บทที่ 141 สั่งสอนให้หลาบจำ
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนผู้นี้ก็คือเจาโจวหยาน ประมุขหอการค้าสามพันโยชน์สาขาเมืองหยุนเมิ่ง แน่นอนว่าเขาย่อมมาพร้อมด้วยมือกระบี่ผู้คุ้มกันจำนวนมาก
ช่วงเวลา 1 ชั่วยามที่หลินเป่ยเฉินใช้ไปกับการอ่านคัมภีร์อินทรีถลานางแอ่นเหินลม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ปรากฏว่าคฤหาสน์มหากาฬมีทางลับซ่อนอยู่มากมาย
เมื่อบริวารของหอการค้าสามพันโยชน์เห็นว่าคุณชายใหญ่ต้องเพลี้ยงพล้ำให้แก่หลินเป่ยเฉิน พวกเขาก็รีบหลบหนีไปตามเส้นทางลับ เพื่อเดินทางไปแจ้งเตือนเจาโจวหยานทันที
ระหว่างที่เจาโจวหยานได้รับทราบเรื่องราว เขากำลังใช้เงิน 500 เหรียญทองคำว่าจ้างนางคณิกาบริสุทธิ์จากหอนางโลมขึ้นไปบนเรือสำเภาเพื่อกินลมชมวิวในท้องทะเล เจาโจวหยานจัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อตกค่ำวันนี้ ความบริสุทธิ์ของเด็กสาวก็จะถูกเขาทำลายลงในห้องนอน
ทว่า เมื่อได้รับทราบข่าวว่าบุตรชายคนโตเกิดเรื่อง ชายร่างอ้วนก็ทิ้งเด็กสาวมาโดยไม่ลังเล เจาอู๋หยางมีความสำคัญกับเขามาก เจาโจวหยานแอบวางตัวให้บุตรชายคนนี้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ ถึงแม้คณิกาสาวจะส่งเสียงอ้อนวอนให้เขากลับไปหา แต่เจาโจวหยานก็หัวใจร้อนรนจนไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น คฤหาสน์มหากาฬก็ถูกปิดล้อมทางเข้าออก
“ใครก็ตามที่ทำร้ายลูกชายข้า มันจะต้องชดใช้ ต่อให้ผู้ว่าการหลิงออกหน้าช่วยเหลือ ก็ไร้ประโยชน์” เจาโจวหยานคำรามด้วยความโกรธแค้น
คำพูดคำจาวางท่าใหญ่โต
ด้วยความที่เป็นบุรุษผู้ร่ำรวยที่สุดในเมือง พ่วงตำแหน่งประมุขของหอการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอีกเช่นกัน เจาโจวหยานนอกจากมีเงินทองมหาศาลแล้ว เขายังมีสัมพันธ์ที่ดีกับคนใหญ่คนโตจำนวนมาก แม้แต่หลิงจุนเซวียน ผู้ว่าการประจำเมืองก็ต้องเกรงใจเขา และในกลุ่มมือกระบี่ประจำคฤหาสน์ทั้ง 300 คนนี้ มีถึง 10 คนที่มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์
คฤหาสน์หลังนี้เปรียบเสมือนอาณาจักรของเจาโจวหยาน
ตอนที่เดินทางมาที่นี่ ชายวัยกลางคนร่างอ้วนได้วางแผนเอาไว้หมดแล้ว
บุคคลใดก็ตามที่ทำร้ายลูกชายเขาจะต้องชดใช้ให้หนักเป็นสองเท่า
เจาโจวหยานรีบเดินเข้ามาในพื้นที่ของคฤหาสน์มหากาฬ เขาเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งหน้าตาบวมช้ำเหมือนหัวหมูไหว้เจ้า กำลังนอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้นดินหมดสภาพ แขนและขาหักงอผิดรูปผิดร่าง เห็นได้ชัดว่ากระดูกคงแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
“เจ้าลูกเต่าตัวนี้เป็นใครกัน?” เจาโจวหยานกวาดสายตามองรอบตัว “บุตรชายข้าอยู่ที่ไหน?”
