บทที่ 154 จับหนูมาเป็นทาส
“หืม? นี่มันเสียงของราชันย์หนูอสูรไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะต่อสู้โรมรันพันตูกับราชันย์หนูอสูรเมื่อวานนี้ เขาย่อมจดจำเสียงของมันได้ดี
เมื่อทอดสายตามองออกไป…ก็เห็นว่าราชันย์หนูอสูรถูกจับมัดติดกับหินก้อนหนึ่ง มันพยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการอย่างน่าอนาถ
กว่าที่มันจะไต่เต้าขึ้นมาสู้ตำแหน่งราชันย์แห่งหนูอสูรได้ไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องการแก้แค้นมนุษย์กลุ่มนี้ เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้บรรดาลูกฝูงเคารพศรัทธา ไม่คิดเลยว่ายังไม่ทันลงมือ ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเสียแล้ว
ตอนนี้ ราชันย์หนูอสูรได้แต่ทำใจ เตรียมตัวถูกโยนลงหม้อต้มน้ำซุป
อาจารย์พานเว่ยหมินกำลังนั่งล้างมีดทำครัวอยู่บริเวณริมแม่น้ำ
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปถามด้วยความแปลกใจ
พานเว่ยหมินตอบโดยไม่หันหน้ามองกลับมา “อ๋อ เมื่อคืนนี้ ราชันย์หนูอสูรมันแอบย่องเข้ามาแถวกระโจมที่พักของพวกเราน่ะ ข้าก็เลยจับมันไว้เตรียมทำอาหารเช้า เจ้ารู้หรือเปล่า เนื้อของราชันย์หนูอสูรเคี้ยวเพลินมากทีเดียว นอกจากนั้น เรายังเอามาทำเป็นเนื้อตากแห้งได้ด้วย อีกหลายวันต่อจากนี้ พวกเราไม่ต้องห่วงเรื่องเสบียงอาหารอีกแล้ว”
“จี๊ด!” เจ้าหนูยักษ์ส่งเสียงร่ำร้องน่าเวทนา พยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการอีกครั้ง
แต่มันถูกมัดด้วยเชือกวิเศษซึ่งลงอาคมเอาไว้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ ก็ยากที่จะสลัดหลุด แล้วหนูอสูรอย่างมันจะทำได้อย่างไร?
“หืม? เจ้าเข้าใจภาษามนุษย์ด้วยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินเดินกลับไปนั่งยองๆ อยู่ข้างกายราชันย์หนูอสูร
“จี๊ด!” เจ้าหนูพยักหน้า น้ำตาไหลออกมาด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าเข้าใจจริงๆ หรือ?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
ราชันย์หนูอสูรตัวนี้เข้าใจภาษามนุษย์จริงๆ ด้วยแฮะ
“หากเจ้าเข้าใจภาษามนุษย์ ไหนลองยิ้มให้ดูหน่อย” หลินเป่ยเฉินพลันออกคำสั่ง
หนูยักษ์มีท่าทางลังเลเล็กน้อย ก่อนที่มันจะยิ้มแฉ่งตามคำสั่ง
“งั้นเปลี่ยนเป็นร้องไห้” หลินเป่ยเฉินว่า
เจ้าหนูสลัดรอยยิ้มหายไป น้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง
เฮ้ย
ฟังภาษาคนรู้เรื่องจริงด้วย
หลินเป่ยเฉินพลันเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
เขาออกคำสั่งต่อว่า “ลองทำหน้าเครียดให้ข้าดูหน่อย เอาความรู้สึกตอนที่เจ้ารอให้เมียคลอดลูกน่ะ”
ราชันย์หนูอสูรพลันมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาในพริบตา
“สีหน้าตอนที่รู้ว่าเมียเจ้าให้กำเนิดบุตรชาย”
เจ้าหนูอสูรกลับมามีใบหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง
“สีหน้าตอนที่รู้ว่าเมียเจ้าตกเลือดตาย…”
หนูยักษ์ทำหน้าเศร้า
“สีหน้าตอนที่เจ้ารู้ว่าลูกตัวเองเป็นอัจฉริยะ”
ราชันย์หนูอสูรทำหน้าเบิกบาน
“แต่บุตรของเจ้ากลับเกิดมาร่างกายพิการ”
ราชันย์หนูอสูรทำหน้าเศร้า
“เจ้าได้รับข่าวดีให้ดำรงตำแหน่งราชันย์ไปตลอดกาล…”
ราชันย์อสูรกลับมาส่งเสียงด้วยความดีใจอีกครั้ง
“แล้วเจ้าก็ได้รู้ข่าวว่าบุตรของตัวเองตาย”
เจ้าหนูยักษ์ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
“แล้วเจ้าก็ได้ทราบข่าวว่าเมียของเจ้าฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง…”
สีหน้าของราชันย์หนูอสูรสามารถปรับเปลี่ยนตามคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าปากของมันจะกระตุกตลอดเวลาด้วยความไม่พอใจก็ตาม
หลินเป่ยเฉินยิ่งเล่นก็ยิ่งสนุก
ใครจะคิดเลยว่าสัตว์ประหลาดในป่าลึกจะฉลาดเฉลียวขนาดนี้?
