บทที่ 158 เรื่องมันไม่ควรเป็นแบบนี้
ฝ่ายตรงข้ามเป็นนักล่าอสูรจำนวน 30 คน ทั้งหมดเป็นบุรุษร่างกายกำยำ สวมใส่ชุดเกราะเหล็กคุณภาพสูงกว่ากลุ่มจอมยุทธ์หญิงหลายเท่า เพียงดูจากอุปกรณ์ที่ทั้งสองฝ่ายใช้ ก็รู้แล้วว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ได้เปรียบสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟอยู่หลายช่วงตัว
บุรุษหัวหน้ากลุ่มมีอายุ 30 กว่าปี
คนผู้นี้ใบหูกาง ดวงตาเล็กแคบ ร่างกายผอมสูง ผมดำยาวสลวย ชุดเกราะเหล็กฝังหมุดระยิบระยับ สะพายกระบี่อยู่ทั้งสองข้างของฝั่งเอว ถึงหน้าตาจะดูหล่อเหลา แต่ริมฝีปากที่เชิดรั้นขึ้นมานั้น ก็บ่งบอกได้ดีว่าไม่ใช่ตัวดีอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดจากจอมยุทธ์หญิง บุรุษหนุ่มหูกางก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อู๋หง เจ้ามีสิทธิ์อะไรจะมาขวางทางข้า? ไปบอกให้เฟิงซือเหนียงออกมาเจอข้าเดี๋ยวนี้ เสี่ยวหลิงก็เป็นลูกสาวข้าเช่นกัน ทำไมข้าจะพานางกลับไปไม่ได้”
“เฮอะ คิดจะพาคุณหนูเสี่ยวหลิงไปงั้นหรือ ฝันไปเถอะ” จอมยุทธ์หญิงร่างบึกแสยะยิ้มเหยียดหยาม
บุรุษหนุ่มหูกางพูดว่า “หากเจ้าไม่ส่งตัวเสี่ยวหลิงมา เท่ากับว่าพวกเจ้าอยากเป็นศัตรูกับสำนักล่าอสูรอินทรีร่อน และทุกอย่างที่พวกเจ้าหามาได้ ก็จะกลายเป็นของพวกเราทั้งหมด”
“ที่แท้พวกท่านก็เพียงอยากหาข้ออ้าง เพื่อที่จะได้ลงมือปล้นซิงสิ่งของไปจากพวกเราสินะ”
หัวหน้ากลุ่มจอมยุทธ์หญิงตวาด ดวงตาร้อนผ่าวแทบลุกเป็นไฟ
“หึหึ ใจคอนายหญิงของเจ้าจะไม่ออกมาจริงๆ ใช่ไหม? หรือว่านางได้รับบาดเจ็บ?” โจวเฉิงทอดสายตามองไปยังกระโจมที่พักซึ่งตั้งอยู่ด้านใน ก่อนหัวเราะในลำคอ “ถ้าอย่างนั้นสถานการณ์ของพวกเจ้าก็คงไม่สู้ดีนัก ฮ่าฮ่า ตอนนี้เจ้ามีทางเลือกแค่สองทางเท่านั้น ตกลงว่าจะส่งตัวเสี่ยวหลิงมาให้ข้าได้หรือยัง”
จอมยุทธ์หญิงร่างบึกโกรธแค้นจนตัวสั่น “โจวเฉิง เจ้ายังมีความเป็นคนเหลืออยู่หรือไม่? อย่าลืมว่าในอดีตเจ้าเป็นเพียงคนพเนจรผู้หนึ่งเท่านั้น หากนายท่านไม่รับมาเลี้ยงดูและถ่ายทอดวิทยายุทธ์ทุกอย่างให้ เจ้าก็คงเสียชีวิตอยู่นอกเมืองหยุนเมิ่งไปนานแล้ว”
“ทั้งๆ ที่นายท่านรักเจ้าเสมือนบุตรชาย ก่อนเสียชีวิตถึงกับยินยอมให้เจ้าแต่งงานกับนายหญิง แต่วันๆ เจ้ากลับเอาแต่ดื่มกินเล่นการพนัน ซ้ำยังนำสตรีจากข้างนอกมาย่ำยีศักดิ์ศรีของนายหญิงตลอดเวลา…เจ้าตัวโสมม ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?”
