บทที่ 129 กระบวนท่าเดียวตัดสินผลแพ้ชนะ
รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋ไห่ชิน
ตาแก่ฝีมือไม่เอาไหนที่พ่ายแพ้เขามาครั้งแล้วครั้งเล่าในรอบหลายปี กล้าดีอย่างไรถึงกับเอ่ยคำท้าทายออกมา?
ไป๋ไห่ชินมั่นใจว่าใช้เพียงกระบวนท่าเดียวก็เอาชนะติงซานฉือได้แน่นอน
จึงไม่ได้จริงจังกับคำพูดของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่
ไป๋ไห่ชินทำเหมือนไม่ได้ยิน หันมาพูดกับหลิงจุนเซวียนว่า “ผู้ว่าการหลิง สรุปว่าท่านจะตัดสินผลแพ้ชนะการประลองรุ่นเยาวชนอย่างไร? หลินเป่ยเฉินเจตนาลงมือรุนแรง ทำให้พั่วเถียนได้รับบาดเจ็บสาหัส นับเป็นพฤติกรรมอันตราย ข้าคิดว่าพวกเราควรยกเลิกผลประลองของเขาไปซะ”
หมิงหยวนซานกล่าวว่า “ข้าเห็นด้วย”
“ข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน” หลู่เจิงเต๋าขานรับไม่รอช้า
หลังจากนั้น ผู้อาวุโสอีกหลายคนก็ส่งเสียงสนับสนุน
ฉู่เหินหัวเราะออกมาด้วยความเดือดดาล “แบบนี้คงเป็นเช่นที่โบราณเรียกว่าแพ้แล้วพาลสินะ เหอเหอ อาจารย์ไป๋ ถ้าจะเล่นกันแบบนี้ ท่านจะจัดงานประลองครั้งนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร? มิสู้จัดพิธีมอบรางวัลให้แก่เฉาพั่วเถียนไปตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องแล้ว”
“เจ้ามีนามว่าอะไรนะ?” ไป๋ไห่ชินหัวเราะในลำคอถามกลับมา
เขารู้อยู่แล้วว่าฉู่เหินเป็นใคร แต่ที่ถามออกไป ก็เพียงต้องการทำให้อีกฝ่ายอับอายขายหน้าเท่านั้น
ฉู่เหินตอบว่า “ข้าพเจ้าฉู่เหิน อาจารย์หัวหน้าชั้นปีที่ 2 จากสถานศึกษากระบี่ที่สามแห่งเมืองหยุนเมิ่ง”
“อ๋อ มิน่าเล่าเจ้าถึงพยายามปกป้องหลินเป่ยเฉินแทบตาย ที่แท้ก็เป็นเจ้าที่สอนเศษขยะคนนี้ขึ้นมานั่นเอง” ไป๋ไห่ชินเสแสร้งแกล้งทำสีหน้าประหลาดใจ แล้วกล่าวเหยียดหยามต่อไป “มีคำกล่าวไว้อาจารย์เป็นอย่างไร ลูกศิษย์ก็เป็นอย่างนั้น เจ้าเป็นเพียงอาจารย์หัวหน้าชั้นปีจากสถาบันบ้านนอก คิดอ่านทำตัวโอหัง กล้าพูดจาวางท่าใหญ่โตต่อหน้าข้าเช่นนี้เชียวหรือ?”
