บทที่ 132 ความปรารถนาของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินกำลังรู้สึกสับสนอยู่ในใจ
“อาจารย์ ผมยังไม่ได้ว่าอะไร ‘จารย์เลยนะ ก่อนหน้านี้ผมอาจพูดแรงไปบ้างที่บอกว่าอาจารย์ทำตัวใจดีมากเกินไป อาจทำให้อาจารย์ต้องขายหน้าต่อหน้าคนมากมาย แต่อย่างน้อย ผมก็เป็นลูกศิษย์ของ ‘จารย์นะ จารย์จะหันมาเล่นงานพวกเดียวกันเองไม่ได้สิเว้ย”
พูดตามตรง ตอนนี้หลินเป่ยเฉินรู้สึกหวาดกลัวอยู่นิดหน่อย
มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์โลก ยามเมื่อเผชิญหน้ากับฆาตกรฆ่าคน ก็เป็นเรื่องยากที่จะรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ หากก่อนหน้านี้หลินเป่ยเฉินไม่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาบ้าง ป่านนี้คงยืนขาสั่นพั่บๆ ไปแล้ว
“เจ้าทำให้อาจารย์ได้สติ”
ในที่สุด รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าติงซานฉือ ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อ “เจ้าทำได้ดีมาก ทำได้ดีกว่าที่อาจารย์คิดเอาไว้เสียอีก”
เฮือก!
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“อาจารย์ชื่นชมข้าเกินไปแล้ว ไม่ต้องห่วงนะขอรับอาจารย์ติง จากนี้ไปข้าจะพยายามฝึกฝนให้หนักขึ้น”
หลินเป่ยเฉินอยากจะพูดออกไปให้ดูเหมือนเป็นคนถ่อมตัว แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อพูดออกไปแล้ว กลับดูอวดเก่งกว่าเดิมเสียอีก
ติงซานฉือฉีกยิ้มกว้าง “เจ้าเป็นผู้ชนะการประลองกระบี่รุ่นเยาวชนประจำค่ำคืนนี้ รางวัลทั้งหมดเป็นของเจ้า มีอะไรที่เจ้าอยากพูดบ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินรีบพูดทันทีว่า “ข้าไม่มีอะไรจะพูด…”
ทันใดนั้น เขาก็กล่าวเสริมเสียงเครียด “แต่อันที่จริง…ข้าไม่อยากไปที่เมืองไป๋หยุนขอรับ ข้าอยากจะอยู่สถานศึกษากระบี่ที่สามต่อไปดังเดิม เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะได้ไปศึกษาต่อในเมืองไป๋หยุน ยกให้เป็นของคนอื่นดีกว่า”
ฉู่เหินได้ยินดังนั้นก็ดีใจจนเกือบร้องไห้ออกมาแล้ว
“เจ้าแกะดำช่างเป็นเด็กดีเหลือเกิน”
“ขนาดได้รับข้อเสนอที่เย้ายวนใจเพียงนี้ เขาก็ยังคิดถึงสถานศึกษากระบี่ที่สามเป็นอันดับแรก นับว่าพวกเราสั่งสอนได้ดีจริงๆ”
ติงซานฉือเบิกตาโต จ้องมองใบหน้าหลินเป่ยเฉิน แล้วถามว่า “หืม? เพราะอะไรกันเล่า?”