“อดีตผ่านไปแล้ว ใครจะสนใจกันเล่า?” โจวเฉิงตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านใดๆ “อีกอย่าง ข้าอยู่ช่วยงานตระกูลเฟิงเป็นเวลาถึง 10 ปี เมื่อตาเฒ่านั่นลงนรกไปแล้ว ข้าก็ควรได้รับสิ่งตอบแทนบ้างไม่ใช่หรือ?”
“เฮอะ” หัวหน้ากลุ่มจอมยุทธ์หญิงแค่นเสียงในลำคอ “รับใช้ตระกูลเฟิงอย่างนั้นหรือ? เจ้าทำอะไรบ้างตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่ามีเจ้าหรือไม่มีเจ้า สำหรับพวกเราแล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันเลยสักนิด ข้าอยากจะควักหัวใจเจ้าออกมาดูนัก ว่ามันมีสีดำสนิทใช่หรือไม่”
โจวเฉิงพลันสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันตา “หยุดพูดไร้สาระ แล้วส่งตัวเสี่ยวหลิงกับของที่พวกเจ้าล่าได้ทั้งหมดมาได้แล้ว มิเช่นนั้น อย่าหาว่าข้าลงมือโดยไม่เกรงใจ”
บรรดามือกระบี่ที่ยืนเรียงรายอยู่ด้านหลังชายหูกาง พร้อมใจกันฉีกยิ้มด้วยความกระตือรือร้น
สำนักล่าอสูรกุหลาบไฟมีสมาชิกเป็นสตรีล้วน ชำนาญเรื่องการออกล่าในพื้นที่หุบเขาชายแดนเหนือ
แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าขณะพวกนางทำงานหนักเพื่อออกล่าอสูร กลับเป็นกลุ่มนักล่าชายฉกรรจ์อกสามศอกที่เตรียมพร้อมรอโอกาสเข้าปล้นชิงสิ่งของจากพวกนางอยู่เสมอ
“แบบนี้มันไร้ยางอายเกินไปแล้ว”
ไป๋ชินหยุนถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า
หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่น พูดกับตัวเองในใจว่า เรื่องราวไม่ควรดำเนินไปแบบนี้เลย นี่ควรจะเป็นหนังแนวกำลังภายในแฟนตาซี ที่เน้นขายฉากต่อสู้อันน่าตื่นตาตื่นใจสิ เหตุไฉนถึงได้กลับกลายเป็นละครหลังข่าวไปเสียแล้ว?
ดูเหมือนว่าหลินเป่ยเฉินยังคงไม่เข้าใจโลกจอมยุทธ์แห่งนี้เลยจริงๆ
ระหว่างที่เขาคิดอยู่นี้ การต่อสู้ที่อีกฝั่งหนึ่งก็ได้บังเกิดขึ้น
นี่คือการต่อสู้ของจริง
นี่คือการต่อสู้ที่มีคนตายจริงๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่น้องเอ๋ย พวกเจ้าอยากทำอะไรกับนักล่ากุหลาบไฟเหล่านี้บ้าง จงทำได้ตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจ” โจวเฉิงระเบิดเสียงหัวเราะชั่วร้าย “แต่จำไว้ว่าอย่าทำให้พวกนางถึงแก่ความตายก็แล้วกัน เพราะเรายังสามารถเอาพวกนางไปขายได้เงินอีกเป็นกอบเป็นกำ…”
“สามหาวนัก!”
จอมยุทธ์หญิงร่างบึก ควงกระบี่ในสองมือพุ่งเข้าหาโจวเฉิง ปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด
ทั้งสองฝ่ายต่างห้ำหั่นกันไม่มีใครยอมใคร
เพียงไม่นาน ก็เริ่มมีคนตายแล้ว
ผลั่ก!
