บทที่ 139 ช่วยสอนข้าหน่อยได้ไหม
“เทพมารสะท้าน…เอ่อ ดูเหมือนฉายานี้จะซ้ำซากจำเจไปหน่อย ช่างมันเถอะ เดี๋ยวค่อยคิดใหม่ก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาได้ครึ่งทางก็ตัดสินใจเปลี่ยนฉายาใหม่กะทันหัน
ดังนั้น เขาจึงใช้มือซ้ายนวดขมับตัวเองอย่างใช้ความคิด แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เพราะตอนนี้สมองตีบตันไปหมดแล้ว
“เฮ้อ เป็นความผิดของไอ้เจาอู๋หยางแท้ๆ ทำเราเสียอารมณ์หมด”
ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงชักสีหน้าเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง เขายกมือขึ้นตบหน้าเจาอู๋หยางล้มคะมำไปอีกรอบ ก่อนพูดว่า “ทำไมเจ้าไม่ถามข้าให้มันเร็วกว่านี้? ในสมองของเจ้า มีแต่เม็ดแตงโมหรือไง…?”
เจาอู๋หยางได้แต่ร้องไห้น้ำตาไหลพรากลูกเดียว
เขาไม่เคยถูกใครทำให้อับอายขายหน้ามากขนาดนี้มาก่อน
“เอายาถอนพิษมา” หลินเป่ยเฉินคำรามน้ำเสียงดุดัน
“ยาถอนพิษอะไร?”
เจาอู๋หยางตั้งตัวไม่ทันกับคำถามของหลินเป่ยเฉิน ซ้ำตอนนี้สมองยังมึนงงสับสน จึงถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นตบหน้าเจาอู๋หยางอีกรอบ
“ยาถอนพิษลูกดอกของเจ้าไง!” หลินเป่ยเฉินคำรามด้วยความเดือดดาล
คนอะไรน่ากลัวเกินไปแล้ว
เจาอู๋หยางโดนตบจนเกือบจะหมดสติเต็มที
เขาขยับมือเพื่อจะหยิบขวดยาถอนพิษ แต่แล้วหลินเป่ยเฉินกลับตบหน้าเขาอีกครั้งขณะกล่าวว่า “หยุด อย่าขยับ…”
“หมอนี่มันอาจซ่อนอาวุธลับเอาไว้อีกก็ได้ ถ้าเกิดมันใช้จังหวะนี้ซัดอาวุธลับใส่เราล่ะ?”
เมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินแกล้งทำเป็นโดนพิษของผงยาสลบเพื่อหลอกล่อให้เจาอู๋หยางตายใจ เขาสั่งงานให้เสี่ยวจี้ฉายภาพจำลองตัวเขาเองขึ้นมาจากโทรศัพท์ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเจาอู๋หยาง แต่ขณะนี้ ถ้าเกิดไอ้คุณชายโรคจิตสามารถหลบหนีไปได้ หลินเป่ยเฉินคงไม่สามารถตามจับตัวมันกลับมาได้อีก
“แล้วเอาไงดีวะ?”
แน่นอนว่าคนที่มีไอคิว 251 อย่างหลินเป่ยเฉิน ไม่มีทางปล่อยให้คุณชายเจาได้กระทำตามแผนง่ายๆ อยู่แล้ว
“กร๊อบ! กร๊อบ!”
