บทที่ 131 เมื่อข้าชักกระบี่
กลุ่มมือกระบี่อาวุโสมีสีหน้าเครียดขรึมขึ้นมาทันที
ติงซานฉืออยากเอาเรื่องพวกเขาอย่างนั้นหรือ?
เพียงนึกถึงภาพก่อนหน้านี้ที่พวกตนเองเข้าข้างไป๋ไห่ชินอย่างออกหน้าออกตา มือกระบี่อาวุโสหลายคนก็รู้สึกแข้งขาอ่อนแรงขึ้นมาแล้ว
“เซียนกระบี่ติง พวกเราผิดไปแล้ว”
“ไป๋ไห่ชินใช้สถานะความยิ่งใหญ่ในเมืองไป๋หยุนข่มขู่พวกเรา เราไม่มีทางเลือก…”
“พวกเราขอยอมรับผิดแต่โดยดี”
มือกระบี่อาวุโสทั้ง 3 คนนั้นรีบสารภาพบาปออกมาด้วยตนเอง
ติงซานฉือตอบกลับเสียงแผ่วเบาว่า “หากยอมรับผิดแล้วโทษทั้งหมดจะถูกยกเลิก โลกใบนี้จะมีกฎหมายไว้เพื่ออะไร?”
พรวด!
หลินเป่ยเฉินเกือบสำลักน้ำชาออกมาอีกครั้ง
อาจารย์รู้สิ่งที่เรากำลังคิดอยู่ได้ยังไงเนี่ย?
อย่าบอกนะว่าอาจารย์ติงสามารถอ่านใจเราได้?
คำพูดของติงซานฉือยิ่งทำให้กลุ่มมือกระบี่ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกหมดเรี่ยวแรงมากกว่าเดิม แต่บางคนก็เกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเช่นกัน
พวกเขายอมเอ่ยปากขอโทษแต่โดยดี
พวกเขายินดียอมรับผิดต่อหน้าคนจำนวนมาก
แล้วติงซานฉือยังต้องการอะไรอีก?
“ถ้าอย่างนั้นท่านต้องการอะไร ท่านเซียนกระบี่ติง?” หลู่เจิงเต๋าถาม
หมิงหยวนซานอดส่งเสียงขานรับไม่ได้ว่า “ในเมื่อเซียนกระบี่ติงไม่ยอมรับคำขอโทษ อย่างนั้นท่านก็บอกมาเถอะ ว่าอยากจะให้พวกเราทำสิ่งใด”
ผมสีดำของติงซานฉือปลิวไสวไปกับสายลมยามราตรี เขาส่งเสียงพูดลงมาจากหลังคาว่า “ก่อนหน้านี้ ตอนที่ไป๋ไห่ชินลงมือโจมตีหลินเป่ยเฉิน พวกเจ้าขัดขวางข้าไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือเขา หากหลิงเฉินไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในจังหวะเป็นตาย ลูกศิษย์ของข้าถ้าไม่ตายก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว พฤติกรรมเช่นนี้ของพวกเจ้าเทียบเท่ากับเจตนาฆาตกรรม…”
ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง ดวงตาของชายชราเป็นประกายสดใสยิ่งกว่าคมกระบี่เสียอีก
“เมื่อมีจิตคิดสังหารผู้อื่น ก็ต้องถูกผู้อื่นสังหารเช่นกัน”
คำพูดของติงซานฉือหนักแน่นและทรงพลัง
“ว่าไงนะ?”
“ฮ่าฮ่า ท่านเนี่ยนะอยากจะสังหารเรา?”
“เฮอะ เซียนกระบี่ติง ท่านว่างท่าใหญ่โตเกินไปแล้ว”
มือกระบี่อาวุโสทั้ง 3 คนพลันมีสีหน้าเครียดคล้ำ หลังจากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่น
ต่อให้ติงซานฉือมีฝีมือแท้จริงแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ แล้วจะทำอะไรได้?