เด็กสาววัย 16 – 17 ปีคนที่เคยพบหน้าพวกของหลินเป่ยเฉินก่อนหน้านี้ ถูกเตะลอยกระเด็นเลือดออกปาก ร่างกายหล่นลงมาตกอยู่หน้าพุ่มไม้ที่หลินเป่ยเฉินกับไป๋ชินหยุนกำลังซ่อนตัวอยู่พอดี
“อะฮ้า แม่สาวน้อย วันนี้แหละข้าจะยัดเยียดความเป็นผัวให้เจ้าเอง!”
ชายหัวโล้นหนวดดกคนหนึ่ง เดินถือดาบย่างสามขุมเข้ามาหาเด็กสาว ดวงตาเป็นประกายแวววาว สีหน้าอธิบายได้ชัดเจนถึงความคิดชั่วช้าที่อยู่ในสมอง
เด็กสาวจากสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟรีบลุกขึ้นยืน แต่ขาของนางได้รับบาดเจ็บ ร่างบางจึงล้มลงไปอีกครั้ง
“อย่าคิดขัดขืนเลยจะดีกว่า ยอมเป็นเมียข้าดีๆ เถอะนะ” ชายหัวโล้นแสยะยิ้มน่าขยะแขยง
“ทนไม่ไหวแล้ว”
ไป๋ชินหยุนพลันพุ่งปราดออกไปข้างหน้าพร้อมกับสลัดเท้าเตะเต็มแรง
ผลั่ก!
ชายหัวโล้นโดนเตะลอยกระเด็นไปเลือดไหลทะลักเต็มปาก
ไป๋ชินหยุนมีระดับพลังไม่อ่อนแอ ซ้ำขณะนี้ยังศึกษาคัมภีร์กระบี่จากเมืองไป๋หยุน ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเป็นคู่ฝึกซ้อมกับหลินเป่ยเฉินและได้รับคำแนะนำจากเขาไปพัฒนาฝีมือมากมาย ทำให้ ณ บัดนี้ ไป๋ชินหยุนมีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 9 ส่วนชายหัวโล้นที่เป็นคู่ต่อสู้ของนางนั้นมีพลังเพียงขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 8 แล้วเขาจะรับการโจมตีจากนางได้อย่างไร?
“ดูนี่สิ แม่หนูคนนี้คิดลองของกับพวกเราแฮะ สงสัยต้องสั่งสอนบทเรียนสักหน่อยแล้ว”
“ฮ่าฮ่า หนูน้อยคนนี้ ผิวพรรณช่างขาวเนียนเหมือนตุ๊กตากระไรปานนั้น จับตัวเอาไปขาย ท่าทางจะได้ราคาดี”
“พวกเราจับเป็น อย่าให้นางมีริ้วรอยเด็ดขาด”
แล้วกลุ่มชายฉกรรจ์ก็พุ่งเข้ามาหาไป๋ชินหยุนด้วยความดุร้าย
พวกมันยังไม่รู้ว่าไป๋ชินหยุนเป็นใครมาจากไหน จึงเข้าใจว่านางเป็นสมาชิกของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ
“ศิษย์น้องไป๋ ระวังตัวด้วย”
พลัน เสียงคำรามของฮันปู้ฟู่ดังกึกก้อง
“ชินหยุน พวกเรามาช่วยแล้ว”
เยว่หงเซียงก็ชักกระบี่ปรากฏกายขึ้นเช่นกัน
เช้ง เช้ง!
เสียงกระบี่ปะทะกันดังขึ้นในอากาศ
หลินเป่ยเฉินยืนดูการต่อสู้ด้วยความมึนงง
ฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงโผล่มาได้ยังไงกันล่ะเนี่ย?