หลินเป่ยเฉินจัดการหักแขนขาเจาอู๋หยางทิ้งไปทั้งสองข้าง
“อ๊าก…”
เจาอู๋หยางล้มลงไปนอนกองกับพื้น ส่งเสียงร้องโหยหวนยิ่งกว่าหมูถูกเชือด
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นผลักดันให้เขาแทบบ้าคลั่ง อีกทั้งความความแค้นและความเกลียดชังที่สะสมอยู่ในจิตใจเกินควบคุม คุณชายโรคจิตอ้าปากออก เตรียมสบถด่าหลายคำ
ทว่า คุณชายเจาพลันได้ยินหลินเป่ยเฉินพึมพำว่า “ยังไม่พอ ได้ยินว่าพวกจอมยุทธ์ที่เก่งเรื่องอาวุธลับ สามารถซ่อนอาวุธไว้ที่ต้นคอ เอว เส้นผมและในปาก แค่หักแขนหักขายังไม่ปลอดภัย เอาเป็นว่าเราฆ่ามันทิ้งก่อนดีกว่า แล้วค่อยค้นตัวหายาถอนพิษทีหลัง…”
เจาอู๋หยางร้องครางเสียงหลง คำหยาบคายที่จะพูดออกมาสลายหายไปทันที
เขารีบปั้นหน้ายิ้มแย้ม ขอร้องอ้อนวอนว่า “ไม่นะขอรับ ข้าไม่มีอาวุธลับซ่อนอยู่ส่วนไหนของร่างกายอีกแล้ว นอกจากบริเวณหัวเข่า ข้อมือและนิ้วมือ ข้ายังไม่เก่งกาจถึงระดับที่ท่านหวาดกลัว เชื่อข้าเถอะ…”
“อะไรนะ?” หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย “นิ้วมืองั้นหรือ?”
เจาอู๋หยางตะลึงลาน ความหวาดหวั่นปรากฏขึ้นบนใบหน้า
แต่หลินเป่ยเฉินไม่เปิดโอกาสให้คุณชายโรคจิตได้พูดอะไรอีก เขายกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงไปเต็มแรง
“กร๊อบ! กร๊อบ!”
กระดูกนิ้วมือทั้ง 10 นิ้วของเจาอู๋หยางแตกหักไม่เหลือชิ้นดี
เจาอู๋หยางนอนตัวงอด้วยความเจ็บปวด เม็ดเหงื่อผุดพราว ราวกลับถูกต้มด้วยน้ำร้อน แต่เจาอู๋หยางก็ไม่กล้ากล่าวอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เขารู้แล้วว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนวิกลจริตคนหนึ่ง
เป็นพวกโรคจิต
เป็นพวกที่บกพร่องทางสมอง
ยิ่งแข็งข้อต่อคนแบบนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
“ยาถอนพิษอยู่ที่ไหน?” หลินเป่ยเฉินถาม
“ยะ…อยู่ใต้เข็มขัดขอรับ…มันอยู่ในกระเป๋าหนัง ยาถอนพิษคือขวดสีแดง มันเป็นยาถอนพิษ…คชสารนิทรา…” เจาอู๋หยางพูดออกมารวดเดียวจบโดยไม่พักหายใจ
หลินเป่ยเฉินยกมีดชี้หน้ามือกระบี่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างตัว แล้วออกคำสั่ง “เจ้ามานี่ซิ รีบเอายาถอนพิษไปช่วยเหลือคน”
มือกระบี่ไม่กล้าขัดคำสั่ง รีบเข้ามาค้นตัวคุณชายโรคจิตพร้อมพูดว่า “ขออภัยนะขอรับคุณชาย” หลังจากนั้น ก็เอื้อมมือไปปลดกระเป๋าหนังจากใต้เข็มขัดที่ขอบเอว ภายในกระเป๋าหนังบรรจุด้วยขวดเล็กๆ ที่มีสีสันแตกต่างกันไป รวมถึงคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ และอาวุธลับอีกหลายชนิด
มือกระบี่หยิบขวดสีแดงออกมาดึงจุกออก แล้วกลิ่นสมุนไพรหอมหวล ก็ลอยออกมาจากด้านในขวด
“เพียงเอาไปให้พวกเขาดม ก็จะคืนสติขึ้นมาทันที…” เจาอู๋หยางรีบอธิบายวิธีใช้โดยเร็ว
มือกระบี่ไม่กล้าเสียเวลา รีบวิ่งเอายาถอนพิษไปให้หัวหน้าสำนักคลื่นเขียวสูดดม
เพราะในสายตาของพวกเขา พี่ใหญ่เหลากลายเป็นคนของหลินเป่ยเฉินไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้น มือกระบี่ก็นำยาถอนพิษไปให้ฟางเสี่ยวไป่กับซูโต่วสูดดมตามลำดับ
เพียงสูดดมเข้าไปได้ไม่กี่อึดใจ บุคคลทั้งสามก็กลับมาได้สติอีกครั้ง
ฟางเสี่ยวไป่วาดเท้าเตะมือกระบี่ของหอการค้าสามพันโยชน์ที่ยืนอยู่ข้างตัวกระเด็นออกไป หลังจากนั้น จึงหยิบกระบี่วิ่งเข้ามาหมายจะแทงลำคอเจาอู๋หยาง
คุณชายโรคจิตเบิกตาโตด้วยความหวาดกลัว
หลินเป่ยเฉินพลันขยับเข้ามาขัดขวางด้วยมีดในมือ
“เคล้ง!”
