บทที่ 14 และนี่คือวิธีการชาร์จไงล่ะ
ตอนนี้ ปัญหาใหญ่อย่างเดียวของหลินเป่ยเฉินคือความอ่อนแอที่เกิดจากพลังงานสสารปริศนาในตัวที่แสนจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
หากเด็กหนุ่มสามารถพัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 3 และยิ่งมีทักษะกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตเป็นตัวช่วยด้วยแล้วละก็ คงเป็นเรื่องกล้วย ๆ ที่จะผ่านการสอบกลางภาคไปได้ฉลุย
แต่ขณะนี้ ระดับแบตเตอรี่ของโทรศัพท์กำลังเข้าขั้นวิกฤติ ส่วนพลังลมปราณในตัวเขา ก็ถึงคราววิกฤติเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่สองอย่าง อย่างแรกถึงแม้ว่าแบตเตอรี่เพียง 6% อาจช่วยให้เขาเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 3 ได้ก็จริง แต่ด้วยปริมาณแบตเตอรี่เพียงเท่านี้ เขาจะใช้โทรศัพท์มือถือในระยะยาวได้อย่างไร เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินจึงต้องหาทางชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์เครื่องนี้ให้ได้โดยด่วน
“ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แน่ ๆ เอาไงดีวะ…มันต้องมีสักวิธีแหละน่า”
หลินเป่ยเฉินลูบใบหน้าตัวเอง
และทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ถูกความหิวโหยเล่นงานโดยไม่ทันตั้งตัว
หลินเป่ยเฉินไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว และตอนนี้ไอ้เจ้ากระเพาะตัวดีก็เริ่มส่งเสียงก่อการประท้วงเสียแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินเก็บโทรศัพท์เข้าไป ก่อนจะเอนตัวลงไปแนบกับโต๊ะเพื่อพักผ่อนสักงีบ
อย่างน้อยเวลานอนเขาจะได้ไม่รู้สึกหิวล่ะนะ
ติ๊ง!
ทันใดนั้นเอง เสียงแจ้งเตือนบางอย่างจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เอ๋?
หลินเป่ยเฉินผงะเล็กน้อย
นี่มันแปลกมากเลย
ตอนนี้เขาไม่ได้กำลังดาวน์โหลดอะไรเสียหน่อย แล้วเสียงแจ้งเตือนดังมาจากไหนกันล่ะเนี่ย
หลินเป่ยเฉินรีบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาปลดล็อก
กล่องข้อความแจ้งเตือนปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
“พบการตรวจจับโลหะที่ชาร์จพลังงานได้ในตัวท่าน กรุณาทำการเชื่อมต่อเพื่อชาร์จพลังงาน”
“อะไรวะ?”
ชาร์จแบตงั้นเหรอ?
หลินเป่ยเฉินแน่นิ่ง
เขาดีใจจนเกือบเก็บอาการไว้ไม่อยู่!
พอคำว่า ‘ชาร์จ’ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ หัวใจก็เต้นระส่ำราวกับจะระเบิดออก
เด็กหนุ่มกดตกลงโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ
หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบ ก่อนแถบชาร์จพลังงานจะปรากฏขึ้น และโทรศัพท์ก็เข้าสู่โหมดการชาร์จแบตเตอรี่ทันที
6%
7%
8%
แบตเตอรี่นั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ความสุขของหลินเป่ยเฉินไม่ได้คงอยู่นานนัก เมื่อแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นถึง 8% การชาร์จก็หยุดลง
กล่องข้อความปรากฏขึ้นแสดงถึงการชาร์จที่เสร็จสิ้นแล้ว
เดี๋ยวนะ…แค่นี้เองเหรอ?
แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาแค่ 2% เท่านั้น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกแย่มาก
นั่นมันแค่นิดเดียวเองนะเฮ้ย!
เขาจำเป็นต้องใช้แอปพลิเคชันในโทรศัพท์เพื่อการฝึกวิชา นั่นแปลว่าไอ้เจ้าโทรศัพท์นี่จะต้องถูกใช้งานยาว ๆ ไปอีกสองสามวัน
แค่ 2% นี่มันไม่ต่างอะไรกับหยดน้ำในมหาสมุทรเลย!
“เย็นไว้ ต้องใจเย็นไว้ก่อน”
“คนฉลาดแบบเรา เดี๋ยวก็ต้องคิดหาวิธีจนได้”
หลินเป่ยเฉินพยายามบังคับใจตัวเองให้เย็นลง
เด็กหนุ่มหลับตาลงและเริ่มครุ่นคิด
ในกล่องข้อความนั้นปรากฏขึ้นมาว่า “พบการตรวจจับโลหะที่ชาร์จพลังงานได้ในตัวท่าน”
นั่นมันหมายความว่ายังไงกันนะ?
