลินเป่ยเฉินคือฉู่เหิน
ไม่น่าเชื่อเลยว่าอาจารย์หัวหน้าชั้นปีที่ 2 จะมีความรวดเร็วถึงเพียงนี้
“ไม่เป็นไรใช่ไหม เจ้าหนู?”
ฉู่เหินไม่ต่างจากบิดาที่เห็นบุตรชายของตนเองได้รับบาดเจ็บ
“ข้าน้อยไม่เป็นไรขอรับ”
ตอนที่ตอบ เด็กหนุ่มก็หันไปมองทางหลิงเฉิน
นอกจากทรงผมเสียทรงเล็กน้อยแล้ว เด็กสาวก็ยังมีสีหน้าเป็นปกติดี ไม่มีท่าทีว่าได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
นั่นแหละ หลินเป่ยเฉินถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แต่หลังจากนั้น ความคิดอย่างหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวว่า…
ทำไมยัยนี่ถึงมีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้วะเนี่ย?
เมื่อสักครู่ นางถึงกับสามารถสลายการโจมตีของไป๋ไห่ชินได้อย่างง่ายดาย
วูบ!
ติงซานฉือทิ้งตัวลงมายืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินแล้วเช่นกัน
อาจารย์ชรามีดวงตาเป็นประกายแวววาวดุดัน เขาสำรวจมองเด็กหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้รับบาดเจ็บจริงๆ จากนั้นจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และหันขวับไปจ้องมองไป๋ไห่ชินด้วยแววตาเย็นยะเยียบ
ห่างออกไป 5 วา
ไป๋ไห่ชินยืนประคองเฉาพั่วเถียนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ในอ้อมแขน
ฝุ่นตลบในอากาศ
บรรดามือกระบี่ดาวรุ่งที่อยู่โดยรอบเริ่มกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง แต่ทันใดนั้น สติสัมปชัญญะของพวกเขาก็ต้องกลับมาเครียดเขม็งขึ้นอีกหน
ไม่นะ
เรื่องราวยังไม่จบ
“อายุเพียงเท่านี้ จิตใจเจ้าช่างอำมหิตนัก คืนนี้เป็นเพียงการประลองฝีมือ เหตุไฉนเจ้าต้องโจมตีให้ถึงตายด้วย” ไป๋ไห่ชินถลึงตาจ้องมองหลินเป่ยเฉิน แล้วกล่าวต่อ “บุคคลที่มีจิตใจชั่วช้าสามานย์อย่างเจ้า ข้าไม่มีทางให้อภัยเด็ดขาด”
เฮ้ย!
แต่ลุงเป็นฝ่ายโจมตีใส่ผมก่อนไม่ใช่เหรอ
หลินเป่ยเฉินอยากจะโต้ตอบกลับไปเช่นกัน แต่ติงซานฉือก็วางมือเอาไว้บนบ่า เป็นสัญญาณบอกไม่ให้เขาพูดอะไร
หลังจากนั้น อาจารย์ชราก็กล่าวว่า “หากเขามีเจตนาคิดสังหารจริงๆ คมกระบี่คงแทงเข้าไปที่หน้าอกฝั่งซ้ายมือแล้ว ไม่ใช่ฝั่งขวาอย่างนี้”
หากคมกระบี่แทงทะลุหน้าอกฝั่งซ้ายมือ ก็จะต้องแทงทะลุหัวใจ
เป็นการโจมตีเข้าจุดตาย
ต่อให้มียาวิเศษที่สุดในโลก ก็ไม่สามารถเยียวยารักษาได้อีก
การแทงกระบี่ใส่หน้าอกฝั่งขวา ทำให้ได้รับบาดเจ็บเบาบางมากกว่ากันหลายเท่านัก
ไป๋ไห่ชินกัดฟันกรอด แล้วตอบว่า “เฮอะ ยังไงก็ช่างเถอะ ข้าขอประท้วงให้การประลองยุติลงเพียงเท่านี้ หลินเป่ยเฉินลงมือโจมตีด้วยจิตใจสกปรก ติงเล่ย รีบส่งตัวลูกศิษย์ของเจ้าออกมาดีกว่า พวกเราจะช่วยกันลงโทษเด็กคนนี้ให้สาสม”
พูดจบ มือกระบี่หน้าโหดก็ประคองเฉาพั่วเถียนลงนั่ง
เฉาพั่วเถียนกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเกือบทำให้เขาหมดสติลงแล้ว เด็กหนุ่มมือเย็นเท้าเย็นดวงตาเหม่อลอย ร่างกายอ่อนระโหยโรยแรง ไม่สามารถหยิบกระบี่ขึ้นมาต่อสู้ได้อีก
“การโจมตีของเป่ยเฉินไม่ได้ทำให้เฉาพั่วเถียนเสียชีวิต หมายความว่าเขาไม่ได้มีเจตนาสังหารคู่ต่อสู้ตั้งแต่แรก”
ติงซานฉือตอบเน้นเสียงหนักแน่น
“หมายความว่าอย่างไรกัน?” ไป๋ไห่ชินคำรามกลับมาด้วยความเดือดดาล “นี่เจ้าคิดจะปกป้องฆาตกรคนนี้หรือ?”