“เจ้ามันเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีทางให้อภัยได้เด็ดขาด ข้าจะลงทัณฑ์เจ้าในนามของความยุติธรรมเอง”
ไป๋ชินหยุนคำรามเสียงดังปานฟ้าผ่า
เด็กสาวร่างเล็กเหวี่ยงดาบใหญ่คู่กายเป็นวงกลม บุกเข้าเผชิญหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์โดยไม่หวาดเกรง และเมื่อนางระเบิดพลังลมปราณออกจากร่าง กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็พลันลอยกระเด็นล้มกลิ้งระเนระนาด
แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินก็คงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้แล้วเช่นกัน
เขาปล่อยกระแสจิตจับตำแหน่งเพื่อนร่วมสถาบันทั้งสาม จากนั้นจึงรับหน้าที่เป็นมือซุ่มยิงประจำทีมไปโดยปริยาย หากเพื่อนคนใดอยู่ในภาวะคับขัน หลินเป่ยเฉินก็จะยิงอาวุธลับออกจากใต้แขนเสื้อเข้าไปช่วยเหลือไม่รอช้า
บางครั้งเขาก็จะโยนวงแหวนวารีออกไปช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ
ฮันปู้ฟู่ ไป๋ชินหยุน และเยว่หงเซียงยิ่งสู้ก็ยิ่งมั่นใจ
หัวหน้าคณะอาจารย์อย่างพานเว่ยหมินกับฉู่เหินยืนกอดอกรับชมการต่อสู้อยู่ด้านนอก บนใบหน้าประดับรอยยิ้มพึงพอใจ ทั้งสองคนต่างไม่มีใครคิดขัดขวางการต่อสู้ในครั้งนี้
เป้าหมายของการฝึกพิเศษ ไม่เพียงแต่อยากยกระดับวิทยายุทธ์ของศิษย์กลุ่มนี้เท่านั้น แต่มันยังเป็นการทำให้เด็กๆ ได้รู้จักความยุติธรรมและการยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้อื่น โดยหลักการประจำใจของมือกระบี่ที่ควรจะเป็นก็คือ ยามชักกระบี่ออกจากฝัก ต้องชักออกมาเพื่อช่วยเหลือผู้คนเท่านั้น
อย่างน้อย บรรดาลูกศิษย์ที่จบจากสถานศึกษากระบี่ที่สามก็คงไม่ได้จบออกไปกลายเป็นตัววายร้ายในยุทธภพ
เมื่อพบเห็นผู้อ่อนแอกำลังถูกรังแก พวกเขาไม่มีวันนิ่งเฉยดูดายเด็ดขาด
เมื่อมีศิษย์เอกทั้ง 4 คนจากสถานศึกษากระบี่ที่สามเข้าช่วยเหลือ สถานการณ์ของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟจึงพลิกกลับตาลปัตรอีกครั้ง เมื่อสักครู่นี้พวกนางกำลังพ่ายแพ้ แต่บัดนี้ชัยชนะอยู่แค่เอื้อมมือแล้ว
หลินเป่ยเฉินเป็นกุญแจสำคัญของชัยชนะครั้งนี้ โดยเฉพาะอาวุธลับที่เขาซัดออกมาจากแขนเสื้อ
ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มยกมือขึ้น จะต้องมีชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ล้มลงไปร้องโอดโอย
“บัดซบ”
โจวเฉิงใช้กระบี่ยาวในมือสลัดหลุดออกจากการพันตูของจอมยุทธ์หญิงร่างบึก เขาพลิ้วกายลอยขึ้นสูงกว่า 3 จั้งในอากาศ ทะยานเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน
คนที่เก่งเรื่องการใช้อาวุธลับ มักไม่เก่งการต่อสู้ระยะประชิดตัว
โจวเฉิงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น เขาจึงเข้าใจว่าเพื่อนๆ ของเจ้าหนุ่มอาวุธลับคนนั้น จะต้องถอนกำลังกลับมาปกป้องด้วยความร้อนรนอลหม่าน
เพราะฉะนั้น โจวเฉิงจึงระเบิดพลังลมปราณออกจากร่างกายเต็มอัตรา
แต่ทว่า เด็กหนุ่มเด็กสาวทั้ง 3 คนนั้นกลับไม่ได้ขัดขวางโจวเฉิงเลย มิหนำซ้ำ สีหน้ากลับบ่งบอกถึง… ความเหยียดหยามบางประการด้วยซ้ำ