ทันใดนั้น พานเว่ยหมินล้างมีดทำครัวเสร็จแล้ว เขาเดินกลับมาหยุดยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน ใช้สายตาสำรวจมองราชันย์หนูอสูรขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะแล่เนื้อตรงส่วนไหนก่อนดี สุดท้าย สายตาของชายชราก็ล็อคเป้าอยู่ที่ลำคอของมัน
“จี๊ด…” เจ้าหนูยักษ์กรีดเสียงร้องด้วยความหวาดผวา พยายามดิ้นรนสุดแรงเกิดเพื่อให้หลุดจากเชือกวิเศษ
หลินเป่ยเฉินถามว่า “เจ้ายังไม่อยากตายใช่ไหม?”
ราชันย์หนูอสูรพยักหน้าโดยไม่ลังเล
“อยากให้ข้าช่วยชีวิตเจ้าหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
เจ้าหนูยักษ์รีบพยักหน้ารวดเร็ว
“งั้นเจ้าจะให้อะไรตอบแทนข้าล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถาม
ราชันย์หนูอสูรส่งเสียงจี๊ดๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันกำลังหมายถึงอะไร
“อ๋อ เจ้าอยากทำสัญญาเป็นทาสรับใช้ข้าใช่ไหม?” หลินเป่ยเฉินแปลภาษาหนูเอาตามใจชอบ
“จี๊ด?” ราชันย์หนูอสูรพลันหยุดชะงัก เงยหน้ามองหลินเป่ยเฉินด้วยความตกตะลึง
“อาจารย์พานขอรับ เราพอจะหาวิธีเขียนสัญญาทำให้หนูตัวนี้ กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของข้าได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปถามผู้อาวุโส
พานเว่ยหมินตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “การเขียนสัญญาซื้อขายวิญญาณอสูรนั้น นอกจากผู้ร่างสัญญาจะต้องมีพลังระดับเซียนแล้ว ยังต้องใช้สมุนไพรวิเศษบำรุงร่างกายเป็นจำนวนมาก เพราะการร่างสัญญาในลักษณะนี้จะผลาญพลังลมปราณเยอะมาก ถ้ามีพลังไม่แข็งแกร่งมากพอ เจ้าก็อาจได้รับบาดเจ็บ สมองถูกกระทบกระเทือน สุดท้ายต้องกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน…”
เมื่อพูดถึงประโยคนี้ สีหน้าของอาจารย์พานก็แสดงออกชัดเจนว่าเพิ่งนึกได้ เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ก็เคยถูกพิจารณาให้เป็นหนึ่งในบุคคลสติฟั่นเฟือนประจำเมืองเช่นกัน
“เอาเป็นว่า ตอนนี้เจ้ายังมีพลังไม่มากพอที่จะเขียนสัญญาซื้อวิญญาณอสูร” พานเว่ยหมินอธิบายต่ออีกครั้ง “อีกอย่างนะ หนูอสูรหางกุดเป็นเพียงสัตว์ประหลาดระดับต่ำ ต่อให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่พลังการต่อสู้ก็ยังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ซ้ำเป็นพวกเลี้ยงไม่เชื่อง ประโยชน์เดียวที่พวกมันสามารถทำได้ ก็คือเป็นอาหารของพวกเรานี่แหละ โดยเฉพาะเนื้อของราชันย์หนูอสูร ไม่ว่าจะเอาไปต้ม ผัด แกง ทอด ก็หอมอร่อยในพริบตา ข้ามีสูตรเด็ดในการทำเนื้อหนูทอด รับรองว่าเจ้าได้ทานแล้วจะต้องติดใจ…”
พูดจบ อาจารย์พานก็ทำท่าจะสับมีดลงไปที่คอของเจ้าหนูยักษ์อย่างอดทนรอไม่ไหวแล้ว
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าหัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 3 จะเป็นผู้มีฝีมือในด้านการทำอาหารเช่นกัน
สรุปว่า ภารกิจเมื่อวานที่ส่งพวกเขาเข้าไปล่าหนูอสูรกลับมา ก็เพียงเพื่อจะเอาเนื้อหนูมาทำอาหารอย่างนั้นหรือ?