ติงซานฉือกล่าวว่า “ถอนคำพูดของเจ้าเดี๋ยวนี้ ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ผู้ใดที่เข้ามาแตะต้องลูกศิษย์ของข้า มันจะต้องตายสถานเดียว”
“ฮ่าๆๆๆ…ช่างโอหังนัก!”
ไป๋ไห่ชินเงยหน้ามองท้องฟ้าและระเบิดเสียงหัวเราะ “แต่ข้าเกรงว่าการตัดสินใจเรื่องนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าสักหน่อย”
“ถูกต้องแล้ว อาจารย์ติง ลูกศิษย์ของท่านมีจิตใจสกปรกมากเกินไป เขาลงมือใส่คู่ประลองรุนแรงเกินจำเป็น เพราะฉะนั้น จึงสมควรถูกลงโทษ” หลู่เจิงเต๋า มือกระบี่อาวุโสจากเมืองชิงเฟิง เดินลูบเคราออกมาข้างหน้าพลางพูดอย่างเชื่องช้า
หมิงหยวนซานกล่าวว่า “มิผิด เป็นเพียงเด็กน้อยยังจิตใจอำมหิตถึงขั้นนี้ แล้วภายภาคหน้าเขาจะร้ายกาจขนาดไหน?”
ชายชราคนนี้มีฐานะเป็นปู่ของหมิงลั่วเถียน
แล้วมือกระบี่อาวุโสหลายคน ก็เริ่มออกหน้าพูดเข้าข้างไป๋ไห่ชินตามๆ กัน
“ดูเหมือนการที่ข้าไม่ได้สู้มานาน คนบางคนคงลืมความหมายของคำว่า ‘เซียนกระบี่’ ไปแล้วกระมัง”
ดวงตาของติงซานฉือเป็นประกายเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เหล่ามือกระบี่อาวุโสก็ส่งเสียงหัวเราะเยาะหยัน “อะไรกัน? ท่านคิดข่มขู่พวกเราแล้วหรือ?”
หมิงหยวนซานพูดพร้อมกับยิ้มแย้ม “อาจารย์ติง ท่านลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่คือที่ไหน”
แต่ก่อนที่ชายชราจะพูดจบประโยค
“ข้าคิดว่าท่านก็คงลืมไปแล้วเช่นกันว่าที่นี่คือที่ไหน”
เสียงเล็กๆ ของเด็กสาวดังขึ้นอย่างเย็นชา
แม้ว่าผู้คนรอบตัวจะพยายามห้ามปราม แต่หลิงเฉินก็ยังสะบัดหลุดเดินออกมาข้างหน้า
เทพธิดายอดอัจฉริยะเดินเข้ามาหยุดยืนเคียงข้างหลินเป่ยเฉิน ดวงตาของนางคมกริบยิ่งกว่าคมกระบี่ยามกวาดมองผู้อาวุโสทีละคน จากนั้น หลิงเฉินก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกท่านคิดลงโทษคนรักของข้า ได้ขออนุญาตข้าแล้วหรือยัง?”
น้ำเสียงของเด็กสาวทรงพลังยิ่งนัก