ฉู่เหินแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ คำรามตอบกลับไป “เฮอะ ท่านอย่าได้คิดดูถูกผู้อื่นเด็ดขาด ข้า…”
จังหวะนั้น สีหน้าของหลิงจุนเซวียนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย รีบกล่าวแทรกทันที “เอาล่ะ เลิกโต้เถียงกันได้แล้ว ตอนนี้ผลแพ้ชนะของการประลองรุ่นเยาวชนจะเป็นอย่างไรก็ช่าง รอให้การประลองของผู้อาวุโสทั้งสองท่านจบสิ้นลงเสียก่อน หลังจากนั้น เราค่อยมาตัดสินผลแพ้ชนะกันอีกทีก็ได้”
ฉู่เหินพลันมีสีหน้าขุ่นเคืองใจขึ้นมาทันที
เห็นๆ กันอยู่ว่าหลินเป่ยเฉินชนะการประลองทั้งสามบททดสอบนี้ อย่างไรก็ต้องมีคะแนนเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไป๋ไห่ชินกลับใช้ข้ออ้าง ‘เจตนาทำร้ายผู้คน’ พยายามยกเลิกผลคะแนนของเจ้าแกะดำ เท่ากับว่าแบบนี้ไป๋ไห่ชินเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังการประลองแน่แล้ว
อาจารย์ฉู่อยากจะออกหน้าช่วยเหลือลูกศิษย์ต่อไป
แต่ตอนนั้นเอง ก็ทันได้เห็นหลิงจุนเซวียนแอบหลิ่วตาส่งสัญญาณมาให้ ชายชราจึงเข้าใจว่ามีเรื่องบางอย่างที่เขายุ่งเกี่ยวไม่ได้ ดังนั้น สิ่งใดที่อยากพูดออกไป ฉู่เหินก็ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจก่อนเท่านั้น
ในขณะเดียวกันนี้ ไป๋ชินหยุนเพิ่งตั้งสติหลุดออกจากห้วงแห่งความตกตะลึงได้อีกครั้ง นางกำลังประเมินฉู่เหินด้วยมุมที่ไม่เคยมองมาก่อน
อาจารย์ฉู่ถึงกับกล้าขึ้นเสียงใส่เซียนกระบี่ไป๋ไห่ชินต่อหน้าคนจำนวนมาก ซ้ำยังมีความเร็วในการทะยานเข้าไปถึงตัวหลินเป่ยเฉินยามฉุกเฉินว่องไวน่าตะลึง
นับเป็นฝีมือที่ควรค่าต่อการเคารพอย่างยิ่ง
“ไป๋ไห่ชิน ในเมื่อคืนนี้เป็นงานประลองกระบี่ เราก็ใช้กระบี่พูดคุยแทนเจ้าของกันเถอะ”
ติงซานฉือส่งเสียงลงมาจากหลังคาอีกครั้ง
ชายชรายืนโดดเด่นเป็นสง่า ผมยาวสลวยปลิวไสวตามแรงลม เช่นเดียวกับชายเสื้อคลุมโบกสะบัด กระบี่ในมือตวัดไปมา หากไม่ใช่ว่าบัดนี้กำลังมีสีหน้าโกรธแค้นขุ่นเคืองใจ ติงซานฉือก็มีสง่าราศีเปรียบเสมือนมือกระบี่ผู้เดียวดายที่อยู่เหนือล้ำทุกผู้คน
“หากเจ้าชนะ ข้าจะเชื่อฟังเจ้า แต่หากข้าชนะ เจ้าก็ต้องเชื่อฟังข้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เสียงของติงซานฉือดังกังวานทั่วท้องฟ้ายามราตรี
ไป๋ไห่ชินชะงักวูบ จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนตัวโยน “ฮ่าฮ่าฮ่า คิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์พี่ติงจะดุร้ายถึงเพียงนี้ ไม่ทราบว่ามือกระบี่ขี้แพ้ในอดีตหายไปไหนเสียแล้ว?”
พลัน มือกระบี่หน้าโหดพริ้วกายขึ้นไปด้านบน
พริบต่อมา เขาก็ทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนยอดหลังคาจวนผู้ว่า
แต่ละเท้าที่ก้าวเดินไปบนสันหลังคา พลังลมปราณก็แผ่ออกมาจากตัวไป๋ไห่ชินหนาแน่นมากขึ้น
เขาหัวเราะในลำคอ ก่อนกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา ในเมื่อคนที่ได้รับความพ่ายแพ้ตลอด 6 ปีหลังสุดอย่างท่าน อุตส่าห์รวบรวมความกล้ามาต่อสู้กับข้าทั้งที ข้าก็จะมอบโอกาสให้ท่านได้พิสูจน์ตัวเอง และใช้กระบี่ของพวกเรา ตัดสินผลแพ้ชนะในครั้งนี้”
ทันใดนั้น มวลพลังลมปราณก็แผ่ออกมารอบทิศทาง โดยที่มีไป๋ไห่ชินเป็นจุดศูนย์กลาง
ด้วยมีพลังปราณธาตุน้ำ พลังลมปราณของไป๋ไห่ชินจึงมีสีฟ้าเหมือนน้ำทะเล พลังลมปราณที่แผ่ออกมารอบกายเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างให้อาบไล้ด้วยสีฟ้าคราม ทุกคนรู้สึกเหมือนมีท้องทะเลมาตั้งอยู่เบื้องหน้า แม้แต่แสงจันทร์สีนวลก็ถูกสีน้ำทะเลกลืนกินหายไปหมด
ทุกคนที่อยู่เป็นสักขีพยานในการประลองสัมผัสได้ว่า มวลอากาศรอบกายเย็นยะเยียบขึ้นในพริบตา เสียงคลื่นน้ำลอยมากระทบหู เฉกเช่นจวนผู้ว่าย้ายตำแหน่งที่ตั้งไปอยู่ติดชายทะเลก็ไม่ปาน
“กระบวนท่าเดียวก็ตัดสินผลแพ้ชนะได้แล้ว” ติงซานฉือพูดพร้อมกับยกกระบี่คุณธรรมในมือขึ้นชี้หน้าคู่ต่อสู้
ตัวกระบี่ที่เป็นสีดำทมิฬ ทำให้มันดูไม่มีตัวตนในความมืดมิดยามราตรี
“กระบวนท่าเดียวอย่างนั้นหรือ?”