หลินเป่ยเฉินอยากจะบอกออกไปตามความจริงว่า เพราะเขาเป็นคนที่ทะลุมิติมาจากโลกอื่นไงล่ะคร้าบ แต่คำตอบที่ออกจากปากกลับเป็น “เพราะข้าคุ้นเคยกับชีวิตในเมืองหยุนเมิ่งขอรับ…” ทว่า เมื่อพูดออกไปแล้ว เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าอาจารย์ติงอาจไม่ยอมเชื่อ จึงต้องให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า “ข้ารักสถานศึกษากระบี่ที่สาม มันเป็นสถานที่ที่ข้าเติบโตขึ้นมา เป็นสถานที่ที่คอยสั่งสอนข้า และคอยคุ้มครองปกป้องข้ายามมีภัย เพราะฉะนั้น ข้าจึงมีความปรารถนาที่จะนำพาชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาสู่สถานศึกษาที่สามให้จงได้…” หลังรวบรวมความคิดอีกเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็พูดต่อ “แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้าไม่อยากทิ้งท่านไปไหนขอรับ อาจารย์ติง ข้าอยากจะอยู่ฝึกฝนวิชา เป็นลูกศิษย์ของท่านตลอดไป”
หลินเป่ยเฉินผู้น่าสงสาร เขาช่างเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตใจดีงามเกินไปแล้ว
แน่นอนว่า หลินเป่ยเฉินย่อมมีเหตุผลอื่นๆ ที่ไม่ได้เอ่ยถึง
อย่างเช่น คืนนี้เขากระทำการหยามหมิ่นศักดิ์ศรีของไป๋ไห่ชินกับเฉาพั่วเถียนเอาไว้มากมาย หากต้องเดินทางไปที่เมืองไป๋หยุน ก็เท่ากับเป็นการหาปัญหาให้ตัวเองแท้ๆ และความปรารถนาสูงสุดของเขาก็คือการได้กลับสู่โลกมนุษย์ อีกอย่าง ขณะนี้เขามีโทรศัพท์วิเศษเป็นตัวช่วยสำคัญ อย่างไรเสีย ก็สามารถบรรลุเคล็ดวิชากระบี่ขั้นสูงสุดได้ โดยไม่ต้องเหยียบเท้าเข้าไปในเมืองไป๋หยุนแม้แต่ก้าวเดียวด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่อยากย้ายที่อยู่อีกแล้ว
ติงซานฉือส่ายศีรษะ ให้คำตอบว่า “แต่สถานะลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุน เป็นรางวัลที่ผู้ชนะจะต้องรับเอาไว้ เจ้าไม่สามารถปฏิเสธได้”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเย็นวาบไปทั่วกาย
“นี่อาจารย์แกกำลังจะบังคับฉันอยู่ใช่ไหม?”
“ใจเย็นก่อนสิ ‘จารย์ บังคับขืนใจคนอื่นมันไม่ใช่เรื่องดีนา”
จากนั้น ติงซานฉือจึงได้ขยายความต่อว่า “ในเมื่อข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า ข้าก็จำเป็นต้องสอนการเป็นมือกระบี่ที่แท้จริงให้เจ้าได้รับรู้ และพื้นฐานทุกอย่างต่างก็มาจากเมืองไป๋หยุนทั้งสิ้น ต่อให้ข้าอยากจะสอนเจ้าจริงๆ ก็มีข้อแม้หนึ่งอย่างว่าเจ้าต้องเป็นลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุนให้ได้ก่อน แต่บัดนี้ ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ชนะการประลอง จึงได้รับตำแหน่งศิษย์ประจำเมืองไป๋หยุนไปโดยปริยาย โดยที่เจ้าไม่ต้องเดินทางไปศึกษาต่อที่เมืองไป๋หยุนแต่อย่างใด”
“หืม? มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” หลินเป่ยเฉินหัวใจพองโตด้วยความตื่นเต้น รีบตอบรับกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่อาจารย์เลยขอรับ”