โลหะที่เขามีงั้นเหรอ?
เขามีเพียงกระบี่ของหวังจงเท่านั้น
ไม่สิ…เขายังมีอีกอย่าง
“อย่างนี้นี่เอง”
ดูเหมือนว่าสมองของหลินเป่ยเฉินจะฉลาดขึ้นมาจริง ๆ เสียด้วย ความคิดพุ่งเข้ามาในหัวของเขาราวกับลำแสงที่ขจัดความสงสัยและคำถามภายในใจของเขาหมดสิ้น
เหรียญเงินนั่นเอง
มันต้องเป็นเหรียญเงิน 20 เหรียญที่เขาได้มาจากเฝิงหลุ่นเมื่อเช้านี้แน่ ๆ
หลินเป่ยเฉินล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
แน่ล่ะว่ามันว่างเปล่า
เหรียญเงิน 20 เหรียญหายไปทั้งหมด
แบตเตอรี่เหล่านั้นคงถูกแปลงมาจากสิ่งที่น่าจะเรียกว่า ตัวแปลงพลังงาน
บ้าเอ๊ย!
ไอ้โทรศัพท์กะหลั่วเครื่องนี้มันตัวดูดทรัพย์ชัด ๆ
ดูเหมือนว่าไอ้ยมทูตที่มอบโทรศัพท์เครื่องนี้ให้เขา คงถังแตกน่าดูเลยสิ
งั้นปัญหานี้มันก็แก้ไขได้ง่ายมาก หากว่าเขามีเงินมากพอ
หลินเป่ยเฉินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
โธ่ ไม่นะ
เมื่อคิดได้ดังนั้น เป่ยเฉินย้อนนึกไปถึง 4 วันแรกที่เขามายังโลกนี้ คฤหาสน์ของขุนนางนักรบสวรรค์ยังอยู่ดีเป็นปกติ ในตอนนั้นเขามีทั้งเงินทองมากมาย แล้วทำไมไอ้เจ้าโทรศัพท์เครื่องนี้ถึงไม่แจ้งเตือนให้เขาชาร์จแบตเสียตั้งแต่ตอนนั้น
หรือมันจะเป็นเพียงเฉพาะเงินที่เขาหามาเองเท่านั้น ถึงจะแปลงเป็นแบตเตอรี่ได้
น่าจะต้องเป็นเหตุผลนี้แน่ ๆ
เมื่อไขคำตอบให้ตนเองได้เรียบร้อย เด็กหนุ่มก็เกิดความรู้สึกทำนองว่า หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนี้สถานการณ์ของเขามันคับขันที่สุดแล้ว
ไม่คาดคิดเลยว่าขนาดข้ามโลกมาแล้ว ยังจะต้องมากังวลเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อีกหรือนี่
20 เหรียญเงินชาร์จแบตเตอรี่ได้เพียง 2%
นั่นแปลว่า 10 เหรียญเงินก็ชาร์จแบตเตอรี่ได้เพียง 1% เท่านั้นน่ะสิ
มันต้องใช้ถึง 920 เหรียญเงินในการชาร์จโทรศัพท์ให้เต็ม
ถ้าหากเป็นเหรียญทอง เขาก็คงต้องการถึง 10 เหรียญ
เป็นเงินจำนวนมากโขอยู่นะนั่น
ในเมืองหยุนเมิ่ง รายได้ปกติของครอบครัวชนชั้นกลางเพียงเดือนละ 10 เหรียญทองคำเท่านั้น
ถ้าให้เปรียบเทียบกับค่าเงินที่โลก ก็คงเป็นเงินราว ๆ 100,000 หยวนเลยทีเดียว
มูลค่าของเหรียญทองแดงที่นี่มีมูลค่าราว 1 หยวนในโลกมนุษย์ และ 100 เหรียญทองแดงมีค่าเท่ากับ 1 เหรียญเงิน และ100 เหรียญเงินมีมูลค่าเท่ากับ 1 เหรียญทองคำ
ก่อนหน้านี้ จำนวนเงิน 10 เหรียญทองไม่เป็นปัญหาต่อหลินเป่ยเฉินแต่อย่างใด ทว่า บัดนี้ตระกูลของเขาต้องมาล่มสลาย จากเจ้าชายในปราสาทหรู จึงต้องกลายมาเป็นยาจกซูเพียงข้ามคืน
เรื่องเงินกลายเป็นปัญหาใหญ่ของเขาเสียแล้วสิ
“แบบนี้…ก็คงต้องเริ่มหาเงินแล้วสินะ”
หลินเป่ยเฉินยันคางด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะเริ่มคิดแผนการหาเงิน
เขามีไอเดียมากมายในการหาเงินจากการอ่านนิยายออนไลน์ในโลกก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นการขายสบู่ แก้วแหวน ชุดชั้นใน หรือดินปืน
แต่ให้ตายเหอะ นั่นมันแทบเป็นไปไม่ได้ในโลกใบนี้เลยสักอย่าง
นอกจากนี้ ยังปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าเขามันก็เป็นแค่เกมเมอร์กาก ๆ ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรสักอย่าง อย่าว่าแต่เขาจะทำการหาเงินจริง ๆ ได้เลย ความคิดที่ริเริ่มจะทำ ก็ไม่เคยมีในหัวด้วยซ้ำ
แต่มันต้องมีหนทางอื่นบ้างสิ?
