บทที่ 146 พบเจอมู่ซินเยว่อีกครั้ง
สิ่งแรกที่หลินเป่ยเฉินทำลงไปหลังจากนั้นก็คือใส่เหรียญทองคำเข้าไปในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ จากนั้นจึงส่งไปทำสำเนาที่แอปวีแชท
“แบบนี้ก็เท่ากับว่าเราปั๊มเงินใช้เองได้แล้วใช่ไหมนะ? คงไม่ต้องห่วงเรื่องแบตโทรศัพท์อีกแล้ว”
เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็เริ่มต้นการทำสำเนาเหรียญทองทันที
เด็กหนุ่มเริ่มต้นด้วยจำนวน 100 เหรียญทองคำ
แต่หลังจากนั้นปัญหาก็บังเกิด
เขาพยายามกดเลือกคำสั่งทำสำเนารูปภาพสามมิติของกองเหรียญทองคำ 100 เหรียญ แต่กลับมีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาว่า
“การทำสำเนาล้มเหลว!”
“เฮ้ย”
หลินเป่ยเฉินรีบสอบถามผู้ช่วยส่วนตัวทันทีว่า “เสี่ยวจี้ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงทำสำเนาเหรียญทองพวกนี้ไม่ได้?”
ถ้าอยู่บนโลกมนุษย์ อย่างไรก็ต้องทำสำเนาสำเร็จแน่นอน
“กราบเรียนนายท่าน การใช้คำสั่ง ‘ทำสำเนา’ แต่ละครั้ง มีโอกาสล้มเหลวสูงมากอยู่แล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวจี้ตอบกลับมา
หลินเป่ยเฉินยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น
ภาพอนาคตที่สวยงามของตนเองกำลังนอนแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางกองเงินกองทองพลันสลายหายวับไปกับสายลม
“ไม่มีทางน่า!”
หลินเป่ยเฉินยังคงพยายามต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้
แต่ไม่ว่าจะลองทำสำเนา 100 เหรียญหรือแม้แต่เหรียญเดียวก็ตาม ผลลัพธ์สุดท้ายก็ยังล้มเหลวอยู่ดี
จากนั้น เด็กหนุ่มก็ลองทำสำเนาของอย่างอื่นดูบ้าง
เริ่มด้วยกระบี่ ดาบและมีดของเขา
แน่นอนว่าการทำสำเนาล้มเหลวทั้งหมด
และเมื่อลองทำสำเนาลูกดอกเหล็กมิธริลอีกครั้ง โอกาสคัดลอกสำเร็จก็ลดลงมาครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
หลินเป่ยเฉินกลับขึ้นมานอนคว่ำหน้าอยู่ในห้องนอน บัดนี้กำลังระบายลมหายใจออกมายาวแรงด้วยความย่อท้อ
“หรือเราจะเอาลูกดอกพวกนี้ไปขายดีนะ?”
เด็กหนุ่มเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้อื่นๆ
แต่ว่าเหล็กมิธริลไม่ใช่แร่เงินนี่สิ
มันเป็นวัตถุดิบหายากสำหรับสร้างอาวุธ
เมื่อเทียบกับเหล็กชนิดอื่นๆ เหล็กมิธริลสามารถซึมซับพลังลมปราณได้ดีกว่า
เพราะฉะนั้น มันจึงถูกนำไปใช้สร้างเป็นอาวุธระดับสูงหลายชนิด
แต่ด้วยความที่เหล็กมิธริลเป็นวัตถุดิบหายาก จึงไม่เคยมีใครนำมันไปสร้างเป็นอาวุธชิ้นใหญ่ๆ ได้สำเร็จมาก่อน ดังนั้น คุณประโยชน์ส่วนใหญ่ของเหล็กมิธริลจึงถูกนำมาผสมเข้ากับแร่โลหะชนิดอื่นเพื่อสร้างชุดเกราะเท่านั้น
ในเรื่องราคา เหล็กมิธริลมีราคาสูงมากกว่าโลหะทั่วไป
แต่ปัญหาก็คือหลินเป่ยเฉินไม่ได้มีเหมืองแร่มิธริลเป็นของตัวเอง ไอ้จะให้เขาหลอมอาวุธขึ้นมาใช้เองก็ทำไม่ได้ อีกไม่นานคงมีคนสงสัยแน่ๆ ว่าเขาเอาลูกดอกมิธริลที่ไหนมาขายจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ และถ้าหลินเป่ยเฉินไม่สามารถให้คำอธิบายที่แจ่มชัด ปัญหาก็คงตามมาในไม่ช้า…
หลินเป่ยเฉินอยากทำตัวให้เด่นดังน้อยมากที่สุด เพราะฉะนั้นต่อจากนี้เวลาจะทำอะไร ต้องคิดทบทวนดูให้ดี
ในเมื่อขณะนี้ เขายังมีทองคำอยู่เป็นจำนวนมหาศาล เรื่องการนำลูกดอกเหล็กมิธริลออกขายดีหรือไม่ จึงสามารถพับโครงการเอาไว้ก่อนได้ชั่วคราว มันไม่ใช่ปัญหาที่เขาต้องคิดถึงในตอนนี้
เด็กหนุ่มใช้เวลาอีกครึ่งชั่วยามศึกษาการทำงานของแอปวีแชท