ติงซานฉือพยักหน้าและกล่าวว่า “ในเมื่อข้าเป็นคนถ่ายทอดวิชากระบี่ต่างๆ ของเมืองไป๋หยุนให้แก่เจ้าด้วยตัวเอง ของรางวัลชิ้นอื่นๆ นั้นก็คงไม่มีความหมายกับเจ้าอีกแล้ว ข้าจะขอมอบมันให้กับมือกระบี่รุ่นเยาวชนคนอื่นแทน เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
“เห็นด้วยเต็มที่เลยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินค้อมศีรษะพยักหน้าตอบเร็วไว
ดังนั้น ติงซานฉือจึงตัดสินใจมอบคัมภีร์ระดับ 3 ดาวที่ชื่อว่า ‘คัมภีร์ฝึกการโคจรพลังลมปราณฉบับเมืองไป๋หยุน’ รวมถึงคัมภีร์วิชากระบี่ระดับสามดาวอีกหนึ่งเล่ม ชื่อ ‘กระบี่ทลายภูผา’ ให้แก่…เด็กสาวตัวเล็กแต่ดาบใหญ่ ไป๋ชินหยุน
ชายชราไม่ได้เอ่ยถึงกระบี่และเครื่องรางประจำเมืองไป๋หยุน แสดงว่าคงมีเจตนามอบให้แก่ผู้อื่นอีกเป็นแน่แท้
“ในเมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ”
ติงซานฉือพูดจบก็เดินนำหลินเป่ยเฉินและสมาชิกจากสถานศึกษากระบี่ที่ 3 ออกจากจวนผู้ว่า
หลินเป่ยเฉินเดินออกมาไม่กี่ก้าว ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน เขาหันกลับไปประสานมือทำความเคารพหลิงจุนเซวียนและภรรยา “ข้าน้อยยังไม่ได้ขอบคุณแม่นางหลิงเฉินที่ช่วยชีวิตข้าน้อยเอาไว้เลยขอรับ…”
พลัน ชินหลันซูโบกมือเล็กน้อยด้วยท่าทีเฉยชา ก่อนกล่าวว่า “ไม่ต้องขอบคุณ เฉินเอ๋อร์มักทำอะไรแปลกๆ อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องเก็บมาใส่ใจ”
“ดูท่าทางว่าที่แม่ยายจะไม่ปลื้มฉันแล้วสินะ”
หลินเป่ยเฉินโอดครวญกับตัวเองอยู่ในใจ ปากก็กล่าวออกไปว่า “ข้าน้อยรับทราบว่าที่ผ่านมาตนเองมีพฤติกรรมเหลวไหล แต่ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาจะทำให้แม่นางหลิงเฉินเสื่อมเสีย ไม่ต้องห่วงนะขอรับ ในอนาคต ข้าน้อยจะพยายามระมัดระวังและจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแม่นางหลิงอีก เพียงแต่ที่ข้าน้อยมาขอบคุณ ก็เพราะทนทำเฉยต่อบุญคุณที่นางช่วยชีวิตข้าน้อยเอาไว้ไม่ได้ คงต้องรบกวนฮูหยินช่วยฝากคำขอบคุณให้นางด้วยก็แล้วกันขอรับ และถ้าหากจวนผู้ว่าพบเจอปัญหาใดๆ ในอนาคต ข้าน้อยก็พร้อมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเสมอ”
พูดจบ เขาก็ค้อมศีรษะด้วยความเคารพอ่อนน้อม
คราวนี้ หลินเป่ยเฉินมีน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังจริงใจ
ตอนที่แข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง หลิงเฉินช่วยเขาเอาไว้หลายครั้ง มาคืนนี้ นางก็ยังช่วยชีวิตของเขาเอาไว้อีก
หลิงเฉินมีบุญคุณกับเขามากมาย
ต่อให้ในอนาคต พวกเขาจะไม่ได้ลงเอยกัน เนื่องจากหลินเป่ยเฉินต้องการกลับโลกมนุษย์เพื่อไปไล่จีบเด็กสาวข้างบ้านผู้พิชิตหัวใจเขาได้คนเดิม แต่เขาไม่มีทางจากไปโดยไม่ตอบแทนบุญคุณเช่นนี้แน่นอน อย่างน้อยก็ควรฝากคำขอบคุณไปสักหน่อย และในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องประกาศให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของหลิงเฉินต้องหมองมัว
หลิงจุนเซวียนพยักหน้าเล็กน้อย
ผู้ว่าการหนุ่มมีสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจในคำมั่นสัญญาของหลินเป่ยเฉิน แต่ก็ไม่พูดกระไร