ฝ่ายตรงข้ามทั้ง 3 คนล้วนเป็นมือกระบี่ชื่อเสียงโด่งดัง มีเส้นสายเป็นคนใหญ่คนโตอยู่ทุกหัวเมืองใหญ่ รู้จักแม้กระทั่งอาจารย์ของไป๋ไห่ชินผู้ประจำการอยู่ในเมืองไป๋หยุน แต่ในทางกลับกัน ติงซานฉือเป็นเพียงอดีตลูกศิษย์ที่ถูกเนรเทศ ต่อให้มีฝีมือเลิศล้ำ จะอย่างไรก็คงต้องแพ้ให้แก่อาจารย์ของตัวเองอยู่ดี
ติงซานฉือมีความสามารถก็จริง แต่ไม่มีคนคอยหนุนหลัง
บุคคลที่เดียวดายเช่นนี้ ไม่มีทางข่มขู่คุกคามพวกเขาได้เด็ดขาด
มือกระบี่ผู้อาวุโสทั้ง 3 คนพลันหันมองหน้ากันด้วยความกระหยิ่มใจ
บรรยากาศที่ผ่อนคลายลงไปแล้ว จึงกลับมาเครียดเขม็งขึ้นอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองไปยังร่างที่ยืนอยู่บนหลังคาจวนผู้ว่า ทันใดนั้น เขาก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด
ติงซานฉือเปลี่ยนไป
อาจารย์ติงไม่ใช่ชายชราที่ต้องทนทานคอยรองรับอารมณ์ของเหล่าลูกศิษย์ในห้องเรียนอีกแล้ว
บัดนี้ ติงซานฉือกลายเป็นเซียนกระบี่ตัวจริง เมื่อมีกระบี่อยู่ในมือ ก็ไม่มีใครสามารถต่อกรกับเขาได้อีก
“หรือว่าฉันจะเป็นคนที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปวะ?” หลินเป่ยเฉินยกนิ้วขึ้นทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชิน
ภายใต้สายลมเย็นยะเยือกของราตรีกาล หลิงจุนเซวียนและภรรยาซึ่งเป็นเจ้าภาพของงานประลองกระบี่ในครั้งนี้ ต่างก็พากันนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
ส่วนบรรดามือกระบี่ดาวรุ่งก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป
โดยเฉพาะหมิงลั่วเถียนกับหลู่เฟิง สองคนนี้มีสีหน้าเคร่งเครียดเป็นพิเศษ เพราะ 2 ใน 3 มือกระบี่อาวุโสที่ติงซานฉือต้องการเอาเรื่องเป็นอาจารย์ของพวกเขา หากเกิดการต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ความสามารถระดับลูกศิษย์ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออะไรได้เลย เธอและเขาคงทำได้เพียงยืนดูอยู่จากด้านข้างเท่านั้น
แต่ผู้ที่เยือกเย็นที่สุดกลับเป็นเด็กหนุ่มร่างอ้วน ปาต้าจุย
เขาไม่ได้รับรู้ถึงความตึงเครียดของสถานการณ์เลยสักนิด ในมือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มมีผลไม้ตากแห้ง อีกมือหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่ม ในปากเคี้ยวของกินตลอดเวลา ซึ่งทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยเริ่มสงสัยแล้วว่า กระเพาะของเด็กหนุ่มคนนี้สามารถรองรับอาหารได้ในจำนวนเท่าไหร่กันแน่
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่างานประลองจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ เห็นทีข้าคงขอตัวกลับก่อนดีกว่า”
หลู่เจิงเต๋าแค่นเสียงออกมาจากลำคอด้วยความเย็นชา จากนั้นจึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนหมุนตัวเดินจากไป
ติงซานฉือคลี่ยิ้มเยือกเย็น “ข้าไม่ได้ชักกระบี่มาหลายปี คงมีคนลืมไปแล้วว่าคมกระบี่ของข้า มันน่ากลัวมากแค่ไหน”
ยังไม่ทันที่ชายชราจะพูดจบ
คมกระบี่คุณธรรมก็สาดประกายภายใต้แสงจันทรา
หลู่เจิงเต๋าเดินออกไปได้เพียงสามก้าว ทันใดนั้น ร่างกายก็หยุดชะงักแข็งค้างอยู่กับที่
และแล้ว…
วูบ!
