บทที่ 159 สักวันเจ้าจะต้องชักกระบี่ฆ่าคนด้วยตนเอง
เพราะเหตุใดกัน?
คำถามนี้ผุดขึ้นมาในสมองของโจวเฉิง
เช้ง!
เสียงกระบี่ถูกชักออกจากฝัก
แรงปะทะจากอะไรบางอย่างทำให้กระบี่ในมือของโจวเฉิงสะท้านสะเทือน
เคล้ง!
แล้วกระบี่ในมือของเขาก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
โจวเฉิงตะลึงลานวูบ เศษกระบี่ทิ่มแทงตามร่างกาย เลือดสีแดงสาดกระจาย ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วตัว
“อ๊าก!”
บุรุษหูกางส่งเสียงกรีดร้อง ตัวคนตกวูบกระแทกพื้นดินเสียงดังหนักหน่วง รู้สึกเจ็บปวดปานร่างกายแหลกสลาย
เมื่อเงยหน้ามอง ถึงได้รู้ว่ากระบี่ประจำตัวหักครึ่งไปเสียแล้ว
แต่ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเด็กหนุ่มผู้ใช้อาวุธลับบัดนี้กลับมีกระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ปลายกระบี่นั่นกำลังชี้มาที่หว่างคิ้วของโจวเฉิง
แข็งแกร่งเหลือเกิน
ทำไมเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้แข็งแกร่งนัก?
โจวเฉิงไม่อยากเชื่อ
ตัวเขาเองมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับหนึ่ง นับดูในกลุ่มนักล่าอสูรด้วยกัน ยากนักที่จะพบเจอผู้มีพลังระดับนี้
แต่เขาก็ยังต้านทานการโจมตีจากเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้
“เอาล่ะๆ ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่คิดเลยว่าเฟิงซือเหนียงจะมีผู้ช่วยฝีมือเข้มแข็งถึงเพียงนี้ ข้าแพ้แล้ว” โจวเฉิงคลี่ยิ้มด้วยความเศร้าเสียใจ ก่อนกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ “นับจากนี้ไป ข้าจะไม่มารังควานเสี่ยวหลิงอีกแล้ว ขอคุณชายได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย”
หลินเป่ยเฉินพลิ้วกายเข้ามาสะบัดเท้าเตะใส่ช่วงท้องของโจวเฉิงอย่างแรง
พลั่ก!
โจวเฉิงลอยกระเด็นออกไปไกลสามวา กระแทกเข้ากับก้อนหินใหญ่เหมือนกระสอบทรายถุงหนึ่ง แล้วจึงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ?
เพียงถูกเตะเข้าไปครั้งเดียว โจวเฉิงก็ไม่รู้แล้วว่ากระดูกในร่างกายของตนเองแตกหักไปกี่ส่วน
จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินเคลื่อนไหวอีกครั้ง ได้ยินเสียงเหมือนนกกระพือปีกในอากาศ ตามด้วยเสียงกระบี่สะบัดตัวด้วยท่วงท่ากระบี่ทะลวงจันทร์
คมกระบี่สาดประกายวูบวาบ
กระบี่เสือกแทงหนึ่งครั้ง ได้ยินเสียงผู้คนร้องโหยหวนหนึ่งหน
“อ๊าก…”
“มือของข้า…”
“โอ๊ย…”
“เฮื้อ…ฟู่!”
หลินเป่ยเฉินแสดงฝีมือออกมาสุดกำลัง เสมือนพญามังกรเหยียบย่ำฝูงแกะ นักล่าอสูรกลุ่มนี้ ไม่มีใครเป็นคู่มือเขาได้เลยสักคน
เมื่อมีฮันปู้ฟู่ ไป๋ชินหยุนและเยว่หงเซียงคอยจัดการอีกทางหนึ่ง ลูกสมุนของโจวเฉิงก็พ่ายแพ้ราบคาบ ได้แต่นอนส่งเสียงร้องครวญครางอยู่บนพื้นดิน ไม่สามารถหยิบจับอาวุธลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อีกแล้ว
“พวกท่านเป็นใครกันแน่?”