นั่นเป็นเพราะว่าติงเล่ย เซียนกระบี่ผู้ปกปิดความสามารถที่แท้จริงตลอดมา กลับเลือกที่จะเปิดเผยตัวตนเพื่อปกป้องชีวิตของเด็กหนุ่มผู้นี้ อาจารย์ติงถึงกับยอมชักกระบี่กำราบไป๋ไห่ชินและสังหารมือกระบี่อาวุโสตายไป 3 คน และหนึ่งในนั้นก็คือมือกระบี่ชื่อดังหมิงหยวนซาน ซ้ำยังประกาศว่าจะไปเยี่ยมหาทั้ง 3 ตระกูลอีกด้วย…นี่คือสิ่งที่แสดงออกชัดเจนว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีความสำคัญต่อติงเล่ยมากทีเดียว
อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินนับเป็นหนึ่งในมือกระบี่อัจฉริยะที่แท้จริง เขาสามารถเอาชนะเฉาพั่วเถียนได้ในระยะเวลาสั้นๆ และด้วยความยอดเยี่ยมเช่นนี้ อนาคตของหลินเป่ยเฉินจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เลย
นี่จึงนับเป็นคำประกาศที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
พลัน สีหน้าของชินหลันซูอ่อนโยนลงเล็กน้อย นางพยักหน้ากล่าวว่า “นับว่าเจ้าก็เป็นเด็กดีคนหนึ่ง”
ถ้อยคําเรียบง่าย แต่สำหรับกับบุรุษทุกคนในเมืองหยุนเมิ่ง นี่นับเป็นคำชมเชยที่มีค่ามหาศาลนัก
หลินเป่ยเฉินคำนับท่านผู้ว่าและภรรยาเสร็จเรียบร้อย ก็เดินออกมาจากจวนผู้ว่า พร้อมด้วยติงซานฉือ ฉู่เหิน และไป๋ชินหยุนโดยไม่ลังเล
สายตาแห่งความเกลียดชังคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ที่หลินเป่ยเฉินตลอดเวลา
เป็นสายตาของเฉาพั่วเถียน
เขาข่มกลั้นความเจ็บปวดของบาดแผลเข้าไปประคองไป๋ไห่ชิน มือกระบี่หน้าโหดเพิ่งจะได้สติ สิ่งแรกที่พบเห็นก็คือเฉาพั่วเถียนกำลังคุกเข่าอยู่ข้างกายและร่ำร้องออกมาว่า “ท่านอาจารย์…ข้าน้อย…ข้าน้อยขออภัย ข้าน้อยทำให้ท่านต้องผิดหวังแล้ว”
ไป๋ไห่ชินสบตามองเด็กหนุ่มผมทอง ก่อนลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เป็นอาจารย์ประเมินมันผู้นั้นต่ำเกินไป ติงเล่ยเตรียมตัวสำหรับการประลองคืนนี้มาเป็นอย่างดี มันหลอกลวงเราทุกคน แต่ไม่ต้องเป็นกังวล รับรองว่าเรื่องราวไม่จบแค่นี้แน่นอน”
ไป๋ไห่ชินมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ อาการบาดเจ็บจึงเยียวยาได้อย่างรวดเร็ว ขณะนี้ เขาสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงและหันไปกล่าวกับหลิงจุนเซวียนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ท่านผู้ว่าการหลิง เราสองคนศิษย์อาจารย์ต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส คงเป็นเรื่องลำบากที่จะเดินทางไกล ไม่ทราบว่าเราขอพักรักษาตัวอยู่ในเมืองสักหน่อย พวกท่านจะมีปัญหาหรือไม่?”
มือกระบี่หน้าโหดบอกว่าจะพักรักษาตัวอยู่ในเมือง ไม่ใช่ในจวนผู้ว่า
นี่หมายความว่าเขาไม่อยากอยู่ในจวนผู้ว่าอีกแล้ว
หลิงจุนเซวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม “ไม่มีปัญหา อาจารย์ไป๋คือแขกคนสำคัญของเมืองหยุนเมิ่ง ท่านจะพักอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้ ข้าจะส่งคนไปจัดเตรียมห้องพักที่ดีที่สุดในตัวเมืองให้แก่ท่านและลูกศิษย์เดี๋ยวนี้”