ฟางเสี่ยวไป่เซถอยหลังไปห้าหกก้าวพร้อมด้วยกระบี่ในมือของนาง
“เจ้า…” ฟางเสี่ยวไป่มองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าจะปกป้องมันทำไม?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เขาเป็นนักโทษของข้า ข้ามีสิทธิ์ลงโทษเขาได้คนเดียวเท่านั้น”
ซูโต่วขยับเข้ามายืนขวางหน้าฟางเสี่ยวไป่และบอกให้เด็กสาวอย่ามีปัญหากับหลินเป่ยเฉิน
จะอย่างไรวันนี้หลินเป่ยเฉินเป็นผู้มีพระคุณ ช่วยเหลือชีวิตพวกเขาเอาไว้
และการที่หลินเป่ยเฉินสามารถเอาชนะเจาอู๋หยางได้อย่างรวดเร็ว ย่อมหมายความว่าระดับฝีมือของเด็กหนุ่มต้องไม่ธรรมดา ความสามารถที่พวกเขาเคยเห็นระหว่างการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง อาจเป็นเพียงปลายสุดของยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
คนประเภทนี้น่ากลัวมาก
อย่าไปมีเรื่องด้วยจะดีกว่า
“เฮอะ อย่าคิดว่าข้าจะขอบใจเจ้านะ”
ฟางเสี่ยวไป่พูดต่อโดยไม่ทันคิด “เจ้าดูอยู่ตั้งนาน แต่ไม่ยอมลงมือช่วยเหลือข้า ยิ่งตอนที่ข้าโดนล้วงหน้าอก เจ้าเอาแต่กินแตงโมสบายใจ ในโลกนี้ไม่มีใครหน้าไหว้หลังหลอกเท่าเจ้าอีกแล้ว”
นางโกรธแค้นจนเผลอพูดออกมา นึกเสียใจก็สายไปเสียแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่หลินเป่ยเฉินหรี่ตาจ้องมองมาด้วยความประหลาดใจ ฟางเสี่ยวไป่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที
นางรู้ตัวว่าพูดด้วยอารมณ์รุนแรงเกินไปหน่อย
นางไม่ควรพูดจาเช่นนี้กับผู้ที่มาช่วยชีวิตตนเอง
แต่ไม่รู้ทำไม ฟางเสี่ยวไป่ถึงพูดออกไปเช่นนั้น
“ภาพลักษณ์ของเจ้าเสียหายหมดแล้ว”
หลินเป่ยเฉินใช้นิ้วมือที่สวมแหวนสีเขียวเข้ม ทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชิน พูดว่า “ข้านึกว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีเหตุมีผลกว่านี้เสียอีก คนอุตส่าห์มาช่วย…แต่ช่างมันเถอะ ยังไงข้าก็ช่วยพวกเจ้าได้สำเร็จ อย่าลืมเอาตัวเยว่หงเสว่กลับไปด้วยก็แล้วกัน”
ฟางเสี่ยวไป่หัวใจกระตุกวูบ
นางรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมาจริงๆ
แต่ด้วยความที่เป็นคนปากแข็ง จึงทำให้พูดออกไปเสียงกระด้าง “ก็ได้ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเจ้ากล้าเอาสิ่งที่เห็นในวันนี้ไปบอกกล่าวผู้ใด เราจะต้องตายไปด้วยกัน…อย่างไรเสีย เรื่องที่เจ้าช่วยพวกเราเอาไว้ ในอนาคตข้าต้องตอบแทนเจ้าแน่นอน” เด็กสาวกำลังพูดถึงเรื่องที่เจาอู๋หยางเกือบจะขยำหน้าอกนางได้สำเร็จ ซึ่งรู้ถึงไหนคงอับอายไปถึงนั่น
พูดจบแล้ว ฟางเสี่ยวไป่ก็ประคองร่างเยว่หงเสว่ที่หมดสติ กำลังจะเดินออกไปจากคฤหาสน์พร้อมกับซูโต่ว
“ช้าก่อน”
หลินเป่ยเฉินพลันร้องเรียกอีกครั้ง
“มีอะไร?”
