บทที่ 138 เจ้าทำอะไรผิด
ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!
เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังเข้ามา
มือธนูที่ซ่อนตัวอยู่ตามจุดต่างๆ ของคฤหาสน์แผลงศรยิงธนูใส่หลินเป่ยเฉินเป็นจุดเดียว
หลินเป่ยเฉินใช้พลังจิตตรวจจับความเคลื่อนไหวรอบกายอยู่ก่อนแล้ว ทันใดนั้น เขาใช้วิชาย่องหาโฉมสะคราญออกมาอีกครั้งเพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งหลบลูกธนู ในเวลาเดียวกัน ก็ถลันกายเข้าไปหาเจาอู๋หยาง
นี่คือหลักการต่อสู้ของหลินเป่ยเฉิน
“จะจัดการแม่ทัพ ต้องยิงม้าให้ตายก่อน จะจัดการกองโจร ก็ต้องเล่นงานที่หัวหน้ากลุ่ม”
ถ้าเขาสามารถจับตัวเจาอู๋หยางได้สำเร็จ ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว
วูบ! วูบ! วูบ!
แต่วิชาตัวเบาของเจาอู๋หยางก็คล่องแคล่วไม่น้อย
คุณชายโรคจิตสามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้อย่างพริ้วไหว พร้อมกันนั้น เขาก็ซัดอาวุธลับออกมาจากแขนเสื้อหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นมีดบิน เข็มบิน ลูกดอก ลูกเหล็ก ต่างก็พุ่งเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินอย่างต่อเนื่อง
นี่คือครั้งแรกตั้งแต่ทะลุมิติมาอยู่โลกใบนี้ ที่หลินเป่ยเฉินเผชิญหน้ากับศัตรูผู้ใช้อาวุธลับ
ตอนอยู่บนโลกมนุษย์ เขาเคยดูซีรีส์กำลังภายในมากมายหลายเรื่อง จึงพอจะทราบมาบ้างว่าจอมยุทธ์ที่ใช้อาวุธลับเป็นอาวุธหลัก มักจะซุกซ่อนอาวุธไว้ตามข้อมือ ข้อศอก หัวไหล่ เอว หัวเข่า ข้อเท้า และนิ้วเท้า บางคนถึงกับสามารถยิงอาวุธลับออกมาได้จากต้นคอ หรือแม้แต่ในปากก็สามารถพ่นอาวุธลับออกมายามคับขันได้เช่นกัน
“เจาอู๋หยางเหมือนจอมยุทธ์พวกนั้นอย่างกับแกะเลยเว้ยเฮ้ย”
แต่อาวุธลับของคุณชายโรคจิตเป็นลูกดอกกับมีดบินเสียส่วนใหญ่
ถ้าเดาไม่ผิด ในแขนเสื้อของเจาอู๋หยางจะต้องติดตั้งกลไกอะไรบางอย่างเอาไว้ จึงสามารถยิงลูกดอกออกมาได้อย่างต่อเนื่อง
หลินเป่ยเฉินเคลื่อนกายเข้าไปประชิดตัวเจาอู๋หยาง และใช้มีดเจิ้งอี้ปัดป้องอาวุธลับที่พุ่งเข้ามาตลอดเวลา
คุณชายโรคจิตหัวเราะเยาะ อาศัยจังหวะที่หลินเป่ยเฉินเคลื่อนกายเข้าหา สะบัดมือขึ้นแล้วยิงลูกดอกขนาดใหญ่ออกไปจากแขนเสื้อ
เคล้ง!
มีดในมือหลินเป่ยเฉินตวัดฟันลูกดอกนั้น
ฟึบ!