“ท่านพ่อ ท่านพ่อขอรับ ช่วยลูกด้วย…”
เมื่อเห็นบิดาปรากฏตัว เจาอู๋หยางก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นเด็กทารกที่มีน้ำหนักตัว 100 จิน
นับตั้งแต่ที่เขากลับมาจากการศึกษาวิชาที่สำนักปรภพมืด เจาอู๋หยางก็ปีกกล้าขาแข็ง ยึดมั่นถือดีในความสามารถของตนเอง ถึงกับดูถูกบิดาผู้ให้กำเนิดว่าเป็นเพียงตาแก่ที่นั่งอยู่บนกองเงินกองทอง เจาอู๋หยางรู้สึกถึงขนาดที่ว่าบัดนี้หอการค้าสามพันโยชน์กลายเป็นของเขาหมดแล้วด้วยซ้ำ
แต่เมื่อได้พบหน้าบิดาอีกครั้ง เจาอู๋หยางก็รู้สึกเหมือนได้เห็นเทพเจ้าปรากฏตัวก็ไม่ปาน
เจาโจวหยานตกตะลึงไปไม่น้อย เมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มหน้าบวมบนพื้นพูดกับตนเอง
สุดท้าย เขาก็จดจำได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือบุตรชาย
“หยางเอ๋อร์ เจ้า…ใครทำร้ายเจ้า? พ่อจะฆ่าล้างโคตรมันทั้งตระกูล…”
เจาโจวหยานรู้สึกเป็นห่วงบุตรชายขึ้นมาจับใจ ถลาเข้าไปหาเหมือนแม่ไก่กำลังปกป้องลูกเจี๊ยบตัวน้อย
“ฟ้าว!”
ลูกดอกสีเงินพลันถูกยิงใส่ไปที่ชายวัยกลางคนร่างอ้วน
“เคล้ง!”
มือกระบี่ผู้มีพลังยุทธ์ระดับปรมาจารย์ลงมือด้วยความรวดเร็ว กระโดดมายืนหยัดอยู่ข้างกายเจาโจวหยาน และสามารถใช้กระบี่ปัดป้องลูกดอกได้อย่างแม่นยำ “ท่านประมุขระวังตัวด้วย”
เจาโจวหยานรีบร้อนที่จะเข้าไปช่วยเหลือบุตรชาย เพิ่งมาสังเกตเห็นหลินเป่ยเฉินที่แต่งชุดมือกระบี่ฝึกหัดของสถานศึกษาที่สามเอาก็ตอนนี้ เพราะเด็กหนุ่มดูผิดเพี้ยนไปจากมือกระบี่ทุกคนของหอการค้ามากที่สุด
“หุหุ ลุงเจา เราได้เจอกันอีกแล้วนะ” หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความเยือกเย็น
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามีคนแอบหนีออกไปส่งข่าว
ในฐานะนักวางแผนตัวยง หลินเป่ยเฉินย่อมคำนวณเรื่องราวนี้เอาไว้หมดแล้ว
เหตุผลที่เขายังไม่รีบหนีออกไปจากคฤหาสน์มหากาฬ ก็เพราะหลินเป่ยเฉินตั้งใจที่จะรอพบเจาโจวหยานนั่นเอง
“ที่แท้…ก็เป็นท่านนี่เอง…คุณชายหลิน?”
