บทที่ 12 ในหัวของอาจารย์ติงนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เมื่อมู่ซินเยว่จากไปพร้อมคัมภีร์เคล็ดวิชาของเขา รอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกวนเฟยตู้
ในฐานะศิษย์ชั้นปีที่ 3 อีกเพียงครึ่งปี เขาก็จะสำเร็จการศึกษาในชั้นเยาวชนแล้ว
ด้วยคะแนนที่มี เด็กหนุ่มร่างสูงสามารถสอบเข้าสู่สำนักกระบี่อันดับต้น ๆ ของเมืองหยุนเมิ่งได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่เมื่อมองย้อนกลับไปช่วง 2 ปีที่ผ่านมาในสถานศึกษาแห่งนี้ ราวกับทุกอย่างช่างง่ายดายเหลือเกิน จนมันกลายเป็นความน่าเบื่อสำหรับเขาไปหมดแล้ว
ถ้าหากเขาสามารถเอาชนะใจมู่ซินเยว่ผู้เป็นดั่งเทพธิดาแห่งสถานศึกษานี้ได้ และเล่นสนุกกับนางเสียหน่อยก่อนจะเรียนจบ มันก็คงเป็นรางวัลชั้นยอดสำหรับความพยายามตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
สถานศึกษาวิชากระบี่ที่สามนั้นมีอยู่ 3 ชั้นปีด้วยกัน และในแต่ละชั้นปีจะมีห้องเรียนทั้งหมด 10 ห้อง
แต่ละห้องมีศิษย์ทั้งสิ้น 40 คน หรือบางครั้งอาจมีน้อยกว่านั้น
ในแต่ละชั้นปี จะมีคณบดีผู้ซึ่งขึ้นตรงต่ออาจารย์ใหญ่ทั้งสิ้น 3 คน
และแต่ละห้องจะมีอาจารย์ประจำชั้น ซึ่งขึ้นตรงกับคณบดีประจำระดับชั้นอีกทอดหนึ่ง
จะว่าไป มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันนักกับโรงเรียนในโลกที่หลินเป่ยเฉินจากมา
แต่ในทางปฏิบัติแล้วนั้น ความสัมพันธ์และลำดับขั้น การบังคับบัญชาของแต่ละตำแหน่ง ดูจะมีความชัดเจนมากกว่า อย่างเช่น คณบดีในแต่ละระดับชั้นจะมีอำนาจสั่งการโดยตรงต่ออาจารย์ประจำชั้นแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งโยกย้าย ถอดถอน การเลื่อนตำแหน่งรวมถึงการประเมินผลด้านต่าง ๆ
อีกทั้งสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือ วิชาการเรียนรู้ต่าง ๆ ของที่นี่ ผิดไปจากโลกมนุษย์โดยสิ้นเชิง
ในสถานศึกษาระดับเยาวชนภายในเมืองหยุนเมิ่ง ทุกแห่งจะมีเนื้อหาการเรียนเพียง 5 วิชาเท่านั้น ซึ่งประกอบไปด้วยวิชาความรู้เกี่ยวกับพลังลมปราณ วิชาความรู้เกี่ยวกับการฝึกวิทยายุทธ์ วิชาเกี่ยวกับพืชสมุนไพรและการปรุงยา วิชาการสร้างม่านพลังและค่ายอาคม และสุดท้ายคือ วิชาประวัติศาสตร์แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
ซึ่งนั่นหมายความว่า ในแต่ละห้องเรียน จะมีอาจารย์ผลัดกันมาสอนจำนวน 5 คน
แต่แน่นอนว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดาอีกเช่นกัน ที่อาจารย์บางท่านจะสามารถสอนได้มากกว่าหนึ่งวิชา
เช่นอาจารย์ติงซานฉือ อาจารย์อาวุโสซึ่งไม่ได้เป็นเพียงอาจารย์ผู้สอนวิชาศิลปะการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังเป็นอาจารย์ผู้สอนที่มีพื้นฐานในทางทฤษฎีอย่างแตกฉานในวิชาพลังลมปราณอีกด้วย
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาเป็นประกายแสงสีทองเฉกเช่นทุกวัน
ในห้อง 9 ชั้นปีที่ 2 นั้น อาจารย์ติงซานฉือกำลังเริ่มเข้าสู่บทเรียนใหม่
“เมื่อวานนี้ อาจารย์ได้ทำการอธิบายหัวข้อการหลอมรวมพลังลมปราณขั้นต้นไปแล้ว และหวังว่าพวกเจ้าคงจะได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง ไม่มากก็น้อย”
“สำหรับบทเรียนในวิชาพลังลมปราณวันนี้ อาจารย์อยากจะพูดถึงรายละเอียดเรื่องการหลอมรวมพลังลมปราณในระดับกลางให้พวกเราฟัง”