ลูกดอกขาดเป็นสองท่อนทันที
บังเกิดกลุ่มควันสีเขียวพวยพุ่งออกมาจากตัวลูกดอก
เงาร่างของหลินเป่ยเฉินกลืนหายเข้าไปในหมอกควันสีเขียวนั้น
“อะฮิอะฮิ…”
เจาอู๋หยางหัวเราะอย่างสะใจ
ต่อให้หลินเป่ยเฉินสูดดมผงคชสารนิทราเข้าไปเพียงเล็กน้อย แขนขาก็ต้องอ่อนแรงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว นี่คือยานอนหลับที่แม้แต่ช้างตัวใหญ่ก็ยังสลบ นับประสาอะไรกับคนผู้หนึ่ง
แน่นอนว่าหลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็เดินโซเซออกมาจากกลุ่มหมอกควันสีเขียว
“อะเฮื้อก เจ้ามันเลวทรามต่ำช้า…เล่นสกปรก”
เด็กหนุ่มไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง
สุดท้าย ก็ล้มหน้าคว่ำลงไปกองกับพื้นเสียงดังตุ๊บ
เจาอู๋หยางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แล้วออกคำสั่งทันที “ฆ่ามัน”
…
ห่างออกมาไม่ไกล ฟางเสี่ยวไป่กับซูโต่วมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความหมดหวัง
ตอนแรกพวกเขาหลงดีใจเห็นหลินเป่ยเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ที่ไหนได้ เจาอู๋หยางกลับมีลูกดอกยาสลบซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ หลินเป่ยเฉินไม่ทันระวังตัวจึงพลาดท่าเสียที นับว่าต่อให้มีฝีมือสูงส่งสักเพียงใด ถ้ายังไม่มีประสบการณ์ในสนามรบมากพอ ก็ต้องมีจุดจบเช่นนี้เอง
“จบกัน”
เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองคนคอตกก้มหน้ามองพื้นดิน
เจาอู๋หยางชั่วร้ายเกินไป
คนของหอการค้าสามพันโยชน์ชักกระบี่ออกมาแทงเข้าใส่ร่างหลินเป่ยเฉินบนพื้นดินพรุนเหมือนแหปลา
ฟางเสี่ยวไป่กับซูโต่วหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว พวกเขาไม่สามารถทนดูเหตุการณ์ต่อไปนี้ได้อีกแล้ว
รอยยิ้มอำมหิตปรากฏขึ้นบนใบหน้าเจาอู๋หยาง
เหตุผลที่เขาสั่งฆ่าหลินเป่ยเฉินโดยไม่จับตัวเอาไว้ก่อน เป็นเพราะคุณชายโรคจิตไม่อยากทราบว่าหลินเป่ยเฉินมีตัวตนที่แท้จริงเป็นใครกันแน่
แต่คาดเดาได้ว่าต้องมีสถานะสูงส่งไม่ใช่เล่น
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ได้มีเรื่องบาดหมางกับหลินเป่ยเฉินไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงต้องกำจัดทิ้งเสีย เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม
ตราบใดที่หลินเป่ยเฉินไม่สามารถฟื้นคืนชีพมาบอกทุกคนได้ ว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน ทุกคนของหอการค้าสามพันโยชน์ก็จะไม่มีใครรู้พื้นเพของเขา จะไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าหลินเป่ยเฉินได้เดินทางมาที่นี่ และจะต้องไม่มีข่าวลือเล็ดรอดออกไปเด็ดขาด
และหลังจากนั้น เจาอู๋หยางก็จะฆ่าคนของพี่ใหญ่เหลาทิ้งไปให้หมด…
เพียงเท่านี้ ก็จะไม่มีผู้ใดระแคะระคายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อีกแล้ว
น่าตื่นเต้นชะมัด
เจาอู๋หยางดวงตาเป็นประกายแวววาว
สำหรับกับเขาแล้ว การได้สังหารยอดฝีมืออัจฉริยะ สร้างความสุขได้ยิ่งกว่าการครอบครองเรือนร่างหญิงงามเสียอีก
คุณชายโรคจิตอดหัวเราะออกมาไม่ได้
จังหวะนั้น เสียงของใครคนหนึ่งก็ถามขึ้นข้างตัวเขาว่า “เจ้ากำลังหัวเราะอะไรอยู่?”
“ข้ากำลังหัวเราะเรื่องที่…”
เจาอู๋หยางตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลังจากนั้น มีดเจิ้งอี้ก็จ่อเข้ามาที่ลำคอของเขา
เจาอู๋หยางใบหน้าแข็งค้างตะลึงงัน
เขามองซากศพที่นอนอยู่บนพื้นดินเบื้องหน้า ซากศพที่กลายเป็นรูพรุนด้วยคมกระบี่ของลูกสมุนเขา บัดนี้มันได้สลายหายไปกลางอากาศ ทำให้มือกระบี่ที่ยืนอยู่ล้อมรอบซากศพ ต่างก็หันมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความประหลาดใจ
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ว่า “หัวเราะต่อไปสิ เงียบทำไม? ไม่อยากหัวเราะแล้วหรือ?”