เจาโจวหยานจดจำได้ถึงน้ำเสียงที่คุ้นหู เมื่อลองหรี่ตาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ ก็ถึงกับต้องตกตะลึงแล้ว
เขารู้จักหลินเป่ยเฉิน
เพราะหลินเป่ยเฉินเพิ่งจะมาที่จวนสกุลเจาเมื่อสามชั่วยามก่อนนี่เอง
เด็กหนุ่มมาแจ้งเรื่องการเรียกเก็บหนี้ตามสัญญากู้ยืม
ปรากฏว่าบุตรชายคนรองของเจาโจวหยาน ได้เข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองเช่นกัน และบุตรชายของเขาก็ได้ทำเรื่องกู้ยืมเพื่อประมูลเข็มกลัดดารามาจากหลินเป่ยเฉินเป็นจำนวน 350 เหรียญทองคำ ตอนแรกประมุขแห่งหอการค้าสามพันโยชน์สาขาเมืองหยุนเมิ่งตั้งใจจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และปฏิเสธการจ่ายหนี้จำนวนนั้น
แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อหลินเป่ยเฉินมาปรากฏตัวที่จวนสกุลเจา เขาก็ออกมาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
นอกจากจะขอโทษขอโพยหลินเป่ยเฉินซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจาโจวหยานถึงกับจ่ายเงินค่าดอกเบี้ยพิเศษให้อีก 50 เหรียญทองคำด้วยซ้ำ
เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากมาย
ถึงแม้ตนเองจะไม่ได้เข้าร่วมงานประลองกระบี่ แต่ด้วยฐานะที่เป็นบุคคลร่ำรวยที่สุดภายในเมือง เจาโจวหยานย่อมรู้เรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในค่ำคืนแห่งการประลองกระบี่
อีกทั้งเมื่อได้ยินว่าติงซานฉือลงมือสังหารมือกระบี่อาวุโสถึงสามคน สองในสามคือหมิงหยวนซานกับหลู่เจิงเต๋า เจาโจวหยานก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลมแล้ว
ตระกูลหมิงไม่ได้อยู่ในเมืองหยุนเมิ่งก็จริง แต่ถือว่าเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอิทธิพลของมณฑลเฟิงอวี่ เรียกได้ว่ามีความน่าเกรงขามยิ่งกว่าหอการค้าสามพันโยชน์เสียอีก
หมิงหยวนซานคือหนึ่งในผู้อาวุโสประจำตระกูลหมิง
ติงซานฉือถึงกับกล้าฆ่าคนสถานะสูงส่งเช่นนี้เพื่อหลินเป่ยเฉิน แล้วเจาโจวหยานจะไม่กล้าจ่ายหนี้ได้อย่างไร? เขายังปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่อีกยืนยาว ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ตนเองอายุสั้นลงเสียหน่อย
สุดท้าย เจาโจวหยานก็สามารถส่งหลินเป่ยเฉินกลับออกไปจากจวนตระกูลเจาได้สำเร็จ พร้อมเหรียญทองคำถุงใหญ่
นับว่าปัญหาทุกอย่างคลี่คลายลงด้วยดี
หลังจากนั้น เจาโจวหยานก็มีอารมณ์สุนทรีย์ ถึงกับสั่งให้ออกเล่นเรือสำเภา นำนางคณิกาขึ้นไปเพื่อเปิดบริสุทธิ์
ไม่คิดเลยว่าอีกสามชั่วยามต่อมา เขาจะต้องกลับมาพบเจอหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
ต่อให้เจาโจวหยานจะมีความเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมขนาดไหน ก็อดรู้สึกงงงันไม่ได้
ชัดเจนแล้วว่าบุตรชายของเขาถูกปีศาจน้อยตอนนี้เล่นงานจนสะบักสะบอม
เจาโจวหยานจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี?
เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาตามข้างขมับของประมุขเจา
หลังจากนั้น แม้แต่ส่วนที่แข็งปั๋งที่สุดในร่างกายจากฤทธิ์สมุนไพรปลุกกำหนัด ก็ถึงกับห่อเหี่ยวลงในพริบตา
หลินเป่ยเฉินยังคงมีหน้ายิ้มแย้ม พูดว่า “ลุงเจา ท่านบอกว่าจะล้างแค้นคนที่ทำร้ายลูกชายท่านอย่างนั้นหรือ?”
“หือ…เอ่อ…” เจาโจวหยานกลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนแสร้งหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า คุณชายหลินเข้าใจผิดแล้ว ข้าหมายความว่าลูกชายคนรองของข้า น่าจะได้เรียนรู้อะไรจากท่านมากมายต่างหาก”
“แน่ะ ปากหวานจริงเชียว”
หลินเป่ยเฉินตวัดขาเตะเจาอู๋หยางที่นอนตัวงออยู่บนพื้นอีกตุ๊บ แล้วกล่าวว่า “ลุงเจา เจ้าลูกเต่าตัวนี้พูดว่ามันเป็นบุตรชายของท่าน เป็นความจริงหรือไม่?”