โจวเฉิงพยายามลุกขึ้นยืนส่งเสียงถามด้วยความยากลำบาก
กระบี่โดรานในมือของหลินเป่ยเฉินหันกลับไปชี้ใส่หน้าโจวเฉิงอีกครั้ง
จิตสังหารก่อกำเนิดในใจ
เขาอยากสังหารชายหูกางผู้นี้
จิตใจบางส่วนกำลังพร่ำบอกเขาว่า นักล่าอสูรกลุ่มนี้ทำตัวเป็นโจรป่า นับเป็นเศษขยะไร้ค่า แถมยังมีอันตราย ไม่ควรปล่อยให้ลอยนวลเด็ดขาด
แต่จิตใต้สำนึกของความเป็นคนจากโลกมนุษย์ ก็ทำให้เด็กหนุ่มเกิดความลังเล
“เจ้าจะลังเลอะไรอยู่อีก?”
ฉู่เหินเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า
“หืม?”
เด็กหนุ่มหันหน้ากลับไปมองอาจารย์ผู้สูงวัย
“หากเจ้าไม่ได้มีฝีมือดีกว่ามัน ป่านนี้เจ้าคงถูกมันฆ่าตายไปแล้ว” ฉู่เหินมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังมากกว่าที่เคยเป็นมาขณะสั่งสอนต่อไปว่า “หากเจ้าต้องพ่ายแพ้ให้กับนักล่าอสูรกลุ่มนี้ คิดดูสิว่าพวกมันจะทำอย่างไรกับไป๋ชินหยุนและเยว่หงเซียงบ้าง?”
เมื่อหลินเป่ยเฉินลองคิดตาม เนื้อตัวของเขาก็ต้องสั่นเทาขึ้นทันที
พิจารณาจากภาษาอันหยาบคายของคนกลุ่มนี้ ถ้าเด็กสาวหน้าตางดงามทั้งสองคนต้องตกอยู่ในกำมือของพวกมัน เกรงว่าคงพบเจอชะตากรรมที่น่าอนาถแล้ว
ฉู่เหินถามออกมาอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าการปล่อยพวกมันไปในวันนี้ จะทำให้พวกมันกลับตัวเป็นคนดีได้หรือไม่?”
คนพวกนี้จะกลับตัวกลับใจได้หรือเปล่า?
หลินเป่ยเฉินมั่นใจในคำตอบ 99% ว่าพวกมันไม่มีทางกลับตัวได้เด็ดขาด
โดยเฉพาะกับคนอย่างโจวเฉิง ซึ่งนับเป็นตัวชั่วร้ายเกินกลับใจอีกแล้ว
“เจ้าเป็นเด็กดี” ฉู่เหินตบไหล่หลินเป่ยเฉินเล็กน้อย และกล่าวต่อ “แต่เจ้าต้องปรับตัวให้ทันกับโลกแห่งความเป็นจริง”
พูดจบ อาจารย์หัวหน้าประจำชั้นปีที่ 2 ก็หันไปตวาดใส่พวกโจวเฉิงว่า “ไสหัวไปซะ”
กลุ่มนักล่าอสูรอินทรีเหินไม่กล้ารั้งรออีกต่อไป พวกมันรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน วิ่งหนีไปอย่างทุลักทุเล
การต่อสู้จบลงแล้ว
หลินเป่ยเฉินยังไม่หายตกตะลึง
“อย่าคิดมากเลย ค่อยๆ เรียนรู้ไปก็แล้วกัน”
ฉู่เหินไม่อยากบังคับให้หลินเป่ยเฉินฆ่าคนโดยไม่สมัครใจ ชายชราได้แต่ยิ้มออกมาพร้อมกับกล่าวว่า “เดี๋ยวสักวัน เจ้าจะต้องชักกระบี่ออกมาฆ่าคนด้วยตนเองอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้ารับคำด้วยสีหน้าหนักใจ
เขาไม่ได้หวาดกลัว
แต่ด้วยความที่อยู่โลกมนุษย์มาก่อน เด็กหนุ่มถูกพร่ำสอนให้ประพฤติตัวเป็นคนดี ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเบียดเบียนผู้อื่น เมื่อสักครู่นี้จิตใต้สำนึกจึงบอกเขาว่า เขาไม่ควรกลับสู่โลกมนุษย์ในฐานะฆาตกรฆ่าคน
ไม่ว่าจะเป็นชื่อกระบี่หรืออาวุธคู่กายชนิดอื่นๆ รวมถึงชื่อสัตว์เลี้ยงอย่างอากวง หลินเป่ยเฉินล้วนตั้งใจตั้งชื่อไว้เพื่อเตือนตัวเองไม่ให้ลืมเลือนโลกมนุษย์ทั้งสิ้น
ไป๋ชินหยุนกับฮันปู้ฟู่มองหน้ากันไม่พูดอะไร
การต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้สังหารผู้คนจริงๆ