“โดยบทเรียนนี้ จะเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับบรรดาศิษย์ที่ฝึกฝนวิชาไปถึงระดับที่ 2 แล้ว ทว่าได้เจอทางตันหรือพบปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมพลังปราณ บทเรียนนี้จะช่วยให้พวกเจ้าสามารถข้ามผ่านปัญหาในการฝึกไปได้อย่างง่าย ๆ โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน อีกทั้งยังอาจเป็นตัวช่วยในการสอบกลางภาคที่จะมาถึงนี้ด้วย” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
ถึงแม้ในเบื้องหน้า อาจารย์อาวุโสผู้นี้จะดูไม่ต่างอะไรจากวันก่อน ๆ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขายังคงงุนงงและตกตะลึงอยู่ภายในใจ
เพราะเขาได้บังเอิญไปเห็นการวิวาทเมื่อเช้า ที่หลินเป่ยเฉินนั้นเอาชนะเฝิงหลุนได้อย่างราบคาบ
ความรวดเร็วของคมกระบี่แสดงให้เห็นถึงทักษะความเชี่ยวชาญของหลินเป่ยเฉินในกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาต
ไม่ว่าจะเป็นในศิลปะการต่อสู้ใด ๆ ผู้ฝึกฝนที่ยังเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ฝึกหัด จำเป็นจะต้องผ่าน 5 ขั้นตอนในการฝึกไปให้ได้ นั่นก็คือ การก้าวข้ามขีดจำกัด การก้าวสู่ระดับที่สูงกว่าเดิม มีความเชี่ยวชาญ มีทักษะ และก้าวไปสู่การบรรลุเป้าหมาย
อาจารย์ติงแน่ใจเสียยิ่งกว่าแน่ใจ ว่าเมื่อวานเป็นวันแรกที่เขาได้สอนกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตให้แก่ศิษย์ห้อง 9
นั่นแปลว่าหลินเป่ยเฉินเพิ่งได้เรียนรู้วิชานี้เป็นครั้งแรกมิใช่หรือ?
เขาจะเพิ่มพูนทักษะขนาดนั้นภายในคืนเดียวได้อย่างไร?
เป็นไปไม่ได้
ความเร็วของเด็กหนุ่มช่างน่าอัศจรรย์จนอาจารย์ติงไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
แม้แต่ศิษย์ชั้นปีที่ 2 ผู้ขึ้นชื่อว่ามากความสามารถมากที่สุด ก็ใช่ว่าจะทำเช่นนั้นได้ทุกคน
แล้วหลินเป่ยเฉินสามารถทำได้อย่างไรกัน?
หรือว่าเขาจะเคยฝึกมาก่อน?
นั่นดูจะเป็นคำอธิบายเดียวที่มีเหตุมีผลที่สุด
ยังไงเสียกระบวนท่านี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว
มีศิษย์ชั้นปี 3 อีกมากที่เคยฝึกฝนกระบวนท่านี้
หากหลินเป่ยเฉินแอบฝึกมาล่วงหน้าโดยที่ไม่มีใครรู้ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ถ้าเขาจะสามารถใช้กระบวนท่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตามที่ปรากฏต่อสายตาของทุกคน
ไม่สิ…นั่นไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นคือแม้เหล่าศิษย์มากมายจะพยายามฝึกฝนวิชากระบวนท่ากระบี่สามพิฆาต แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็แค่จดจำและกลืนเนื้อหาพวกนั้นลงท้องไปโดยไม่ได้วิเคราะห์ใด ๆ
พวกเขาล้วนคิดว่าตนเองนั้นเชี่ยวชาญในกระบวนท่านี้แล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้กระบวนท่านี้ในการต่อสู้จริงได้เป็นอย่างดี แต่ความจริงแล้วพวกเขานั้นแทบไม่ได้ซึมซับแก่นสารที่แท้จริงของกระบวนท่านี้เลย
และจาก 15 ปีที่ผ่านมา อาจารย์ติงได้พบว่าถึงแม้เขาจะได้ถ่ายทอดวิชากระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตให้แก่ศิษย์มากมาย แต่ก็ไม่มีใครเลยที่สามารถนำพลังที่แท้จริงของมันออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
ไม่มีใครเลย…แม้แต่ศิษย์ที่ได้ชื่อว่าเก่งกาจที่สุด
แต่เมื่ออาจารย์ติงได้เห็นการใช้กระบวนท่าของเจ้าแกะดำหลินเป่ยเฉิน
เจ้านั่นมันเป็นเซียนกระบี่หรือไงกันนะ?