ในดวงตาไป๋ไห่ชินปรากฏความเหยียดหยามมากขึ้นเมื่อกล่าวต่อ “ด้วยระดับพลังของท่าน แค่กระบวนท่า ‘กระบี่สามสันฐานแห่งไป๋หยุน’ ยังไม่มีปัญญาใช้ออกมาได้ นับประสาอะไรกับที่ท่านจะเอาชนะข้าด้วยกระบวนท่าเดียว? ความหมดหวังทำให้ท่านช่างน่าเวทนาเหลือเกิน”
ติงซานฉือมีสีหน้าไม่ทุกข์ไม่สุขไม่เศร้า เพียงกล่าวว่า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้”
ไป๋ไห่ชินเงยหน้าหัวเราะเสียงดังลั่น “คนไม่เอาไหนอย่างท่านทำเป็นพูดดีปากเก่ง…ค่ำคืนนี้ ข้าจะทำลายความมั่นใจที่น่าอับอายของท่านทิ้งไปให้หมด อย่าว่าแต่เมืองไป๋หยุนเลย แม้แต่ที่นี่ ท่านก็ไม่มีค่าคู่ควรยืนอยู่อีกต่อไป”
ติงซานฉือตอบว่า “ชักกระบี่ออกมา”
ไป๋ไห่ชินใช้มือขวายกกระบี่ขึ้นมาจรดหน้าอก จากนั้นจึงใช้มือซ้ายชักกระบี่ หลังจากนั้น พลังกดดันมหาศาลก็แผ่ออกมาจากตัวกระบี่ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยว่า มวลอากาศรอบกายแหวกออกเป็นเกลียวคลื่นเหมือนมีน้ำทะเลซัดสาด
นี่คือหนึ่งในกระบี่ที่น่ากลัวที่สุดใต้โลกหล้า
ความมั่นอกมั่นใจปรากฏขึ้นในแววตาไป๋ไห่ชิน
เขาได้ชื่อว่าเป็น 1 ในยอดมือกระบี่ 3 ลำดับแรกของเมืองไป๋หยุน ทุกครั้งที่ชักกระบี่ออกมายากนักที่จะพบความปราชัย ไม่ว่าก่อนหน้านี้ไป๋ไห่ชินจะแสดงกิริยาก้าวร้าวดุดันมากแค่ไหน ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะมีความมั่นใจในตนเองสักเพียงใด แต่เมื่อชักกระบี่ออกมาแล้ว นี่คือช่วงเวลาแห่งการเผชิญหน้าที่แท้จริง และผู้ที่จะสามารถคว้าชัยชนะได้ในท้ายที่สุด ก็คือผู้ที่มีความเยือกเย็นสุขุมมากที่สุดนั่นเอง
เพราะฉะนั้น บัดนี้ไป๋ไห่ชินจึงมีสีหน้าเย็นชาและมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
โลกของมือกระบี่ ไม่มีพื้นที่สำหรับคนอ่อนหัด
ไป๋ไห่ชินจับด้ามกระบี่แนบแน่น
แล้วในพริบตานั้น พลังลมปราณสีฟ้าครามที่แผ่ออกมารอบตัว ก็ดูเหมือนจะเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น มิหนำซ้ำ ในขณะนี้พลังจากมือของเขาได้ถ่ายทอดเข้าไปสู่ตัวกระบี่ จนทำให้มันกลายเป็นกระบี่สีฟ้าครามไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นเข้าอย่างนี้ หัวใจของหลินเป่ยเฉินก็เต้นรัวเร็วด้วยความลุ้นระทึก
แย่แล้ว
นี่มันพลังระดับยอดปรมาจารย์
มือกระบี่หน้าโหดสามารถถ่ายเทพลังลมปราณเสริมความแข็งแกร่งให้อาวุธคู่กายได้สำเร็จ!