ยามอยู่ในสนามรบ ย่อมไม่มีจิตใจคิดถึงเรื่องอื่น อย่าว่าแต่ศัตรูที่พวกเขาพบเจอวันนี้ เป็นกลุ่มตัววายร้ายจิตใจหยาบช้า ต่อให้นี่เป็นการสังหารคนครั้งแรก ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากใจสักเท่าไหร่
มีเพียงเยว่หงเซียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกเข้าใจหัวอกหลินเป่ยเฉิน
เพราะถึงจะเข้าร่วมการต่อสู้เมื่อครู่นี้เช่นกัน แต่นางก็ไม่ได้สังหารศัตรูเลยสักคนเดียว
ในมุมมองของเยว่หงเซียง มนุษย์ทุกคนสมควรได้รับโอกาสให้กลับตัวกลับใจ
หลินเป่ยเฉินรู้ว่านางไม่ใช่คนใจอ่อน มีหลายแง่มุมที่เยว่หงเซียงใจแข็งกว่าเขาด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่านาง…เป็นคนมองโลกในแง่ดี
หรือจะบอกว่าเยว่หงเซียงเป็นพวกโลกสวยก็คงได้
บรรยากาศกลับคืนสู่ความปกติในไม่ช้า
“ขอบคุณทุกท่านที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ”
อู๋หง จอมยุทธ์หญิงที่มีร่างกายกำยำเหมือนนักกล้าม เดินนำกลุ่มบริวารเข้ามาขอบคุณบรรดาศิษย์และอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามครั้งแล้วครั้งเล่า
ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา เกรงว่าชีวิตของพวกนางคงต้องพบเจอจุดจบที่น่าอนาถยิ่ง
ว่ากันตามตรง จนถึงตอนนี้ อู๋หงและบริวารของนางก็ยังไม่อยากเชื่อในฝีมือที่แท้จริงของเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสี่คน ระดับฝีมือของพวกเขา เกินกว่ามือกระบี่รุ่นเยาวชนตามความเข้าใจของพวกนางหลายเท่านัก
นับเป็นโชคดีที่การตั้งค่ายพักบริเวณริมน้ำก่อนหน้านี้ สำนักล่าอสูรกุหลาบไฟยอมหลีกทางให้กับคนกลุ่มนี้แต่โดยดี ไม่ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกันแต่อย่างใด
…
ราตรีกาลมาเยือน
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดำ มองไม่เห็นดวงดาวสักดวงเดียว
พวกของหลินเป่ยเฉินนั่งอยู่ข้างกองไฟ กำลังรับประทานอาหารค่ำจากฝีมือของพ่อครัวใหญ่พานเว่ยหมิน
เสียงเปลวไฟปะทุตัวดังเปรี๊ยะปร๊ะทำให้บรรยากาศริมน้ำอยู่ภายใต้ความสงบสุข
นับตั้งแต่เริ่มการฝึกพิเศษเป็นต้นมา ลูกศิษย์ทั้ง 4 คนได้พัฒนามิตรภาพและเพิ่มความเชื่อใจในตัวของกันและกันมากขึ้น ทำให้ขณะนี้เพียงมองตาก็รู้ใจ ไม่ต้องสื่อสารกันด้วยคำพูดก็ยังได้
หลินเป่ยเฉินโยนแก่นลมปราณแท่งหนึ่งไปข้างตัว
อากวงหนูอสูรดวงตาลุกวาว ลุกขึ้นมากระโดดรับแก่นลมปราณด้วยสองมือ ก่อนจะนำไปแทะกินเหมือนผลแอปเปิ้ลลูกหนึ่ง
พลัน ได้ยินเสียงฝีเท้าคนดังใกล้เข้ามา
ที่แท้ก็เป็นจอมยุทธ์หญิงนามอู๋หง มาพร้อมกับหญิงสาวร่างเพรียวบาง ผู้สวมใส่ชุดเกราะหนังสีดำแดงคนหนึ่ง
“กราบเรียนทุกท่าน นี่คือนายหญิงของพวกเรา นายหญิงมาเพื่อขอบคุณ”
อู๋หงรับหน้าที่แนะนำตัว
หญิงสาวร่างเพรียวมีใบหน้างดงามสมบูรณ์แบบ ทรวดทรงองค์เอวเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ เมื่อรวมเข้ากับเส้นผมยาวสลวยสีแดงเพลิงของนาง ก็ทำให้นายหญิงแห่งสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ มีทั้งความดุดันและความสง่างามในเวลาเดียวกัน