แว่วเสียงคมกระบี่ตัดผ่านอากาศ
แนวเส้นสีแดงเล็กๆ ปรากฏขึ้นบริเวณต้นคอของหลู่เจิงเต๋า
ไม่นานหลังจากนั้น แนวเส้นสีแดงก็มีเลือดไหลทะลักออกมาราวน้ำพุ
ตุบ!
ศีรษะของหลู่เจิงเต๋าร่วงหลุดออกจากบ่า
ร่างไร้ชีวิตล้มตามลงไป
เลือดไหลนองเต็มพื้นหญ้า
กลิ่นเลือดคาวคลุ้งทั่วงานเลี้ยงหลังสวนดอกไม้
ทุกคนตกตะลึง
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าการสังหารจะเกิดขึ้นรวดเร็วถึงเพียงนี้
ผู้คนนั่งนิ่งยิ่งกว่าคนตาย
“ท่านอาจารย์…”
หลู่เฟิงอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง เมื่อตั้งสติได้ ก็รีบวิ่งเข้าไปประคองร่างไร้ศีรษะของหลู่เจิงเต๋า จากนั้นจึงร้องไห้อย่างเสียสติ ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองไปที่ติงซานฉือด้วยแววตาโกรธแค้นเกลียดชัง “เก่งจริงท่านก็ฆ่าข้าด้วยเลยสิ เพราะไม่อย่างนั้น ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ สักวันข้าจะต้องกลับมาล้างแค้นท่านให้ได้…”
“ไม่มีปัญหา ข้าจะรอเจ้ากลับมา” ติงซานฉือพูด น้ำเสียงราบเรียบ
เขาไม่ได้สังหารหลู่เฟิง
ทันใดนั้น อาจารย์ชราหันกลับมามองหน้าพวกของหมิงหยวนซาน ซึ่งขัดขวางไม่ให้เขาเข้าช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินเช่นกัน
สายตาที่มองมา ทำให้ผู้ถูกจ้องมองทั้ง 2 คนตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“วันนี้เมื่อข้าชักกระบี่ออกมา ศีรษะของพวกเจ้าทั้ง 2 คน ก็จะไม่อยู่บนบ่าอีกต่อไป”
ติงซานฉือพริ้วกายลงมาจากหลังคาด้วยความสง่างาม
หลังคาจวนผู้ว่ามีความสูงสิบจั้งเศษ แต่อาจารย์ชราทิ้งตัวลงมาด้วยท่วงท่าสง่างามราวนกอินทรี เพียงพริบตาเดียว ก็มาปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าคู่อริทั้งสองคนแล้ว
คมกระบี่สาดประกายวูบ
“ไม่นะ…”
หมิงลั่วเถียนส่งเสียงกรีดร้องขณะวิ่งออกไปข้างหน้า
แต่มันก็สายเกินไป
ในพริบตานั้นเอง ร่างของหมิงลั่วเถียนและพรรคพวกที่อยู่ข้างกายอีกหนึ่งคน ก็ยืนตัวแข็งอยู่กับที่ ใบหน้าชะงักค้าง สุดท้าย ตัวคนก็ค่อยๆ ล้มฟุบลงไปบนพื้นดิน
มือกระบี่อาวุโสทั้งสองเสียชีวิตโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ํา
“ท่านปู่เจ้าคะ ท่านปู่…”
“อาจารย์ขอรับ!”
หมิงลั่วเถียนร่ำไห้ออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ
หลินเป่ยเฉินก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน
อาจารย์ติง…โหดร้ายเกินไปหรือไม่?