ความสามารถเช่นนี้ มีแต่ผู้ที่พลังเหนือกว่าขั้นปรมาจารย์เท่านั้นถึงทำได้
นั่นหมายความว่า ไป๋ไห่ชินมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว!
สำหรับบุคคลทั่วไป ผู้ที่สามารถฝึกวิชาจนก้าวขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ได้นั้น แทบจะไม่แตกต่างไปจากเทพเซียนเลยทีเดียว
แล้วอาจารย์ติงจะเอาชนะได้ไงเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินเกิดความเป็นห่วงขึ้นมาทันที
น่าเสียดายที่การเพิ่มพลังด้วยเพลงกระบี่ไร้เทียมทานจากแอป ‘NetEase Cloud Music’ จะมีผลกับหลินเป่ยเฉินแค่คนเดียวเท่านั้น หากสามารถเปิดให้ติงซานฉือฟังได้ ก็คงมีหวังที่จะชนะได้มากขึ้น
ขณะนี้ มือกระบี่รุ่นเยาวชน เช่น ซ้งเชวอี้และหมิงลั่วเถียน ต่างก็จ้องมองมือกระบี่หน้าโหดที่ยืนอยู่บนหลังคาจวนผู้ว่าด้วยสายตาเคารพเทิดทูน เหมือนกำลังจ้องมองเทพเจ้าองค์หนึ่ง
นี่คือระดับพลังที่ทุกคนใฝ่ฝันถึง
สมควรแล้วที่ไป๋ไห่ชินจะได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในยอดมือกระบี่ของเมืองไป๋หยุน
สมควรแล้วที่เขาจะได้รับสมญานามว่า ‘เซียนกระบี่’
ไป๋ชินหยุนยกมือขึ้นทาบหน้าอกตนเองโดยไม่รู้ตัว ปากอ้าตาค้างด้วยความตกตะลึง
ทุกคนต่างก็มีความคิดเห็นตรงกันว่า พลังลมปราณของติงซานฉือที่แผ่ออกมาจากร่างกายมีความแข็งแกร่งไม่น้อย แต่ก็ยังห่างชั้นจากเซียนกระบี่ไป๋ไห่ชินอยู่หลายขุม
เปรียบเสมือนดาวดวงน้อยที่หาญสู้แสงสว่างกับดวงจันทรา
“การต่อสู้ยังไม่เริ่ม ก็รู้แล้วว่าใครจะเป็นผู้ชนะ”
หมิงหยวนซานส่งเสียงกระซิบออกมาแผ่วเบา
บนหลังคาจวนผู้ว่า
“ติงเล่ย จงยอมรับความพ่ายแพ้ แล้วใช้ชีวิตของเจ้าอยู่ในความเศร้าโศกตลอดไปเสียเถอะ…เพลงกระบี่วิมานมหรรณพ!”
ไป๋ไห่ชินรวบรวมพลังลมปราณเต็มอัตราและสะบัดกระบี่ฟาดฟันออกมา
หลังจากนั้น คลื่นพลังสีฟ้าครามก็พุ่งผ่านอากาศธาตุ กลายเป็นเงากระบี่ที่คมกริบสายหนึ่ง เสียงของคลื่นพลังแหวกอากาศดังแสบหู แสงจันทร์พร่าเลือน และที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ เพียงพริบตาเดียว พลังของคมกระบี่นั้นก็มาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าติงซานฉือแล้ว
นี่คือพลังการโจมตีที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้ามากที่สุด
ไม่มีใครจะสามารถต้านทานคมกระบี่ที่รวดเร็วขนาดนี้ได้เด็ดขาด
แน่นอนว่าการโจมตีครั้งนี้จะต้องเล่นงานติงซานฉือไม่มีทางพลาดเป้า
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ คิดกระโดดขึ้นไปช่วยเหลืออาจารย์บนหลังคา
แต่แล้วในจังหวะนั้น สิ่งที่ไม่น่าเชื่อพลันบังเกิด