คงยังไม่สายเกินไปถ้าจะคิดวิธีหาเงินตอนนี้
หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก ก็เหลือเพียงคำตอบเดียวจากทางเลือกนับร้อย…การยืมเงินนั่นเอง
เงินที่เขายืมมาก็น่าจะใช้ชาร์จแบตเตอรี่ได้สิ…ใช่ไหมนะ?
แต่เขาต้องยืมจากใคร และจะทำยังไงให้ได้ยืมล่ะเนี่ย
ตั้งแต่สมัยโบราณกาล มนุษย์เราต่างคนต่างอยู่มาตลอด
ยังไม่รวมถึงชื่อเสียงเลวร้ายที่กระฉ่อนไปทั่วของหลินเป่ยเฉิน ศิษย์ 1,000 กว่าคนของสถานศึกษาแห่งนี้ คงยอมโยนเหรียญทองคำลงไปในโถส้วมให้เป็นอาหารแก่หนอนในท่อ ดีกว่าต้องเอามาให้เขาหยิบยืมเป็นแน่แท้
นี่เขาต้องใช้ร่างกายหาเงินหรือไงกัน
ในตอนนี้ ร่างกายและหน้าตาของเขาก็อาจเรียกได้ว่าหล่อเหลาเอาการอยู่
ปัญหาก็คือ ต่อให้เขาเต็มใจจะทำแบบนั้น เขาก็ออกไปจากสถานศึกษานี้ไม่ได้อยู่ดี
เสียงกระดิ่งดังขึ้นพร้อมเสียงถอนหายใจด้วยความโศกเศร้าของหลินเป่ยเฉิน
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว
หลังจากสังเกตมาตลอดคาบ อาจารย์ติงก็พบว่าไอ้เจ้าแกะดำหลินเป่ยเฉินนั้นยังไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นเดิม ยังคงดูน่าสิ้นหวังและทำให้ไม่สบอารมณ์อยู่ตลอด เขาส่ายหัวและถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนออกจากห้องเรียนไป
เขาคงคิดมากไปเอง
ไอ้เจ้าคนพรรค์นั้นไม่มีทางเป็นอัจฉริยะขึ้นมาได้ในข้ามคืนหรอก
คนรอบตัวเขาล้วนซุบซิบงึมงำ
เป็นเสียงกระซิบกระซาบของบรรดาศิษย์ห้อง 9 นั่นเอง
และแน่นอนว่าประเด็นในการสนทนาจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกเสียจากเรื่องของหลินเป่ยเฉิน
อันที่จริงแล้วนั้นในสายตาของสาว ๆ บางคนก็ต่างแอบมองไปยังหลินเป่ยเฉินด้วยความสนเท่ห์และหวาดหวั่นในขณะเดียวกัน
แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปพูดคุยกับเขาอยู่ดี
เหล่าศิษย์ในห้องต่างทยอยออกจากห้องเรียนไปทีละคนเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
ในสถานศึกษาแห่งนี้ มีโรงอาหารอยู่แห่งหนึ่ง
แต่สำหรับหลินเป่ยเฉิน มันคงดูประหลาดหน่อย ๆ เพราะเขาไม่ได้มีตราประจำตัวลูกศิษย์สำหรับแลกอาหารมารับประทาน
นั่นเป็นเพราะว่าในวันแรกที่เด็กหนุ่มเข้ามาเรียนในสถานศึกษาแห่งนี้ หลินเป่ยเฉินโยนอาหารกลางวันและตรารับอาหารทิ้งไป ด้วยว่าอาหารของที่นี่เหมือนอาหารเลี้ยงหมูไม่มีผิด และต่อให้เขาจะต้องหิวจนตาย เขาก็จะไม่มีวันแตะต้องอาหารโสโครกพวกนี้เป็นอันขาด
หลังจากนั้นในทุก ๆ วัน บรรดาคนรับใช้ของคฤหาสน์ขุนนางนักรบสวรรค์ก็จะรังสรรค์อาหารชั้นเลิศและนำมาส่งให้เขาถึงที่สถานศึกษา
แต่ในตอนนี้…
นี่มันโศกนาฏกรรมชัด ๆ