“เอ่อ…”
ถ้าเป็นคนอื่น เจาโจวหยานคงได้ตัดพ่อตัดลูกไปแล้ว
เสียแต่ว่าเขาทุ่มเททุกอย่างให้แก่บุตรชายคนโตจนตัดใจทำไม่ลง
“มิผิด เขาเป็นบุตรชายข้าเอง ในเมื่อประพฤติตัวไม่ดี ก็สมควรแล้วที่คุณชายหลินจะกระทำการสั่งสอนให้หลาบจำ ฮ่าฮ่า ต้องขอบคุณคุณชายมากแล้วขอรับ ยิ่งสั่งสอนบุตรชายของข้ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเขาเองมากเท่านั้น เขาจะได้เรียนรู้จากความผิดพลาด…” เจาโจวหยานพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจง
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ชะงักวูบ
เด็กหนุ่มคิดว่าตนเองเป็นบุคคลที่ไร้ยางอายที่สุดในโลกแล้ว
แต่สู้ตาเฒ่าจิ้งจอกอ้วนคนนี้ไม่ได้สักนิด
เจาอู๋หยางผู้นอนอยู่บนพื้นเมื่อได้ยินคำพูดของบิดา ก็มีสีหน้าเดือดดาลไม่พอใจ
แต่เขารู้ดีเช่นกันว่าครั้งนี้ ตนเองได้ไปมีเรื่องกับบุคคลที่ไม่สมควรมีเรื่องเข้าเสียแล้ว
“เฮอะ!”
ไม่ใช่สิ แบบนี้มันไม่ถูกต้อง
บัดซบ! เห็นกันอยู่ว่าอีกฝ่ายตั้งใจมาหาเรื่องเขาชัดๆ
“ว่าแต่เจ้าลูกเต่าตัวนี้ มันเป็นใครมาจากไหนกันแน่?” เจาอู๋หยางได้แต่พิศวงอยู่ในใจ “แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ข้าอย่าเพิ่งพูดอะไรออกไปเลยดีกว่า บางครั้งสุนัขก็กัดโดยไม่ต้องการเหตุผลอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินพลันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงข่มขู่คุกคามว่า “เดี๋ยวข้าจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง เมื่อฟังจบแล้ว ท่านลุงจะเอาอย่างไรได้โปรดว่ามา”
เด็กหนุ่มได้ชื่อว่าเป็นเศษขยะประจำเมือง เพราะฉะนั้น จึงกระทำตัวหยาบคายเหมือนอันธพาลข้างถนนเป็นเรื่องปกติ
การข่มขู่ผู้อื่น คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องทำ เพื่อรักษาภาพลักษณ์เอาไว้
ไม่กี่อึดใจต่อมา
เจาโจวหยานก็ได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด
เขาหันไปชำเลืองมองศพของนางบำเรอและบุตรสาวตัวเล็กของตนเองที่นอนไร้ชีวิตอยู่บนพื้น พลันใบหน้าก็เดี๋ยวแดงเดี๋ยวเขียว โกรธแค้นจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ชั่วขณะ
“เจ้าลูกไม่รักดี เจ้าสร้างสถานการณ์ทุกอย่างขึ้นมา เพื่อหาโอกาสสังหารพวกนาง เป็นการแก้แค้นให้แก่มารดาของเจ้าใช่หรือไม่”
“วันนี้ถ้าเกิดคุณชายหลินไม่ยื่นมือเข้ามาแทรกแซง ข่าวคงแพร่สะพัดออกไปแล้วว่าแม่ลูกคู่นี้ถูกคนของสำนักวายุสะเทือนฟ้าฆ่าตาย นับว่าเจ้าหาแพะรับบาปได้อย่างโฉดชั่วเหลือเกิน”