บทที่ 137 เจ้ากล้าหลอกข้าหรือ
“เจ้าเป็นใคร?”
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าเจาอู๋หยางอีกครั้ง
“ข้าน่ะหรือ?” เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารับประทานแตงโมที่เหลืออยู่อีกสองสามคำจนหมด ก่อนแลบลิ้นเลียเปลือกแตงโมแผล่บๆ แล้วพูดว่า “ถ้าบอกว่าข้าเป็นเพียงคนที่ผ่านทางมาและแวะดูเหตุการณ์ด้วยความสนใจเท่านั้น เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
“นายท่านขอรับ เป็นเขานี่แหละ” ชายฉกรรจ์ผู้ถูกตบหน้า วิ่งกลับมาส่งเสียงตะโกนลั่น “เป็นเขานี่แหละขอรับที่จับตัวพี่ใหญ่เหลาแห่งสำนักคลื่นเขียวไป”
“โอ๊ะ มาหาข้าได้ถึงที่อย่างนี้ แสดงว่าสำนักคลื่นเขียวคงทรยศข้าเข้าให้แล้ว” เจาอู๋หยางพูดหน้านิ่วคิ้วขมวด
“มิผิด”
ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาอยู่บนสันกําแพง และชายคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือพี่ใหญ่เหลาแห่งสำนักคลื่นเขียวนั่นเอง
บัดนี้ จมูกของพี่ใหญ่เหลาบิดเบี้ยว รอบบริเวณดวงตาเป็นสีดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้า ลักษณะถูกทุบตีมารุนแรงไม่ใช่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังสามารถพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างว่า “คุณชายหลินเป่ยเฉินอุตส่าห์ช่วยชี้แนะข้าน้อยอย่างอดทน ทำให้ข้าน้อยได้รู้แล้วว่าตนเองทำอะไรผิดไป และจะต้องแก้ไขความผิดพลาดนั้นอย่างไรบ้าง เพื่อตอบแทนบุญคุณของเมืองหยุนเมิ่ง ข้าจึงไม่ใช่ข้าคนเก่าอีกต่อไปแล้ว…”
เมื่อดูจากใบหน้าที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก จะบอกว่าหลินเป่ยเฉินเปลี่ยนพี่ใหญ่เหลาให้กลายเป็นคนละคนก็คงไม่ผิดนัก
เจาอู๋หยางมึงงงหนักมากกว่าเดิม
เขาไม่คิดว่าพี่ใหญ่เหลาจะกล้ามาที่นี่จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังกล้าพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ใส่หน้าเขาด้วย
“หรือว่าเจ้ามือกระบี่ฝึกหัดคนนี้จะมีพื้นเพไม่ธรรมดา? มิเช่นนั้น คงไม่ทำให้คนมีฝีมืออย่างพี่ใหญ่เหลา สามารถทรยศหอการค้าสามพันโยชน์ได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้?”
“ท่านคงเป็นคุณชายหลินสินะ?” เจาอู๋หยางประสานมือแนบอก ก้มหัวคำนับเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายมานานแค่ไหนแล้วขอรับ?”
“ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก” เด็กหนุ่มผู้นั่งยองๆ อยู่บนสันกำแพงตอบ “แต่ก็ทันได้เห็นเจ้าแอบเอามือล้วงเข้าไปในเสื้อของฟางเสี่ยวไป่พอดี พอข้าเห็นเจ้าถึงกับลวนลามคนที่มีหน้าอกเล็กๆ อย่างนี้ ข้าก็ทนดูไม่ได้อีกต่อไป…คิดจะเป็นคนเสเพล เจ้าก็ควรเลือกคู่ขาของเจ้าหน่อยสิ เที่ยวไปบังคับขืนใจคนอื่นเช่นนี้ เสียชื่อสถาบันคนเสเพลหมด”
ฟางเสี่ยวไป่ถูกควบคุมตัวอยู่ด้านหนึ่ง บัดนี้กำลังโกรธแค้นแทบตายแล้ว
หน้าอกของนางยังไม่โดนจับสักหน่อย นับว่าคนพูดสมควรตาย
อีกอย่าง หน้าอกของนางใช่ว่าจะเล็กเสียที่ไหน
แต่ทันใดนั้น เด็กสาวก็จำได้แล้วว่ามือกระบี่ฝึกหัดที่กำลังนั่งยองๆ อยู่บนสันกำแพงคนนี้ก็คือหลินเป่ยเฉิน ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง
มันทำให้หัวใจของฟางเสี่ยวไป่หล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เนื่องจากนางจำได้ดี ถึงหลินเป่ยเฉินจะมีระดับพลังแข็งแกร่งในกลุ่มลูกศิษย์ประจำชั้นปีที่ 2 แต่ก็ยังห่างชั้นกับเจาอู๋หยางอยู่อีกหลายช่วงตัว เพราะดูเหมือนว่าคุณชายโรคจิตจะบรรลุขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 1 เรียบร้อยแล้ว
หลินเป่ยเฉินบุกเข้าถิ่นศัตรูเพียงตัวคนเดียว เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ
เจาอู๋หยางโดนหลินเป่ยเฉินยั่วโมโห แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีโกรธกริ้วแต่อย่างใด
คุณชายโรคจิตใช้สายตาสำรวจมองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วความเคร่งขรึมก็ปรากฏขึ้นบนสีหน้า หมายความว่าเจาอู๋หยางเกิดความรู้สึกหวาดระแวงอยู่ไม่น้อย เขากล่าว “ข้ารู้จักคุณชายตระกูลใหญ่แทบทุกคนในเมืองนี้ ไม่ทราบว่าคุณชายหลินมาจากตระกูลของผู้ใดหรือ?”