“ช่างมันเถอะ จากนี้ไปถือว่าเจ้าเป็นทาสของข้าก็แล้วกัน อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า” หลินเป่ยเฉินพลันระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย ก่อนพูดต่อ “ในฐานะที่ข้าเป็นนายของเจ้า ข้าจะช่วยชีวิตเจ้าเอง”
ราชันย์หนูอสูรมีท่าทีลังเลเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินได้ทีพูดว่า “อ๋อ หากเจ้าไม่อยากเป็นทาสข้าก็ไม่เป็นไร อาจารย์พานขอรับ เชิญท่านจัดการได้ตามสบาย”
“จี๊ด!”
ราชันย์ผู้สูงส่งประจำเผ่าพันธุ์หนูอสูรหางกุด ต้องร้องไห้ออกมาด้วยความอับอายขายหน้า ในขณะที่ผงกศีรษะร้อนรนครั้งแล้วครั้งเล่า
“ข้าเป็นคนจับได้ หากเจ้าอยากช่วยชีวิตมัน ก็ต้องมีสิ่งของมาแลกเปลี่ยน” พานเว่ยหมินว่า “ในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่เจ้าจะได้รับโดยไม่ต้องเสียผลประโยชน์หรอกนะ”
ระหว่างที่นั่งดูเหตุการณ์ทั้งหมด ฉู่เหินก็ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
พานเว่ยหมินหันกลับไปยกมือห้าม “อาจารย์ฉู่ไม่ต้องยุ่ง อย่าลืมว่าการฝึกครั้งนี้ ข้าเป็นคนมาช่วยเหลือท่าน อีกอย่าง ท่านมักจะคอยออกหน้าช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินอยู่บ่อยครั้ง ขืนท่านยังทำแบบนี้ต่อไป เขาก็คงเป็นเด็กน้อยของท่านตลอดกาล ไม่รู้จักเติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียที”
ฉู่เหินจึงช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
อาจารย์พานเป็นพวกยึดมั่นในหลักการเหลือเกิน
สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ต้องยอมเสียสละน้ำผลไม้หนึ่งขวดน้ำเต้ากับเนื้อแกะกระโดดตากแห้งอีกห่อใหญ่ เพื่อแลกกับชีวิตของราชันย์หนูอสูรตัวนี้
“ทีนี้เจ้าก็เป็นสัตว์เลี้ยงของข้าแล้ว”
หลินเป่ยเฉินจัดการแก้มัดเชือกวิเศษพร้อมกับพูดว่า “ถ้าเจ้าคิดหนี ข้าจะฆ่าล้างบางเผ่าพันธุ์หนูอสูรให้หมดไปจากหุบเขาแห่งนี้ แถมจะเอาไฟไปเผารังของเจ้า ไม่ให้เหลือแม้แต่หญ้าสักต้นเดียว”
ราชันย์อสูรเมื่อได้รับอิสระอีกครั้ง มันก็เตรียมตัวขุดดินหลบหนี แต่เมื่อได้ยินคำขู่ของเด็กหนุ่ม ร่างกายก็แข็งค้าง ไม่กล้าทำอะไรอีกแล้ว
บัดนี้ มันสาบานกับตัวเองว่าต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ก่อน รอให้สบโอกาสเหมาะเมื่อไหร่ มันจะสังหารเด็กหนุ่มที่ทึกทักเป็นเจ้านายด้วยกรงเล็บของมันเอง
ดังนั้น เจ้าหนูยักษ์จึงทำตามคำสั่งของหลินเป่ยเฉินด้วยความเชื่อฟังเป็นอย่างดี
“ไปล้างเนื้อล้างตัวที่แม่น้ำซะ” เขาออกคำสั่ง
เจ้าหนูกระโดดลงไปล้างตัวในแม่น้ำแม้ไม่เต็มใจนัก
“ท่านจะเอาอสูรชั้นต่ำแบบนี้มาเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่ออะไร?” ไป๋ชินหยุนเดินเข้ามาเอนตัวถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “นอกจากเนื้ออร่อยแล้ว หนูอสูรก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกเลย หนังใช้ไม่ได้ ขนก็ไม่มีราคา ในตัวแกนวิเศษก็ไม่มี ถึงหนูตัวนี้มันจะฉลาดมากกว่าหนูทั่วไปก็เถอะ แต่จะอย่างไรก็ยังนับว่าไร้ประโยชน์อยู่ดี”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “เดี๋ยวเจ้าก็รู้ว่ามันมีประโยชน์อย่างไร”
ราชันย์หนูอสูรตัวนี้มีประโยชน์อย่างไรน่ะหรือ?
มีประโยชน์มากเชียวล่ะ