“เจ้า…”
เจาอู๋หยางเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่าตนเองโดนหลอกเสียสนิท
ต่อให้เขาจะไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือ…
แม้เขาจะฉลาดสักเพียงใด ก็ยังมีวันที่คำนวณผิดพลาด เจาอู๋หยางผิดพลาดตรงที่ปล่อยให้เด็กหนุ่มฝ่ายตรงข้ามเข้ามาอยู่ในระยะประชิดตัวมากเกินไป จนสุดท้ายก็โดนมีดจ่อลำคออย่างนี้
“เป็นเพียงลูกศิษย์ยังไม่บรรลุวิชา กลับโอหังถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
โชคดีที่ก่อนหน้านี้ คุณชายโรคจิตพอจะระวังตัวอยู่บ้าง ด้วยเห็นว่าหลินเป่ยเฉินมีฝีมือแข็งแกร่งเหนือธรรมดา เขาจึงโคจรพลังลมปราณเตรียมเอาไว้พอสมควร เจาอู๋หยางพยายามขยับนิ้วมือ เพื่อกระตุ้นกลไกที่ติดอยู่กับข้อมือ
“หยุด อย่าขยับ”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ว่าคุณชายโรคจิตกำลังจะขยับข้อมือ จึงกล่าวต่อ “เจ้าคงรู้ตัวดีแล้ว มีดในมือของข้าสามารถเจาะลำคอของเจ้าได้ง่ายดายยิ่งกว่าขนมปังชิ้นหนึ่ง เพราะฉะนั้น อย่าได้คิดขยับตัวเด็ดขาด ขอเพียงเจ้ากระดิกนิ้วมือเท่านั้น รับรองได้เลยว่าหัวของเจ้าจะไม่อยู่บนบ่าอีกต่อไป”
เจาอู๋หยางสูดลมหายใจลึก
ต้องยอมรับว่าขณะนี้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
ต่อให้มีโอกาสสูงที่เขาจะสามารถซัดอาวุธลับใส่เด็กหนุ่มคนนี้ได้สำเร็จ แต่ถึงกระนั้น หลินเป่ยเฉินในสภาพบาดเจ็บก็สามารถตัดศีรษะของเขาทิ้งได้เช่นกัน
“อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม คุณชายหลิน เรามาคุยกันก่อน”
เจาอู๋หยางคลี่ยิ้มอย่างขออภัยและกล่าวว่า “เรื่องระหว่างพวกเราอาจเป็นเพียงการเข้าใจผิดกันก็ได้”
“เข้าใจผิดบิดาเจ้าเถอะ”
หลินเป่ยเฉินโบกหลังมือตบหน้าคุณชายโรคจิตเสียงดังเพี๊ยะ
ใบหน้าซีกซ้ายของเจาอู๋หยางบวมขึ้นมาทันตาเห็น ดวงตามองเห็นดาวระยิบระยับ ในหูได้ยินเสียงดังวิ้งวิ้ง เขาโกรธแค้นแทบขาดใจตาย แต่ก็ต้องระงับโทสะ ฝืนยิ้มกล่าวต่อไปว่า “ถ้าเจ้าระบายโทสะกับข้าแล้วสบายใจ ข้าก็ไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ข้าก็ทำผิดไปจริงๆ…”
หลินเป่ยเฉินใช้หลังมือตบหน้าเจาอู๋หยางอย่างแรงอีกครั้ง ก่อนถามว่า “เจ้าทำอะไรผิด?”
“ว่าไงนะ?” เจาอู๋หยางคิ้วย่นด้วยความสับสน
นั่นมันเป็นคำถามประเภทไหนกัน
คุณชายโรคจิตพยายามคิดหาคำตอบที่ดีที่สุด “ข้าไม่ควรซัดอาวุธลับใส่ท่าน…”
เพี๊ยะ!
สิ่งที่เขาได้รับกลับเป็นการโดนตบหน้าอีกหนึ่งฝ่ามือ
หลินเป่ยเฉินยิ่งได้รับฟังคำตอบเท่าไหร่ ก็ยิ่งโกรธแค้นมากขึ้นเท่านั้น
“ข้า…”
เจาอู๋หยางใบหน้าบวมปูดแทบจำเค้าหน้าเดิมไม่ได้อีกแล้ว
ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาบัดนี้เหมือนหัวหมูไหว้เจ้าไม่มีผิด
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินตบหน้าหันอีกรอบ “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าตัวเองทำอะไรผิด? รีบบอกมาเดี๋ยวนี้ เจ้าทำอะไรผิด?”
เจาอู๋หยางมีเลือดกลบปากกลบจมูก ในสมองรีบประมวลผลคำตอบขึ้นอีกครั้ง “ข้า…ข้าทำอะไรผิดนะ…ข้าทำ…”
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินตบหน้าคุณชายโรคจิตครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว “เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกหรือ?”
เจาอู๋หยางดวงตาพร่าเลือน รู้สึกเหมือนฟันจะร่วงหลุดออกจากปากให้ได้
เขากัดฟันตอบกลับไปเสียงดังว่า “ข้าผิดไปแล้ว คุณชายช่วยบอกข้าทีเถิดว่าข้าทำอะไรผิด”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เจ้าจงรีบถามออกมา”
“เดี๋ยวก่อน คุณชายจะให้ข้าถามอะไร?” เจาอู๋หยางมึนงงและสับสนไปหมดแล้ว
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินฟาดหลังมือไปที่ใบหน้าคุณชายโรคจิตอีกครั้ง “ยังไม่รีบถามออกมาอีกว่าข้าเป็นใคร?”
เจาอู๋หยางจึงได้ถามออกมาทั้งน้ำตาที่ไหลพราก “คะ..คุณชายเป็นใคร?”
อิอิ
เมื่อได้ยินคำถาม หลินเป่ยเฉินก็มีสีหน้าดีอกดีใจ อุตส่าห์เสียเวลาคิดทั้งคืนว่าต่อไปนี้จะใช้ฉายาว่าอะไรดี ในที่สุด โอกาสที่จะได้ประกาศฉายานามอันน่าเกรงขามของเขาก็มาถึงแล้ว
หลินเป่ยเฉินกระแอมไอเล็กน้อย ปรับน้ำเสียงให้มั่นคง พูดออกมาเสียงดังว่า “เจ้าจงฟังให้ดี ข้าก็คือ…”