บทที่ 136 คิดจะแย่งตำแหน่งกันหรือไง
หัวใจของฟางเสี่ยวไป่กระตุกวูบ
นางรู้ดีว่าเจาโจวหยานประมุขแห่งหอการค้าสามพันโยชน์เป็นคนเช่นไร
เขาเป็นคนที่ลุ่มหลงในราคะยิ่งกว่าอะไรดี
โดยเฉพาะขึ้นชื่อว่ารักภรรยาคนปัจจุบันที่สุด
ดังนั้น เพื่อช่วยชีวิตเยว่หงเสว่ เด็กสาวจึงตัดสินใจลักพาตัวสองแม่ลูกมาเป็นตัวประกัน
แต่ฟางเสี่ยวไป่ไม่คิดเลยว่าคนที่นางต้องมาเจอกลับเป็นเจาอู๋หยาง
มีข่าวลือว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นบุตรชายคนโตของเจาโจวหยาน
เขาปรากฏตัวขึ้นในเมืองหยุนเมิ่งนานแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นร่ำลือกันว่าเจาอู๋หยางถูกส่งต่อไปเรียนที่ต่างเมืองเพื่อฝึกฝนฝีมือการต่อสู้ และไม่ได้รับความรักจากเจาโจวหยานเท่าที่ควร คนในเมืองจะรู้จักเจาอู๋หยางดีในเรื่องของการทำอะไรแปลกประหลาดพิสดาร โดยเฉพาะเรื่องที่คนปกติไม่มีทางทำเด็ดขาด
อย่างเช่นเมื่อสักครู่นี้ อยู่ดีๆ เจาอู๋หยางก็สามารถสั่งฆ่าคนได้ตาไม่กะพริบ
นับว่าครั้งนี้ฟางเสี่ยวไป่ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไปจริงๆ
“ข้ามองเจ้าผิดไป”
“ว่าไงนะ?” เจาอู๋หยางหรี่ตาลงเล็กน้อยและกล่าวต่อ “นี่เจ้ายังคิดขัดขืนข้าอยู่อีกหรือ? ตอนนี้เพียงข้าออกคำสั่งเท่านั้น เยว่หงเสว่ก็จะถูกลูกธนูยิงจนตัวพรุนทันที เจ้าเชื่อหรือไม่?”
ฟางเสี่ยวไป่สูดหายใจลึก ตอบว่า “ข้าไม่เชื่อ”
“หืม?”
รอยยิ้มอันตรายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจาอู๋หยาง
ฟางเสี่ยวไป่กล่าวต่ออย่างเชื่องช้าว่า “หลังจากที่เจ้าฆ่าเยว่หงเสว่แล้ว ข้าก็จะหลบหนีไปจากที่นี่ ด้วยระดับฝีมืออย่างข้า อย่างไรเสียก็ต้องหลบหนีสำเร็จแน่ เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะกลายเป็นผู้ที่ยืนอยู่ในที่แจ้ง และข้าก็จะเป็นคนที่ยืนอยู่ในที่ลับ ข้าขอสาบานเลยว่าไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน ข้าก็ต้องแก้แค้นให้แก่เยว่หงเสว่ให้จงได้”
“แหม ที่แท้เจ้าก็ยังมีความหวังอยู่นี่เอง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจาอู๋หยางเพิ่มความอันตรายมากขึ้นและมากขึ้น
จังหวะนั้น เขาพลันสะบัดมือขึ้นมาอย่างไม่มีสัญญาณเตือน
วูบ!
ลำแสงสีเงินพุ่งเป็นประกาย
แล้วผ้าเช็ดหน้าที่รัดพันเส้นผมของเด็กสาวบนศีรษะก็ขาดสะบั้นลง
เส้นผมยาวสลวยของนางไหลปรกลงมาราวม่านน้ำตก
ควับ!
ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!
ลูกธนูสีเงินดอกเล็กปักใส่ต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป 100 ก้าว ส่วนก้นของลูกดอกยังคงสะบัดไหวไปมาด้วยแรงสั่นสะเทือน
ฟางเสี่ยวไป่สีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที
นี่คืออาวุธลับที่เรียกว่าลูกดอกชายเสื้อ
ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถรับมืออาวุธลับซึ่งโจมตีได้อย่างรวดเร็วอย่างลูกดอกชนิดนี้อีกแล้ว
หากเมื่อสักครู่นี้ ลูกดอกมีเป้าหมายอยู่ที่กลางหน้าผากของนางแล้วล่ะก็…
“เจ้ายังมั่นใจอยู่อีกไหมว่าตนเองจะสามารถหนีไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย?”