ฟางเสี่ยวไป่หันหน้ากลับมามองด้วยแววตาเย็นชา แต่ในหัวใจกลับรู้สึกคึกคักขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
หลินเป่ยเฉินไม่ได้มองหน้านาง แต่เขาหันกลับไปเตะเจาอู๋หยางผู้นอนอยู่บนพื้นอีกรอบ แล้วถามว่า “ไม่ต้องมาแกล้งตาย ยาอยู่ที่ไหน?”
เจาอู๋หยางลืมตาขึ้นมาทันที
คุณชายโรคจิตมีสติครบถ้วนทุกประการ หลินเป่ยเฉินยังไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มเติม เขาก็บอกว่าสมุนไพรรักษาอาการบาดเจ็บที่ดีที่สุดสองชนิดอยู่ในกระเป๋าหนัง ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงสั่งให้มือกระบี่นำขวดยาเหล่านั้นไปมอบให้แก่ฟางเสี่ยวไป่
ฟางเสี่ยวไป่รู้ดีว่านี่คือเรื่องสำคัญ นางรับมาโดยไม่ปฏิเสธ หลังจากนั้นจึงพากันเดินจากไป
หลินเป่ยเฉินมองสามคนนั้นดินหายลับไปจากสายตาเรียบร้อย ก็ค่อยๆ ย่อตัวลงมาพูดยิ้มแย้มกับเจาอู๋หยางว่า “ต้องขออภัยด้วย เมื่อสักครู่นี้มีสาวสวยอยู่ตรงหน้า ข้าจำเป็นต้องแสดงฝีมือเพื่อพิชิตใจนาง เผลอลงมือกับเจ้ารุนแรงมากไปหน่อย ไม่ทราบว่าเจ้าเจ็บมากหรือไม่?”
เจาอู๋หยางร้องไห้น้ำตาไหลพรากออกมาอีกครั้ง
“พูดออกมาได้อย่างไรกัน? มีหน้ามาถามข้าว่าเจ็บมากไหมได้อย่างไร? ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เจ้าหักแขนหักขาข้าอีกนะ!”
เจาอู๋หยางรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาอีกแล้ว
“อยู่ดีๆ เขาก็มาพูดดีกับข้า แสดงว่าต้องอยากได้อะไรบางอย่างแน่”
หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับยิ้มแฉ่ง “เจ้ามีฝีมือยิงลูกดอกเลิศล้ำเหลือเกิน ซ้ำยังเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว การจัดวางตำแหน่งลำตัวนับว่ายอดเยี่ยม อย่างกับจอห์น เวย์นในเรื่องเดอะ ไนท์ ฮันเตอร์ไม่มีผิด…เฮ้อ ช่างมันเถอะ พูดไปเจ้าก็ไม่รู้จักอยู่ดี…ว่าแต่ว่า เจ้าไปฝึกวิชาพวกนี้มาจากไหน ช่วยสอนข้าหน่อยได้ไหม?”