หลินเป่ยเฉินทำหน้าทะเล้นขึ้นมาทันที เหมือนกับว่าเขารอให้เจาอู๋หยางถามคำถามนี้มานานแล้ว
ไม่มีใครคิดเลยว่าจังหวะที่เด็กหนุ่มอ้าปากเตรียมตอบคำถาม
ฟ้าว!
ทันใดนั้น ลูกดอกสีเงิน 3 ดอกก็พุ่งใส่เขา
เจาอู๋หยางนับว่าชำนาญเรื่องการลอบโจมตีที่สุด
เขารู้ดีว่าตอนที่ตนเองทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน อีกฝ่ายจะลดความระมัดระวังลง ดังนั้น เจาอู๋หยางจึงอาศัยจังหวะที่หลินเป่ยเฉินเตรียมตอบคำถามของเขา ซัดอาวุธลับเข้าโจมตี
แต่เขาไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับใคร?
เจาอู๋หยางกำลังเผชิญหน้าอยู่กับเทพเจ้าแห่งการเล่นเกม ผู้ที่สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ทุกการแข่งขัน
หลินเป่ยเฉินชำนาญเรื่องการวางกลยุทธ์ทุกรูปแบบ เขามักเป็นฝ่ายโกงคนอื่น และไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นโกงตนเองเด็ดขาด
แม้แต่เฉาพั่วเถียนก็ถูกเขาเล่นงานจนอ่วมมาแล้ว
คราวนี้ หลินเป่ยเฉินจะพลาดท่าเสียทีได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินตั้งตัวระมัดระวังอยู่นานแล้ว
ทันใดนั้น มีดเจิ้งอี้ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา พร้อมกับที่ลูกดอกทั้ง 3 เข้ามาถึงตัวพอดี
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
ลูกดอกทั้ง 3 กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง
หลินเป่ยเฉินกระโดดลงมาจากกำแพง กล่าวด้วยความเดือดดาลว่า “เจ้าคนชั่วโฉด! กล้าหลอกข้าหรือ…” เด็กหนุ่มเสียเวลาไม่น้อยกว่าจะคิดฉายาของตัวเองออกมาได้ว่า ‘เทพมารสะท้านปฐพี’ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดชื่อฉายาออกมาดีๆ เจาอู๋หยางก็ซัดอาวุธลับใส่เขาเสียก่อน
แต่เสียงของหลินเป่ยเฉินยังไม่ทันจางหายไป
เขาก็ได้ยินเสียงดังตุ๊บดังขึ้นด้านหลัง
เด็กหนุ่มรีบหันไปมอง
จึงได้พบว่าเป็นพี่ใหญ่เหลาแห่งสำนักคลื่นเขียวร่วงตกลงมาจากกำแพง มีลูกดอกสีเงินปักอยู่ที่ก้นหนึ่งดอก เขาเงยหน้าขึ้นสบตาหลินเป่ยเฉินด้วยความขมขื่น ปรากฏว่าลูกดอกที่ปักก้นของเขาในตอนนี้ เป็นหนึ่งในลูกดอกที่เด็กหนุ่มปัดกระเด็นไปนั่นเอง พี่ใหญ่เหลาโดนลูกดอกปักก้นไม่ทันตั้งตัว แขนขาปราศจากเรี่ยวแรง จึงร่วงตกลงมาจากกำแพงตามที่เห็น
“เจ้านี่มันไร้ประโยชน์เหลือเกิน!”