เพียงอึดใจเดียว ก็สังหารคนไปถึง 3 คน
ถึงจะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่หลินเป่ยเฉินก็อดตกตะลึงไม่ได้อยู่ดี
หลังเดินทางทะลุมิติมาที่โลกนี้ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นคนถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา แต่ความตายของหลี่เทากับเถาว่านเฉิงด้วยฝีมือของเซินเฟยนั้น เกิดขึ้นจากการเป็นฆาตกรขาดสติ แต่บัดนี้ พฤติกรรมของอาจารย์ติงโหดร้ายและอำมหิตด้วยเจตนา ซึ่งทำให้หลินเป่ยเฉินได้ตระหนักเป็นครั้งแรกว่าโลกใบนี้ไม่ใช่โลกมนุษย์ ทุกครั้งที่อาจารย์ของเขาชักกระบี่ออกมา ก็จะต้องมีคนตายเสมอ
หลังจากที่ติงซานฉือสังหารมือกระบี่อาวุโสทั้ง 3 คนนั้นเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงหายใจออกมาแรงเกินไปด้วยซ้ำ
มือกระบี่อาวุโสคนที่เหลือยิ่งตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวมากกว่าเดิม
บางคนนึกถึงภาพติงซานฉือตอนที่ยังมีสถานะเป็นเซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุนเมื่อหลายสิบปีก่อนขึ้นมาจับใจ
หนึ่งกระบี่ของเขาสามารถสะเทือนฟ้าสะท้านดิน สร้างความหวาดกลัวได้ไกลถึงขุมนรก
กระบวนท่าของเขา เป็นได้ทั้งการตั้งรับและการโจมตีในเวลาเดียวกัน
พวกเขานั้นจำได้ดี ว่าเซียนกระบี่ทั้ง 5 จากเมืองไป๋หยุนมีความน่าหวาดกลัวแค่ไหน ทุกหนแห่งที่พวกเขาไป จะเต็มไปด้วยกองซากศพ ทะเลเลือด และวิญญาณของศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วน
กระทั่งเคยมีการต่อสู้ในสงครามกับชาวทะเลครั้งหนึ่ง ที่มือกระบี่ทั้ง 5 คนนี้ สามารถสังหารกองทัพศัตรูได้นับพันคน…
แต่ 16 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในเซียนกระบี่นั้นเก็บเนื้อเก็บตัวใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย จนหลายคนลืมเลือนไปแล้วว่าติงซานฉือน่ากลัวมากแค่ไหนยามที่มีกระบี่อยู่ในมือ
บัดนี้ ความทรงจำทุกอย่างของกลุ่มคนดูได้หวนคืนกลับมา ทำให้ความน่าหวาดกลัวที่ถูกลืมเลือน ได้ฉายชัดในใจอีกครั้ง
เมื่อหันกลับไปมองหน้าติงซานฉือในขณะนี้ ขาของพวกเขาก็สั่นเทาขึ้นมาทันที
“เอาศพของพวกเขากลับไป”
ติงซานฉือสอดกระบี่คืนฝัก จิตสังหารรอบตัวสลายหายไปขณะพูดต่อว่า “แจ้งเตือนให้ตระกูลหลู่ ตระกูลหมิง และตระกูลหลิงรู้ด้วยว่า ภายในห้าวัน ข้าจะไปพบพวกเขาด้วยตัวเอง”
ผู้อาวุโสเหล่านั้นพยักหน้า ด้วยเกรงว่าถ้าตอบรับช้าเกินไป อาจทำให้เซียนกระบี่เกิดความไม่พอใจก็เป็นได้
“ท่านจงจำเอาไว้ แค้นนี้ต้องมีวันชำระ”
หมิงลั่วเถียนจ้องมองติงซานฉือด้วยแววตาอาฆาตมาดร้าย ในหัวใจอัดแน่นด้วยความเกลียดชัง
ติงซานฉือไม่สนใจคำขู่ของเด็กสาว เขาหันกลับไปมองหลิงจุนเซวียนและภรรยา พลางกล่าวว่า “ขออภัยที่ทำให้งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ของจวนผู้ว่า กลายเป็นงานละเลงเลือดไปเสียแล้ว”
“ไม่เป็นไร อาจารย์ติงอย่าได้ใส่ใจ”
หลิงจุนเซวียนกล่าวตอบ
หลังจากนั้น ติงซานฉือก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน