บทที่ 151 อึของพวกมันมีพิษ
วันต่อมา
สายฝนโปรยปรายเล็กน้อย
ค่าฝุ่น PM 2.5 ในอากาศเป็นศูนย์
รถม้าประจำสถานศึกษากระบี่ที่ 3 กำลังเคลื่อนตัวไปบนถนนสายหลักประจำเมือง มุ่งหน้าไปยังพื้นที่แดนเหนืออันกว้างใหญ่
ภายในรถม้า
“การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบ 20 คนสุดท้าย จะมีขึ้นใน 10 วันข้างหน้า นับจากวันนี้ไป พวกเจ้าทั้งสี่คนจะได้รับการฝึกพิเศษอย่างเข้มงวดจากทางสถาบัน โดยภารกิจแรกที่พวกเจ้าต้องทำ คือเพิ่มความอดทนและประสิทธิภาพของพละกำลังในร่างกาย จงตั้งใจมุ่งมั่นกับการฝึกพิเศษ อย่าได้เกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าหรือย่อท้อเด็ดขาด”
ฉู่เหินกลับมาอยู่ในโหมดจริงจัง พูดด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม
พานเว่ยหมิน หัวหน้าคณะอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 3 นั่งอยู่ด้านข้าง กำลังหลับตาพักผ่อน
หลินเป่ยเฉิน เยว่หงเซียง ไป๋ชินหยุน และฮันปู้ฟู่ นั่งเบียดอยู่เคียงข้างกันบนที่นั่งอีกฝั่งหนึ่ง
พวกเขาเป็นตัวแทนสถาบันที่จะต้องเข้าร่วมการแข่งขันหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ดังนั้น จึงต้องเข้ารับการฝึกพิเศษก่อนการแข่งขันจริงจะมาถึง
ในประวัติศาสตร์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามนี่ นับเป็นครั้งแรกที่มีหัวหน้าคณะอาจารย์ถึง 2 คน ต้องลงมาคุมการฝึกพิเศษด้วยตัวเอง
นั่นหมายความว่าการแข่งขันครั้งนี้ทางสถาบันคาดหวังเอาไว้ไม่น้อย
เนื่องจากพวกเขามองเห็นความหวัง
โดยเฉพาะกับหลินเป่ยเฉิน ผู้แสดงความสามารถโดดเด่นในหลายๆ เหตุการณ์ นับเป็นผู้ที่สถานศึกษากระบี่ที่สามฝากความหวังเอาไว้มากที่สุด
“พื้นที่การฝึกพิเศษในครั้งนี้ จะตั้งอยู่ตรงเขตชายแดนภูเขาทางตอนเหนือ มีพื้นที่โดยรวม 100 ลี้ จัดเป็นค่ายฝึกพิเศษระดับ 2 ดาว ผู้ที่เข้าร่วมการฝึกต้องมีพลังตั้งแต่ขั้นผู้ฝึกยุทธระดับ 8 ขึ้นไปจนถึงขั้นปรมาจารย์ระดับ 2 เมื่อเข้าไปถึงค่ายฝึกแล้ว ขอให้พวกเจ้าจงระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว ค่ายฝึกครั้งนี้ไม่เหมือนค่ายฝึกครั้งก่อน เพราะว่าที่นี่ ทุกย่างก้าวของพวกเจ้าจะเต็มไปด้วยอันตราย…”
“หุบเขาทางตอนเหนือเช่นนี้ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย เช่น หมาป่าน้ำแข็ง ไฮยีน่าพายุหมุน แกะกระโดด และยังมีสัตว์ร้ายอีกหลายชนิด ที่แม้แต่ผู้มีพลังขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 2 ก็ยังต้องวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงเมื่อเผชิญหน้ากับพวกมัน…”
“แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าหุบเขาทางตอนเหนือ เต็มไปด้วยสมุนไพรวิเศษ อย่างเช่น หญ้าดาราฟ้า และหญ้าเสริมปราณ…”
ฉู่เหินรับหน้าที่บรรยายเรื่องราวต่างๆ ระหว่างทาง
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามครึ่ง
ในที่สุด รถม้าก็เล่นมาหยุดลงที่เบื้องหน้าซุ้มประตูทางเข้าค่ายฝึกแห่งหุบเขาชายแดนเหนือ
หน้าซุ้มประตูทางเข้ามีป้อมรักษาการณ์ ลักษณะคล้ายคลึงค่ายฝึกในแดนป่าร้าง นับดูด้วยสายตาพบว่ามีจำนวน 20 ป้อม เวลาจะเข้าหรือออกพื้นที่หุบเขาทางตอนเหนือแห่งนี้ ทุกคนต้องลงทะเบียนและยืนยันตัวตนเสียก่อน หากไม่ได้รับอนุญาต ก็ไม่สามารถเข้าไปเด็ดขาด
ตอนที่หลินเป่ยเฉินกระโดดลงมาจากรถม้า เขาก็เห็นว่าที่โต๊ะลงทะเบียนมีคนมุงอยู่จำนวนไม่น้อย
บุคคลเหล่านี้มีทั้งมือกระบี่รับจ้าง คนจากหอการค้า นักผจญภัย นักล่าสมบัติ นักล่าอสูร และอีกมากมายหลากหลายอาชีพ
พานเว่ยหมินเดินเข้าไปทำเรื่องลงทะเบียนให้ทุกคน
หลังจากนั้น พวกเขาก็นำรถม้ามาจอดอยู่ที่ข้างซุ้มประตูทางเข้าเป็นการชั่วคราว ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวหุบเขา
เมื่อเดินเข้ามาได้ประมาณสองลี้ ถนนหนทางก็สิ้นสุดลง
พานเว่ยหมินใช้ร่างกายที่แข็งแรงออกสำรวจเส้นทางอยู่หน้าสุด
ฉู่เหินรับหน้าที่คอยคุ้มกันพวกของหลินเป่ยเฉินอยู่ทางด้านหลัง
พื้นที่หุบเขาติดชายแดนเหนือเป็นป่าทึบเสียส่วนใหญ่ ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่ามีอันตรายอยู่รอบตัว ไม่ว่ากวาดตามองไปทางไหน เขาก็จะเห็นแต่ต้นไม้สูงใหญ่ พุ่มไม้ดกหนา ก้อนหินขนาดมหึมา เสียงน้ำไหลดังมาแต่ไกล งูและแมลงอีกหลายชนิด ดอกไม้หลากสีสัน เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องลงมา หลินเป่ยเฉินก็รู้ว่าไม่ควรเข้าใกล้ดอกไม้พวกนี้แม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้ง 4 คนจำเป็นต้องเร่งฝีเท้าเพื่อเดินตามฉู่เหินให้ทัน
ดูเหมือนว่าการฝึกพิเศษจะเริ่มขึ้นตั้งแต่บัดนี้แล้ว
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านพ้นไป
สุดท้าย พวกเขาก็เดินทะลุป่ามาถึงหุบเขาลึกๆ แห่งหนึ่ง
พานเว่ยหมินกลับมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าทุกคนอีกครั้ง
“ถัดจากนี้ไป จะเป็นอาณาเขตของพวกหนูอสูรหางกุด พวกเจ้าทั้งสี่ต้องบุกเข้าไปฆ่าพวกมันให้ได้คนละ 10 ตัว เมื่อครบแล้ว ก็ให้ถอนกำลังกลับมา”
พานเว่ยหมินออกคำสั่ง
ฮันปู้ฟู่ยิ้มมุมปาก เหมือนคาดเดาเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว
หนูอสูรมีขนาดใหญ่มากกว่าหนูทั่วไป นับเป็นสัตว์ประหลาดธาตุดินที่มีขนาดตัวเท่ากับลูกสุนัข ชำนาญเรื่องการขุดดิน หนูอสูรที่โตเต็มวัยแล้วสามารถมุดดินหลบหนีได้ยิ่งกว่าตัวตุ่น และหากตัวไหนมีพลังแกร่งกล้า พวกมันก็สามารถโจมตีศัตรูด้วยการยิงก้อนหินขึ้นมาจากพื้นดินอย่างแม่นยำ
นี่คือข้อมูลที่มีอยู่ในตำราเรียน
ในค่ายฝึกที่แดนป่าร้าง หลินเป่ยเฉินเคยเห็นกับตาว่าพวกมันโจมตีใส่บรรดาศิษย์อัจฉริยะจนต้องวิ่งหนีกันเตลิดเปิดเปิง