แล้วเขาก็ได้พบว่าตัวแอปยังมีการจำกัดสิทธิ์ใช้งานหลายอย่าง ทำให้ไม่สามารถดูคลังจัดเก็บรูปภาพของโทรศัพท์ผ่านแอปวีแชทได้ด้วยซ้ำ
นี่หมายความว่าเขาไม่สามารถจัดเก็บรูปภาพอื่นๆ ในโทรศัพท์ลงไปในแอปวีแชทได้เลย นอกจากจะเป็นรูปที่ถูกใช้งานในตัวแอปเองเท่านั้น
และหลินเป่ยเฉินก็ไม่สามารถส่งรูปภาพผ่านแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์เข้ามาที่วีแชทได้เช่นกัน
ในช่วงดึกของคืนนั้น หลินเป่ยเฉินเปิดการทำงานของแอปกระบี่เร้นกาย (ฉบับสมบูรณ์) แอปโคจรพลังลมปราณ แอปวิชากระบี่ แอปวิชาตัวเบา เรียกได้ว่าเขาเปิดทิ้งไว้เกือบทุกๆ แอป ก่อนที่จะเผลอหลับไปในที่สุด
…
วันต่อมา…
ดวงอาทิตย์ฉายแสงสดใส ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 เป็นศูนย์
เมื่อเสียงกระดิ่งเข้าเรียนดังขึ้น ประตูสถานศึกษากระบี่ที่สามพลันเปิดกว้าง ก่อนที่ลูกศิษย์จำนวนนับพันคนจะกรูผ่านประตูใหญ่เข้ามาจากด้านนอก
สนามหญ้าที่เคยเงียบสงบก่อนหน้านี้ พลันคึกคักด้วยความวุ่นวายที่มีชีวิตชีวา
หลินเป่ยเฉินอาศัยเส้นทางใต้ร่มไม้บริเวณด้านข้างตำหนักไม้ไผ่ เดินมาจนพบเจอเยว่หงเซียงเข้าโดยบังเอิญ
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ พี่หลิน”
เยว่หงเซียงประสานมือคำนับเขาอย่างนอบน้อม
หลินเป่ยเฉินยิ้มตอบกลับไป “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เยว่หงเซียงยกข้อมือของนางให้เขาดู แล้วยิ้มหวาน “หายดีแล้วเจ้าค่ะ ไม่มีอาการบาดเจ็บหลงเหลืออยู่อีกแล้ว”
“ดีแล้วล่ะ” หลินเป่ยเฉินนึกโล่งอกที่เด็กสาวคงแก่เรียนผู้นี้หายบาดเจ็บได้เสียที
เพราะมันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าใดนัก หากนางจะเข้าแข่งขันคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบ 20 คนสุดท้าย ในสภาพที่มีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง
เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองเดินเคียงข้างกัน ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก
นับตั้งแต่จบการคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบสุดท้าย หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงก็กลายเป็นลูกศิษย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังประจำชั้นปีที่ 2 หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกต้อง ก็ต้องบอกว่าพวกเขากลายเป็นคนดังของสถานศึกษากระบี่ที่สามเลยทีเดียว
ถึงแม้เยว่หงเซียงจะไม่ได้ให้ความรู้สึกของการเป็นสาวงามหยดย้อยตั้งแต่แรกเห็น แต่ด้วยผิวพรรณที่ขาวเนียน เอวบางคอดกิ่ว หน้าตาที่ดูเคร่งเครียดจริงจังตลอดเวลา ก็ทำให้นางแตกต่างจากเด็กสาวคนอื่นๆ ในสถาบัน คิ้วโก่งและดวงตาของเยว่หงเซียงมีความสวยงามราวหลุดออกมาจากภาพวาดของจิตรกรเอก ด้วยเหตุนี้ นางจึงได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในหญิงงามประจำสถาบัน และมีเด็กหนุ่มจำนวนไม่น้อยที่อยากพิชิตใจเยว่หงเซียงให้ได้
“เออ จริงด้วยสิ ศิษย์น้องเยว่ ข้าว่าจะถามอะไรเจ้าสักหน่อย ไม่ทราบว่าเจ้ามีน้องชายหรือไม่?” หลินเป่ยเฉินแกล้งทำเป็นถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
เยว่หงเซียงตอบว่า “มีเจ้าค่ะ ข้ามีน้องชาย 1 คน มีน้องสาวที่เป็นฝาแฝดอีก 2 คน แล้วก็น้องสาวที่ไม่ใช่ฝาแฝดอีก 2 คน”
“ตระกูลนี้มีพี่น้อง 6 คนเลยเหรอเนี่ย? คนเป็นแม่นี่ก็ขยันจังเลยเนอะ”
หลินเป่ยเฉินแอบคิดอยู่ในใจก่อนถามว่า “น้องชายเจ้ามีนามว่าเยว่หงเสว่ใช่หรือไม่?”