อาจารย์ติงซานฉือยังคงสอนบทเรียนต่อไปเรื่อย ๆ หากแต่หางตายังคงแอบมองหลินเป่ยเฉินอยู่เป็นระยะ
ทว่า ผู้เป็นอาจารย์ก็ได้แต่ผิดหวัง เพราะดูเหมือนว่าหลินเป่ยเฉินนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อวานเลยแม้แต่น้อย
ความต่างเดียวที่เกิดขึ้นก็คือ แทนที่หลินเป่ยเฉินจะก้มหน้ามองมือสองข้างของตนเองเช่นปกติ แต่วันนี้ เขายกมือขึ้นมาในระดับสายตา และมองลอดผ่านมือของตนเองไป แค่ดูจากวิถีของสายตาก็สามารถบอกได้แล้วว่า เด็กหนุ่มไม่ได้มองมายังอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่เสียด้วยซ้ำ
เพียงมองปราดเดียวจากสีหน้าและท่าทาง อาจารย์ติงก็บอกได้เลยว่าหลินเป่ยเฉินยังคงใจลอยระหว่างเล่าเรียนไม่เปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนอย่างเดียวคือเปลี่ยนท่านั่งเท่านั้นเอง
แล้วเจ้าเด็กคนนี้ทำได้อย่างไรกัน?
ไม่มีอะไรทำให้เจ้าคนไร้ค่านี่เป็นโล้เป็นพายขึ้นมาได้หรอก
ในใจของอาจารย์อาวุโสจึงคุกรุ่นไปด้วยความหงุดหงิด
คาบเรียนนี้มีระยะเวลาทั้งสิ้น 1 ชั่วยาม
ในช่วงเวลาสองก้านธูปแรกของการเรียน สิ่งที่อาจารย์ติงอธิบายได้แก่ หลักการ กลยุทธ์ ลำดับขั้น ปัญหา การก้าวข้ามทางจิตใจ และเคล็ดลับต่าง ๆ ของทักษะการหลอมรวมพลังลมปราณในระดับกลาง
อีกเกือบ 1 ชั่วยามที่เหลือ อาจารย์ติงเปิดโอกาสให้ศิษย์ในห้องได้ฝึกฝนและซักถาม
ในที่สุด เมื่ออาจารย์สอนในส่วนแรกเสร็จแล้วนั้น ห้องเรียนก็เงียบลงอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินลดมือทั้งสองข้างที่ปวดระบมของเขากลับลงมา
ในช่วงแรกของการเรียน เขาถือโทรศัพท์ที่ล่องหนในสายตาผู้อื่นอย่างตั้งอกตั้งใจ เพื่อถ่ายวิดีโอการสอนของอาจารย์ติง เรื่องการหลอมรวมพลังลมปราณระดับกลาง
และในตอนนี้ เขาได้อัดวิดีโอเสร็จเรียบร้อย
หลังจากนี้ ก็ได้เวลาพิสูจน์ปาฏิหาริย์
มาดูกันว่าความคิดเขาเมื่อคืนนั้น ถูกต้องหรือไม่
คำตอบกำลังจะเปิดเผยออกมาแล้ว
หลินเป่ยเฉินกลั้นหายใจก่อนจะกดเข้าไปยังแอปสโตร์ ในขณะที่หน้าจอแสดงปริมาณแบตเตอรี่เพียง 9% เท่านั้น
และเพียงปราดเดียวเท่านั้น ตัวของเด็กหนุ่มก็ท่วมท้นไปด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น
“อ๋าา”
เขาหงายศีรษะเข้ากับพนักพิงก่อนจะหัวเราะออกมา “ข้าคิดถูกจริง ๆ ซะด้วย”
นั่นดูราวกับเสียงหัวเราะของปีศาจร้ายไม่มีผิด
บรรดาศิษย์รอบ ๆ ถึงกับผงะในสิ่งที่เห็น
เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?
นี่อาการทางสมองของเขากำเริบอีกแล้วงั้นหรือ?
และในตอนนี้ อาการของหลินเป่ยเฉินดูแย่กว่าเก่าเสียอีก
“ทุกคนเงียบ!” อาจารย์ติงตวาดก้องขึ้นด้วยความดุดัน
ดวงตานับสิบต่างมองไปยังหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัย
ศิษย์จากห้อง 9 แทบจะทุกคน ล้วนได้เห็นการวิวาทเมื่อเช้านี้
และฝีมือของหลินเป่ยเฉิน ทำเอาทุกคนต่างประหลาดใจกันหมด
ขณะนี้ บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างก็สงสัยว่า อะไรกันที่ทำให้คนไม่เอาไหนพรรค์นั้น สามารถแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างนี้?