เจาอู๋หยางพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
ฟางเสี่ยวไป่ยกกระบี่ในมือขึ้นตั้งท่าเตรียมต่อสู้ ยังคงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างต่อไป “ของแบบนี้ไม่ลองจะไปรู้ได้อย่างไร?”
“ฮ่าฮ่า ข้าชอบความมุ่งมั่นของเจ้าเหลือเกิน” ในรอยยิ้มของเจาอู๋หยางนั้น แฝงความวิปริตอยู่หลายส่วน เขากล่าวต่อโดยทันทีว่า “ด้วยระดับพลังของเจ้าในขณะนี้ คงสามารถรับมือข้าได้ประมาณ 3 กระบวนท่า และคนที่มอบความมั่นใจให้แก่เจ้า ก็คงเป็นเด็กหนุ่มที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านหลังเจ้ากระมัง”
สีหน้าของฟางเสี่ยวไป่แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลงของสีหน้าครั้งแรก เป็นเพราะนางพิศวงในฝีมือของเจาอู๋หยาง แต่การเปลี่ยนแปลงของสีหน้าในครั้งนี้ เป็นเพราะความตกตะลึงที่แท้จริง
“หากข้าเดาไม่ผิด เขาคงนั้นคงเป็นซูโต่วจากสำนักหมาป่าไฟเป็นแน่แท้” เจาอู๋หยางพูด “ได้ยินมาว่าเขาเป็นเพื่อนรักของเจ้า เจ้าเชื่อใจเขาด้วยชีวิต เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าเสี่ยงอันตรายขนาดนี้ แล้วเขาจะไม่ติดตามมาด้วย…ข้าพูดถูกหรือไม่?”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มรูปร่างสันทัดก็เดินออกมายืนเคียงข้างฟางเสี่ยวไป่ พร้อมกันนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างแช่มช้า
เด็กหนุ่มมีใบหน้าเรียวยาว ผิวสีน้ำตาล ดวงตาเป็นประกายแวววาวเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า
“ข้าดูเจ้าผิดไปจริงๆ” ซูโต่วขยับมายืนขวางหน้าฟางเสี่ยวไป่ แล้วกล่าวว่า “เจ้าหลบหนีไปก่อน เดี๋ยวข้าจะรับมือเขาเอง”
ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถช่วยเยว่หงเสว่กลับออกไปได้อีกแล้ว ก็ควรรีบหลบหนีออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตราบใดที่สามารถหลบหนีได้สำเร็จ ตัวประกันอย่างเยว่หงเสว่ ก็ยังคงมีโอกาสรอดชีวิต
“ตกลง”
ฟางเสี่ยวไป่หมุนตัวกลับ กำลังจะพลิ้วกายหลบหนี
สถานการณ์ในขณะนี้ เด็กสาวต้องตัดสินใจอย่างระมัดระวัง นางจะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
“ฮ่าฮ่าฮ่า จะหนีไปไหน?”
เจาอู๋หยางเงยหน้าขึ้นระเบิดเสียงหัวเราะ “พวกเจ้าต้องอยู่ที่นี่ทุกคน”
แล้วเขาก็สะบัดมือขึ้นอีกครั้ง
ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!
ลูกดอกสีเงินขนาดเล็กพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเจาอู๋หยางราวกับเป็นลูกกระสุน
เคล้ง! เคล้ง!