“หืม?” เยว่หงเซียงเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
“เป็นน้องชายเจ้าจริงๆ ด้วย”
หลินเป่ยเฉินอธิบายต่อ “เมื่อหลายวันก่อน ข้าเข้าไปนั่งรับประทานอาหารที่โรงเตี๊ยมชิงฝู พบเจอเด็กชายนิสัยดีคนหนึ่งทำงานเป็นคนรับใช้อยู่อยู่ที่นั่น เราพูดคุยกันอย่างถูกคอ พอถามชื่อเสียงเรียงนามถึงได้รู้ว่าเขาชื่อเยว่หงเสว่ เห็นมีชื่อคล้ายๆ กับเจ้า ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นญาติเจ้านี่แหละ”
เยว่หงเซียงพูดโดยไม่ปิดบังว่า “ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ข้ามาจากครอบครัวยากจน น้องชายต้องทำงานที่โรงเตี๊ยมตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อหาเงินส่งเสียให้ข้าได้เล่าเรียน ความฝันของข้าก็คือเมื่อเรียนจบแล้ว ก็จะหางานที่สามารถทำเงินได้เยอะๆ ท่านแม่กับน้องๆ ของข้าจะได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้”
พูดถึงตรงนี้ เด็กสาวก็ยิ้มออกมาด้วยความละอายใจ นางยกมือขึ้นลูบผมด้วยความประหม่า สองแก้มขาวนวลแดงระเรื่อขณะกล่าวต่อ “พี่หลินคงคิดว่าข้าเป็นพวกไม่เอาไหนแล้วกระมัง?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้าจะไปกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร? เจ้าดูข้าให้ดีเถอะ วันๆ ข้าเอาแต่คิดถึงเรื่องกินนอนเล่นสนุก ในโลกนี้ถ้าจะมีใครไม่เอาไหนมากที่สุด บุคคลนั้นก็คงไม่พ้นข้าอีกแล้ว”
ดวงตาของเยว่หงเซียงพลันเป็นประกายสดใสขึ้นมา นางกล่าวว่า “พี่หลินช่างมีอารมณ์ขัน”
เด็กสาวยังจำได้ดีว่าหลินเป่ยเฉินพยายามหนักหน่วงขนาดไหน ตอนที่อยู่ในค่ายพักระหว่างแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ เขามักจะออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ และกลับที่พักตอนดึกสงัดเสมอ นางรู้อีกเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับคฤหาสน์ประจำตำแหน่งขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ของบิดาเขา เพราะฉะนั้น เยว่หงเซียงจึงเลื่อมใสหลินเป่ยเฉินอยู่ไม่น้อยที่เขาใช้โอกาสนี้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่ ตั้งใจฝึกฝนเคล็ดวิชา และทำงานหนักทั้งวันทั้งคืนแทบไม่ได้พักผ่อน
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งถามออกมาอีกครั้งว่า “จะว่าไปแล้ว เมื่อวานนี้ข้าไม่เจอน้องชายเจ้าที่โรงเตี๊ยมชิงฝู ไม่ทราบว่าเขาไม่อยู่หรือ?”
เยว่หงเซียงพยักหน้าตอบว่า “เขาไม่อยู่เจ้าค่ะ โรงเตี๊ยมส่งเขาไปขนส่งกรงขังอสูร น่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณหกวัน เมื่อวานนี้เขาให้คนส่งข่าวมาบอกข้าว่าอาจล่วงเลยเป็นสิบวัน เพราะการเดินทางล่าช้าและพบเจออุปสรรคที่ไม่คาดคิด แต่ได้ยินว่างานเที่ยวนี้ได้เงินดีมากเช่นกัน น้องชายของข้าแข็งแกร่งกว่าข้าหลายเท่า แต่เขาก็เป็นเด็กดีที่เชื่อฟังข้าเสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องมาขออนุญาตจากข้าก่อนทุกครั้ง”
เมื่อได้รับฟังคำตอบของนาง หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง
เยว่หงเซียงไม่ระแคะระคายเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของตัวเอง
นี่คงเป็นความคิดของฟางเสี่ยวไป่ หรือไม่แน่ อาจเป็นความคิดของเยว่หงเสว่เองก็ได้
แต่เพราะความที่เยว่หงเซียงไม่รู้เรื่อง จิตใจของนางก็ไม่เกิดความเป็นห่วง เด็กสาวจะได้เข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์รอบ 20 คนสุดท้ายได้อย่างไร้กังวล เพราะถ้าเกิดนางรู้ความจริงขึ้นมา คงไม่มีกะจิตกะใจไปแข่งขันกับใครอีกเป็นแน่แท้
ในขณะที่หลินเป่ยเฉินกำลังจมตัวอยู่กับห้วงความคิดนั้นเอง เสียงที่คุ้นหูมากเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นว่า “พี่หลิน น้องเยว่ อรุณสวัสดิ์”
ปรากฏว่าเป็นเทพธิดาขวัญใจมหาชน มู่ซิวเยว่ นางส่งยิ้มมาจากข้างทาง เหมือนยืนรอพวกเขาอยู่นานแล้ว