หลังดุด่าแล้ว หลินเป่ยเฉินก็เดินเข้าไป ก้มตัวลงดึงลูกดอกออกจากก้นของชายฉกรรจ์
“โอ๊ย…”
พี่ใหญ่เหลาร้องเสียงหลง
“มันเจ็บมากเลยงั้นหรือ?” หลินเป่ยเฉินรีบปักลูกดอกกลับลงไปบนตำแหน่งเดิมที่ก้นของชายฉกรรจ์ แล้วพูดว่า “ขอโทษที ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
พี่ใหญ่เหลาเจ็บปวดจนมือเท้ากระตุก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจหลับตาลง แล้วปิดปากเงียบดีกว่า
เจาอู๋หยางสะบัดมือขึ้นอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!
จังหวะนั้น ลูกดอกสีเงินอีก 6-7 ดอกก็ออกมาจากแขนเสื้อของเจาอู๋หยาง โจมตีใส่หลินเป่ยเฉินอย่างต่อเนื่อง มี 2 ดอกที่ยิงออกมาด้วยกระบวนการพิเศษ ส่วนดอกที่เหลือนั้นยิงออกมาด้วยเครื่องมือที่ติดตั้งกลไกซับซ้อนเอาไว้ ลูกดอกเหล่านี้ถึงกับสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางได้กลางอากาศ พุ่งเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินทั้งซ้ายทั้งขวาพร้อมๆ กัน
เป็นทักษะการยิงอาวุธลับที่ยอดเยี่ยม
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินจ้องมองด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
ทันใดนั้น ในหัวใจของเขาเกิดความคิดบรรเจิดขึ้นมาแล้ว…
ไม่กี่วันก่อน ตอนที่ทบทวนถึงคุณสมบัติที่ยังขาดหายไปในการเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง หลินเป่ยเฉินลืมนึกถึงเรื่องสำคัญไปเสียสนิท
ทักษะการใช้อาวุธระยะไกล!
การยิงธนูและอาวุธลับ
“ถ้าสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้จากระยะไกล แล้วทำไมจะต้องเหนื่อยแรงสู้ในระยะประชิดตัวด้วยล่ะ?”
หลายเกมที่เขาเคยเล่นในโลกมนุษย์ การใช้ทักษะยิงปืนยาวให้แม่นยำคือสิ่งสำคัญมาก เพราะมันเป็นตัวช่วยที่จะทำให้สังหารศัตรูคู่แข่งผู้แข็งแกร่งได้จากระยะไกล
ต่อให้ส่วนใหญ่แล้ว มือปืนซุ่มยิงจะต้องเสียชีวิตเมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามเข้าประชิดตัว แต่หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจว่าตนเองจะไม่มีจุดจบแบบนั้นแน่นอน
เพราะเขาเป็นมือกระบี่
มือกระบี่ที่เรียนรู้วิธีการป้องกันตัวมาเป็นอย่างดี
ต่อให้ศัตรูเข้ามาประชิดตัวเขาได้ หลินเป่ยเฉินก็สามารถสู้กลับโดยไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น
เมื่อคิดได้ดังนี้ เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าหนทางชีวิตข้างหน้าเริ่มสว่างไสวขึ้นมาแล้ว
เขาปล่อยกระแสจิตออกไปเพื่อคำนวณทิศทางของลูกดอกแต่ละลูก หลังจากนั้น จึงใช้วิชาตัวเบาย่องหาโฉมสะคราญ ตำแหน่งร่างกายจึงปรับเปลี่ยนหลากหลาย เดี๋ยวเคลื่อนมาซ้าย เดี๋ยวย้ายมาขวา ทำให้สามารถหลบหลีกห่าลูกดอกที่พร่างพรมเข้าใส่ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ แล้วไม่กี่อึดใจต่อจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็แทงมีดเข้าไปที่เบื้องหน้าเจาอู๋หยาง
เจาอู๋หยางผงะถอยหลัง
มือกระบี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบกรููออกมา
พั่บ พั่บ พั่บ
ได้ยินเสียงนกกระพือปีก
หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนมาใช้วิชาวิหคดั้นเมฆ ลอยตัวขึ้นไปเหมือนนกน้อย จากนั้นเขาก็ใช้มีดในมือตัดฟันไปที่สายโซ่ตะขอเหล็ก ซึ่งเจาะร้อยไว้ที่หัวไหล่ทั้งสองข้างของเยว่หงเสว่ ผู้ถูกจับห้อยต่องแต่งอยู่กับกิ่งไม้ด้านบน
มีดเจิ้งอี้สร้างชื่อเสียงไว้พอสมควรในงานประลองกระบี่ที่ผ่านมา มิหนำซ้ำ ฟานซูอังยังเป็นคนสลักชื่อให้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น มันจึงมีความคมมากกว่ามีดธรรมดา ได้ยินเสียงดังเช้งเช้งสองครั้ง ตะขอเหล็กที่เจาะอยู่บนหัวไหล่ของเยว่หงเสว่ก็ขาดสะบั้น
หลินเป่ยเฉินอุ้มร่างเด็กชายผู้หมดสติด้วยแขนซ้าย ก่อนทิ้งตัวลงมายืนหยัดบนพื้นดินอย่างมั่นคง
เจาอู๋หยางสีหน้าโกรธแค้น สะบัดมือขึ้นอย่างเร่งร้อน
ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!