เสียแต่ว่าใบหน้าของนางซีดขาวมากไปหน่อย เหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บและเสียเลือดมากเกินไปอย่างไรอย่างนั้น
ด้านหลังของนางยังแอบด้วยเด็กหญิงวัยสี่ขวบคนหนึ่ง เด็กหญิงคนนี้ดูเหนียมอายและมีสภาพเนื้อตัวมอมแมมน่าสงสาร
“ตอนที่กลุ่มโจรป่าโจมตีพวกเราก่อนหน้านี้ ข้ากำลังโคจรพลังลมปราณรักษาบาดแผล ทำให้ไม่สามารถออกมารับมือพวกมันได้ชั่วคราว ต้องขอบคุณพวกท่านยิ่งนักที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือพี่น้องของข้า บุญคุณในครั้งนี้ สำนักล่าอสูรกุหลาบไฟจะจดจำไว้จนวันตาย และสักวันหนึ่ง ข้าจะต้องตอบแทนพวกท่านแน่นอน พวกท่านได้โปรดรับคำขอบคุณจากเฟิงซือเหนียงคนนี้เอาไว้ด้วยเถิด”
หญิงสาวใบหน้าซีดขาวประสานมือขอบคุณด้วยสีหน้าจริงจังจริงใจ
“เสี่ยวหลิง มาขอบคุณพี่ๆ เขาสิ”
นางหันไปกล่าวกับเด็กหญิงที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง
“ขะ…ขอบคุณพี่ชาย พี่สาวและท่านลุงที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ” เด็กหญิงพูดเสียงอ่อย
นางจับชายเสื้อคลุมของมารดาและหลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังตลอดเวลา ไม่ต่างจากลูกกวางน้อยที่กำลังตื่นกลัว ดวงตากลมโตของนางเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ดูน่ารักและน่าเวทนาในเวลาเดียวกัน
ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่า เด็กหญิงคนนี้ต้องเป็นบุตรสาวของโจวเฉิงแน่นอน
พานเว่ยหมินพูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้าออกมาล่าอสูรในป่า เหตุไฉนถึงต้องนำเด็กน้อยมาด้วยเล่า?”
เฟิงซือเหนียงมีสีหน้าเศร้าสลดขณะอธิบายว่า “สำนักใหญ่ของพวกเราที่ตั้งอยู่ในเมือง ถูกพวกโจวเฉิงทำลายลงไปแล้ว ข้าน้อยเกรงว่าหากเราทิ้งให้เสี่ยวหลิงอยู่ในเมือง นางอาจถูกพวกมันลักพาตัวได้ ยิ่งไปกว่านั้น เกิดพวกเราเสียชีวิตอยู่ในหุบเขากันทั้งหมด เสี่ยวหลิงก็คงต้องอยู่คนเดียวไม่มีใครดูแล ดังนั้น ข้าน้อยจึงนำนางเข้าป่ามาด้วย เพื่อหวังว่าพวกเราจะได้อยู่ด้วยกัน ตายด้วยกันเจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก…
พานเว่ยหมินกับฉู่เหินพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ
เมื่อพวกเขาทอดสายตามองไปที่เด็กหญิงตัวน้อย สีหน้าก็อ่อนโยนลง
ไป๋ชินหยุนยิงฟันยิ้มแฉ่ง พูดว่า “น้องสาวไม่ต้องกลัว ตัวพี่เป็นสุดยอดมือกระบี่ ใครทำไม่ดีกับเจ้าไว้ พี่จะทวงคืนความยุติธรรมให้เจ้าเอง”
“นี่คือแก่นลมปราณทั้งหมดที่สำนักล่าอสูรกุหลาบไฟหามาได้ตลอด 10 วันนี้เจ้าค่ะ มันเป็นของมีค่าสูงสุดที่พวกเรามี พวกท่านได้โปรดรับเอาไว้ด้วยเถิด ถือว่าเป็นสิ่งของตอบแทนจากพวกเราก็แล้วกัน” เฟิงซือเหนียงใช้สองมือประคองถุงหนังสีแดงสด ยื่นออกมาข้างหน้าด้วยความนอบน้อม