โล่ชนิดอ่อนและกระบี่ของซูโต่วสามารถป้องกันลูกดอกสองดอกแรกได้สำเร็จ แต่ทว่าลูกดอกที่สามกลับลอดผ่านช่องว่างระหว่างกระบี่และโล่ป้องกันเข้ามาได้ ได้ยินเสียงดังปึก แล้วเลือดสีแดงสดก็สาดกระจาย
เด็กหนุ่มส่งเสียงคำรามในลำคอ ถ้าไม่ได้รับบาดเจ็บเสียก่อน ซูโต่วก็จะรับหน้าที่เป็นหน่วยทะลวงฟัน ถ่วงเวลาคู่ต่อสู้ให้พวกพ้องได้มีเวลาหลบหนี
ซูโต่วรู้ดีว่าสำหรับคู่ต่อสู้ที่เชี่ยวชาญการใช้อาวุธลับเช่นนี้ มีแต่ต้องต่อสู้ด้วยในระยะประชิดตัวเท่านั้น
แต่ขยับไปข้างหน้าได้เพียงสามก้าว กล้ามเนื้อแขนขาก็ปราศจากเรี่ยวแรง ลำตัวรู้สึกชาดิก สุดท้ายก็ต้องล้มพับลงไปนอนกองอยู่บนพื้นดิน…
“ลูกดอก…อาบยาพิษ…”
ซูโต่วส่งเสียงตะโกน
แต่ในพริบตาต่อมา เขาก็เห็นฟางเสี่ยวไป่เพิ่งจะวิ่งหนีออกไปได้เพียง 5 วา หัวไหล่ซ้ายก็ถูกลูกดอกปักเข้าใส่อย่างแม่นยำ นางก้าวเดินต่อไปได้อีกเพียงเล็กน้อย ก่อนที่ร่างจะล้มลงนอนกองอยู่บนพื้นไปไหนไม่ได้อีก
มือกระบี่สองคนวิ่งเข้าไปคุมตัวฟางเสี่ยวไป่กลับมา
“ฮ่าฮ่า พวกเจ้าสองคนเห็นที่นี่เป็นอะไร คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ?”
เจาอู๋หยางเดินยิ้มแฉ่งเข้าไปหาฟางเสี่ยวไป่ จ้องมองเด็กสาวจากสำนักยุทธ์อิสระด้วยสายตาคุกคาม เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนพูดว่า “สมแล้วที่พวกเขายกย่องให้เจ้าเป็นหนึ่งในบุปผางามประจำเมือง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้ายังบริสุทธิ์สดใหม่อยู่เสียด้วยสิ อะฮิอะฮิ”
ดวงตาคมกริบของฟางเสี่ยวไป่เบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก หากสายตาของนางเป็นคมมีด บัดนี้เจาอู๋หยางคงตกตายไปหลายรอบแล้ว
เด็กสาวยังมีสติรับรู้ทุกอย่าง แต่ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ไม่สามารถควบคุมได้เลย
ลูกดอกที่เจาอู๋หยางยิงออกมาน่าจะเคลือบตัวยาบางอย่างเอาไว้แน่นอน
เจาอู๋หยางก้มตัวลงใช้มือเชยคางฟางเสี่ยวไป่ พินิจดูผิวหน้าขาวเนียนของนางด้วยความพอใจ หลังจากนั้น เขาก็ไล้มือลงมาตามซอกคอระหง จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ปกคอเสื้อของนาง แล้วรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเจาอู๋หยางอีกครั้ง
“ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้าผ่านการคัดเลือก เป็นตัวแทนเข้าแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองด้วยนี่นา นับว่าเจ้านี่ฉลาดไม่น้อยเลยนะ คงอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเองสิท่า ฮ่าฮ่า แต่น่าอนาถที่ระดับพลังของเจ้ายังอ่อนด้อยมากเกินไป ทำให้แม้แต่รอบ 20 คนสุดท้ายก็ผ่านเข้าไปไม่ได้”
“มิหนำซ้ำ ยังเชื่อใจคนอื่นไม่ลืมหูลืมตา สุดท้ายเจ้าก็ไม่ได้รับสมุนไพรวิเศษที่พวกมันสัญญาเอาไว้ แถมสถานการณ์ของสำนักวายุสะเทือนฟ้ากับสำนักหมาป่าไฟก็ไม่ค่อยสู้ดี ทุกอย่างย่ำแย่ลงเรื่อยๆ หุหุ…เจ้าเคยสงสัยบ้างหรือไม่ ว่าเพราะอะไรกลุ่มคนเหล่านั้นถึงผิดสัญญากับเจ้า?”