เขาอาศัยจังหวะนี้ลอบโจมตีด้วยลูกดอกอีก 3 ดอกเน้นๆ
แต่หลินเป่ยเฉินยังคงปล่อยคลื่นพลังจิตออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำห้ทุกอย่างในรัศมีห้าวารอบกายอยู่ในประสาทสัมผัสของเขาใกล้ชิด เด็กหนุ่มเตรียมพร้อมรับมืออยู่ก่อนแล้ว มีดในมือของเขาตวัดวูบวาบ ได้ยินเสียงดังติ๊งติ๊งติ๊งดังขึ้นสามครา ประกายไฟสาดกระจาย แล้วลูกดอกสีเงินที่พุ่งเข้ามาก็กระเด็นกลับออกไปอีกครั้ง
กลุ่มมือกระบี่ของหอการค้าสามพันโยชน์กรูเข้ามาห้อมล้อมอีกคำรบ
“วิชากระบี่สายน้ำไหล”
หลินเป่ยเฉินประคองร่างเยว่หงเสว่ด้วยแขนเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็ตวัดมีดปัดป้องกันการโจมตี
เสียงคลื่นน้ำถาโถมดังเข้ามากระแทกหู
ส่งมือกระบี่จำนวน 5 คนลอยกระเด็นออกไปล้มลงกับพื้นดิน กระบี่ในมือแตกหักเสียหายหมดสิ้น
หลังจากนั้น
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวแล้วสะบัดแขนซ้ายออกไปอย่างแรง
ร่างของเยว่หงเสว่ลอยละลิ่วไปหล่นในอ้อมแขนของพี่ใหญ่เหลาแห่งสำนักคลื่นเขียวอย่างพอดิบพอดี พี่ใหญ่เหลาเพิ่งจะฟื้นตัวจากฤทธิ์ยาชาของลูกดอกเงินเพียงเล็กน้อย เพิ่งลุกขึ้นมานั่งได้ไม่ทันไร ก็ถูกร่างของเยว่หงเสว่ลอยเข้าไปทับจนล้มโครมลงอีกรอบ
พลัน หลินเป่ยเฉินใช้ออกด้วยวิชาย่องหาโฉมสะคราญอีกครั้ง เพียงกระพริบตาทีเดียว เขาก็สามารถพลิ้วกายออกจากวงล้อมของมือกระบี่และพุ่งเข้าหาเจาอู๋หยางได้อย่างน่าหวาดกลัว
คุณชายโรคจิตมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที
บัดนี้ เขารู้สึกได้ถึงพลังกดดันที่คุกคามเข้ามา
เด็กหนุ่มที่สวมใส่เครื่องแบบมือกระบี่ฝึกหัดของสถานศึกษาแห่งหนึ่ง มีพลังที่น่ากลัวเกินคาดคิด
ไม่ว่าจะเป็นวิชาตัวเบาหรือวิชากระบี่ ต่างก็จัดว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยมทั้งคู่
ไม่เพียงเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าหลินเป่ยเฉินมีประสบการต่อสู้โชกโชน นับได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เจาอู๋หยางไม่สามารถจัดการได้โดยง่ายเลยจริงๆ