แต่ก็นับว่ายังดีที่ภารกิจนี้ไม่ยากเท่าไหร่
“พวกเราไปกันเถอะ”
ไป๋ชินหยุนเดินนำเข้าไปในหุบเขาขนาดเล็ก หน้าตามุ่งมั่น ปราศจากความกลัว
“เจ้าระวังตัวด้วย”
ฮันปู้ฟู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบตามเด็กสาวไปติดๆ
ในกลุ่มศิษย์ทั้งสี่ ฮันปู้ฟู่เป็นรุ่นพี่จากชั้นปีที่ 3 เขาจึงทึกทักเอาว่าตนเองมีหน้าที่คอยดูแลทุกคน
หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงหันมองหน้ากัน แล้วเดินตามทั้งสองคนไปไม่ห่าง
ฉู่เหินกับพานเว่ยหมินยืนรอคอยอยู่ที่เดิม
…
ในหุบเขาเล็กๆ นั้น
พื้นที่โดยรอบปกคลุมด้วยก้อนหินไปเสียสามจากสี่ส่วน ไม่มีต้นหญ้าขึ้นอยู่เลยสักต้นเดียว มองไปแล้วเหมือนภาพสะท้อนของดินแดนแห่งก้อนหินก็ไม่ปาน
มีเส้นทางทอดยาวให้กลุ่มเด็กหนุ่มสาวทั้งสี่เดินตรงไปข้างหน้า ขนาดความกว้างหนึ่งวาเศษ
แต่เดินเข้าไปได้ยังไม่ถึง 50 ก้าว
ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปในพริบตา
อุณหภูมิรอบกายลดต่ำลง พื้นดินเกิดเป็นระลอกคลื่น ทัศนียภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยต้นหญ้าที่สูงระดับหัวเข่า ต้นไม้ที่มีลำต้นหนาเท่ากับเอวคน ซ้ำยังมีเสียงสายน้ำไหลลอยมาตามสายลมอีกด้วย
ในอากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นประหลาด
ไป๋ชินหยุนยกมือปิดจมูก พูดว่า “กลิ่นเหม็นจัง เราหาทางล่อพวกหนูอสูรหางกุดออกมา แล้วรีบจัดการพวกมันเร็วๆ กันเถอะ”
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินกำลังนึกถึงเกมที่เขาเคยเล่นบนโลกมนุษย์ ซึ่งตัวละครบางตัวจะมีสกิลเรียกสัตว์ประหลาดออกมา
“ตรงนั้นมีตัวอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ดูสิ”
เยว่หงเซียงยกมือชี้ไปทางพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปประมาณสิบวา
หลินเป่ยเฉินมองตามนิ้วมือของเด็กสาวไปก็ดวงตาลุกโชน
“หนูอสูร?”
เขาเห็นหนูตัวอ้วนพีที่มีความสูงหนึ่งเซี๊ยะเศษ ในมือของมันกำลังถือผลไม้ป่าสีแดงอยู่ข้างละลูก หน้าตาดูโง่เขลา ยืนจ้องมองผู้มาเยือนทั้งสี่คนอยู่หลังพุ่มไม้ มองไกลๆ นึกว่าหมีแพนด้ากำลังออกหาของกิน
นี่ใช่ไหมหนูอสูรหางกุดอะไรนั่นน่ะ?
หลินเป่ยเฉินตกตะลึง
ไม่เห็นเหมือนพวกหนูอสูรที่เขาเคยเห็นในแดนป่าร้างเลย
ไม่มีทาง
หน้าตาน่ารักจะตาย
ใครจะไปฆ่าได้ลงคอ
หลินเป่ยเฉินทำใจสังหารพวกมันไม่ลงจริงๆ
แต่ทันใดนั้น หนูอสูรอีกตัวหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น มันมีความสูงกว่าสองเซี๊ยะ ร่างกายบึกบึน มีขนสีน้ำตาลสด ขนคิ้วสีขาวยาวเหมือนหนวดแมว มันเงยหน้าส่งสียงกู่ร้องประหลาดหู พร้อมกันนั้น เจ้าหนูก็กระทืบสองเท้าลงไปบนพื้นดินเป็นจังหวะจะโคน…
พื้นดินเริ่มเกิดการสั่นสะเทือน
วูบ!