ฟางเสี่ยวไป่เบิกตาโตด้วยแววตาดุร้าย
นิ้วมือของเจาอู๋หยางค่อยๆ เลื่อนลงไปในอกเสื้อของนางอย่างเชื่องช้า
เขาสัมผัสได้ถึงผิวที่นุ่มนิ่ม เรียบเนียนราวกับหยกล้ำค่า กลิ่นกายที่หอมหวลเย้ายวนใจ
เด็กหนุ่มหยุดมือกลางคันขณะกล่าว “ข้าชอบตอนที่เจ้าทำหน้าแบบนี้จังเลย ดูเหมือนเจ้าคงรู้คำตอบแล้วสินะ ใช่แล้ว ข้าบังคับให้พวกมันผิดสัญญาเองแหละ ทุกอย่างเป็นแผนการของข้ามาตั้งแต่แรก ก็ใครใช้ให้เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดอยู่เพียงคนเดียวเล่า อะฮิอะฮิ ตกลงว่าตอนนี้ เจ้าจะยอมเป็นทาสรับใช้ข้าได้หรือยัง?”
ฟางเสี่ยวไป่พยายามดิ้นรนอย่างหมดหวัง
แต่นอกจากตอนนี้ร่างกายจะขยับไม่ได้แล้ว นางยังมีมือกระบี่คอยคุมตัวอยู่อีกถึง 2 คน
มือของเจาอู๋หยางเป็นเหมือนงูพิษที่กำลังจะเลื้อยลงไปหาสองเต้าเต่งตึงของนางอย่างชั่วร้าย
แต่ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามารายงานว่า “เกิดเรื่องแล้วขอรับ นายน้อย”
บุคคลผู้นั้นวิ่งเข้ามาคุกเข่าข้างหนึ่งและรายงานว่า “นายน้อยขอรับ เกิดเรื่องขึ้นกับสำนักคลื่นเขียวขอรับ พวกเราเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก พี่ใหญ่เหลาโดนจับตัว…” หลังจากนั้น ชายฉกรรจ์ก็บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในตรอกแคบให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
“พี่ใหญ่เหลาของพวกเจ้าพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียวอย่างนั้นหรือ? แสดงว่าอีกฝ่าย…ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 8 เป็นอย่างต่ำ ไม่มีอะไรต้องแปลกใจทั้งนั้น ว่าแต่เจ้ากลับมารายงานข้าด้วยเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?”
เจาอู๋หยางตวัดมือตบหน้าชายฉกรรจ์ผู้รายงานข่าวเต็มแรง แล้วกล่าวต่อ “ข้าไม่สนใจหรอกว่าพี่ใหญ่เหลาอะไรนั่น จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร…ออกไปจากที่นี่ซะ ทีหน้าทีหลังอย่ามารบกวนข้าด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อีก”
ชายฉกรรจ์ถูกตบกลิ้งไปบนพื้นหลายตลบ ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก เขารีบม้วนตัววิ่งกลับไปตามทางเดิมทันที
ทุกคนล้วนทราบดีว่านายน้อยเจาเป็นพวกวิกลจริตขนาดไหน บางครั้งเขาถึงกับสังหารคนของตัวเองด้วยซ้ำ
เจาอู๋หยางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ หลังจากนั้นก็โยนทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ คราวนี้เขาใช้สองมือจับปกคอเสื้อของฟางเสี่ยวไป่ เจตนาจะฉีกกระชากออก…
แต่จังหวะนั้นเอง เสียงของคนแปลกหน้าก็ดังขึ้นด้านหลังว่า
“กลางวันแสกๆ ไม่อายผีสางเทวดา…เจ้านี่มันชั่วช้าได้ใจข้าจริงๆ ถึงกับกล้าทำในสิ่งที่ข้าอยากทำ แต่ไม่กล้าทำมาตลอด อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะแย่งตำแหน่งคนเสเพลอันดับ 1 ประจำเมืองหยุนเมิ่งของข้า?”
เจาอู๋หยางตะลึงลานอยู่กับที่
เขาเหลียวหน้ามองไปด้านหลัง
บนกำแพงสูงขณะนี้ เด็กหนุ่มในเครื่องแบบมือกระบี่ฝึกหัดคนหนึ่ง กำลังนั่งยองๆ อยู่บนสันกำแพง
เด็กหนุ่มคนนี้มีหน้าตาหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ นิ้วกลางของมือขวาสวมใส่แหวนสีเขียวเข้ม มือข้างนั้นกำลังถือแตงโมอยู่หนึ่งชิ้น เขาพูดไปกินไป ลักษณะเพียงดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีเด็ดขาด