ก้อนหินขนาดเล็กปลิวออกมาจากพงหญ้าข้างทาง ส่งเสียงแหวกอากาศตรงเข้ามาหาพวกของหลินเป่ยเฉินทั้งสี่คน
“พวกเราระวังตัว”
ฮันปู้ฟู่รีบร้องเตือน ชักกระบี่ออกมาฟาดฟันก้อนหินเหล่านั้นกระจัดกระจายไป
“ตายซะเถอะ!”
ไป๋ชินหยุนคำรามด้วยความตื่นเต้นขณะกระโดดเข้าไปหาหนูอสูรตัวหนึ่ง
เยว่หงเซียงก็ชักกระบี่ออกจากฝักแล้วเช่นกัน
“น่าตื่นเต้นดีเหมือนกันนะเนี่ย” หลินเป่ยเฉินอุทานอยู่ในใจ
หนูอสูรตัวอ้วนพีเหล่านี้สามารถฆ่าตายได้ง่ายเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินชักมีดเจิ้งอี้ แล้วเดินออกไปข้างหน้า
มาทำภารกิจนี้ให้มันจบๆ ไปกันเถอะ
พลัน สถานการณ์พลิกกลับตาลปัตรอีกครั้ง
ฟุบ!
ไป๋ชินหยุนที่ออกวิ่งอยู่หน้าสุด ทันใดนั้นก็จมหายลงไปใต้พื้นดิน
ปรากฏว่าเด็กสาวตกลงไปในหลุมพราง
หลุมพรางนี้มีขนาดความกว้างไม่เกินหนึ่งวา แต่มีความลึกกว่าสิบสองเซี๊ยะ ผนังของหลุมดินถูกขุดอย่างประณีต ราบเรียบลื่นไหล ไม่สามารถใช้มือหรือเท้าปีนกลับขึ้นมาได้ ต่อให้ไป๋ชินหยุนมีวิชาตัวเบา นางก็ไม่สามารถพาตัวเองกลับขึ้นมาจากด้านล่างได้อีกแล้ว
บังเกิดกลิ่นเหม็นชวนคลื่นไส้ลอยขึ้นมาจากหลุมกับดัก
พวกหนูอสูรมันฉลาดจนสามารถสร้างหลุมพรางได้เชียวหรือ?
สุดยอดไปเลยแฮะ
หลินเป่ยเฉินเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างหลุมกับดัก หัวเราะในลำคอด้วยความตลกขบขัน
“ศิษย์น้องไป๋ รับเอาไว้”
ฮันปู้ฟู่โยนตะขอบินลงไปในหลุมกับดัก
“รีบดึงข้าขึ้นไปเร็วๆ เข้า”
น้ำเสียงของไป๋ชินหยุนบอกชัดว่านางตื่นกลัวไม่น้อย
ฮันปู้ฟู่รีบดึงเชือกตะขอบินกลับขึ้นมาโดยไม่ลังเล
ไป๋ชินหยุนที่อยู่ด้านในหลุมกับดักก็พยายามส่งตัวเองขึ้นมาด้านบนอย่างสุดความสามารถ เมื่อกลับขึ้นมาได้แล้ว ทุกคนก็ได้เห็นว่ากายท่อนล่างของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนสีดำ แต่มันเป็นดินโคลนที่มีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ
“นั่นมันอึของพวกหนูอสูรไม่ใช่หรือ?” เยว่หงเซียงทักขึ้นเป็นคนแรก
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินเกือบสำนักน้ำลายเลยทีเดียว
ที่แท้หลุมกับดักหลุมนี้กลับเป็นเพียงบ่ออึของพวกหนูอสูรอย่างนั้นหรือ?
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งในภาษาที่หยาบคายหน่อยก็คือ ไป๋ชินหยุนเดินตกบ่อขี้?
“ฮื่อ ตัวข้าเหม็นชะมัดเลย…”
เมื่อไป๋ชินหยุนลองสูดดมกลิ่นตัวเอง นางก็มีสีหน้าเหมือนคนที่กำลังจะอาเจียน แต่พริบตาต่อมา เด็กสาวก็อุทานด้วยความตื่นตกใจ “แย่แล้ว อึของพวกมันมีพิษ”