บทที่ 162 สถานการณ์พลิกผัน (ภาคจบ)
“เจ้า…”
หลินเป่ยเฉินตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไม่นะ…”
เนื่องจากยืนอยู่ใกล้ชิดกับเด็กหนุ่มมากที่สุด เยว่หงเซียงจึงมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เด็กสาวรู้สึกเย็นเฉียบไปทั่วกาย กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจไม่รู้ตัว
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กน้อยหลิงเอ๋อร์ ริ้วรอยเริ่มปรากฏผิดเพี้ยนไปจากอายุจริง
นางชักมีดสั้นออกมา กำลังจะแทงลงไปที่หัวใจของหลินเป่ยเฉินเป็นครั้งที่สอง
แต่ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง หลินเป่ยเฉินไม่รู้ว่ารวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายได้อย่างไร เขาต่อยหมัดกระแทกใส่ลำตัวหลิงเอ๋อร์สุดแรงเกิด ส่งผลให้ร่างกายขนาดเล็กกะทัดรัดนั้นลอยกระเด็นออกไปไกล
“แย่แล้ว”
ฉู่เหินเป็นคนแรกที่สลัดหลุดจากความตกตะลึง
เขาโคจรพลังลมปราณลงไปที่ตัวกระบี่ ก่อนพุ่งเข้าหาหลิงเอ๋อร์ด้วยความดุร้าย
จังหวะนั้น ร่างของเด็กหญิงเปลี่ยนตำแหน่งเหมือนภูตผี เผลอเดี๋ยวเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
เมื่อเห็นบาดแผลฉกรรจ์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าอกหลินเป่ยเฉิน ฉู่เหินก็รู้สึกใจหายวูบ
เด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ
เขาถูกมีดสั้นแทงลงไปที่หัวใจ
อาการบาดเจ็บชนิดนี้ ต่อให้มียาวิเศษจากสวรรค์ก็รักษาไม่ได้
ทันใดนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลังจากที่เจ้าหนุ่มคนนี้ตายแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน”
เด็กหญิงหลิงเอ๋อร์ระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น
แล้วมันก็เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
พลังลมปราณระเบิดออกจากร่าง กลายเป็นเกลียวคลื่น ก่อเกิดแสงสว่างทั่วท้องฟ้ายามรัตติกาล
มีดสั้นในมือเปลี่ยนเป้าหมายมาเล่นงานฉู่เหิน
หัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 2 ตะลึงลานวูบ
คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่ปลอมตัวเป็นเด็กหญิงจะมีพลังถึงขั้นปรมาจารย์
ชายชรามือหนึ่งประคองหลินเป่ยเฉิน อีกมือหนึ่งยกกระบี่ขึ้นปัดป้องการโจมตี คมกระบี่สาดแสงเป็นประกายวูบวาบ อาจารย์ฉู่ระเบิดพลังลมปราณออกไปเสียงดังกังวาน เหมือนหมีป่าคํารามด้วยความโกรธแค้น
นี่คือวิชากระบี่ครองพิภพ
“หืม? เจ้ามาจากกองทัพอย่างนั้นหรือ?” มือสังหารในร่างเด็กหญิงถึงกับต้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
มันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอาจารย์ในสถานศึกษากระบี่บ้านนอก จะมีระดับฝีมือสูงส่งถึงเพียงนี้ ถึงกับสามารถใช้วิชากระบี่ระดับสูงประจำกองทัพออกมาได้ ถือว่ามีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาแล้ว
ตู้ม!
พลังลมปราณของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
บรรยากาศรอบกายตกอยู่ภายใต้ความโกลาหล
“อะฮิอะฮิ!”
ทันใดนั้น มือสังหารที่ปลอมตัวเป็นหลิงเอ๋อร์พลันส่งเสียงหัวเราะน่าขนลุก ร่างของมันทะยานขึ้นท้องฟ้า หลบหลีกการโจมตีจากคมกระบี่ของฉู่เหินได้อย่างคล่องแคล่ว และมันก็อาศัยจังหวะนี้ ส่งตัวเองบุกเข้าโจมตีหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
“พวกเจ้าระวังตัว”
เมื่อเห็นดังนั้น เยว่หงเซียงก็ถลันกายออกไปข้างหน้า ยืนขวางร่างหลินเป่ยเฉินเอาไว้
เคล้ง!
กระบี่ในมือนางเมื่อปะทะกับมีดสั้นในมือนักฆ่า ก็มีอันหักเป็นหลายท่อน เศษกระบี่ที่แตกกระจายนั้น บางส่วนปลิวมาบาดใบหน้าของนางโดยไม่ทันตั้งตัว
เลือดพุ่งกระฉูดปานน้ำพุ
“ตายซะเถอะ”
ฉู่เหินควงกระบี่เสือกแทงออกไปข้างหน้า
วูบ!
พลังลมปราณพวยพุ่งออกจากคมกระบี่เหมือนกระแสไฟฟ้า ตัดผ่านความมืดมิด ยิงเข้าใส่ใจกลางร่างกายหลิงเอ๋อร์
มือสังหารในร่างเด็กหญิงเลือดไหลทะลักออกปาก ปลิวกระเด็นไปด้านหลัง
“อาจารย์ฉู่ ข้า…”
หลินเป่ยเฉินอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าในปากเต็มไปด้วยของเหลวเหนียวข้น เรี่ยวแรงที่เคยมีอยู่ในร่างกายพลันอันตรธานหายไปในเวลาพริบตาเดียว เขาไม่เหลือแรงที่จะพูดอะไรออกมาสักคำ แม้แต่จะยกมือขึ้นมา ก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
และเนื่องจากไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงไว้โคจรพลังปราณธาตุ เขาจึงไม่สามารถใช้วงแหวนวารีรักษาตัวเองได้อีกแล้ว
เสียงโหวกเหวกโวยวายของเยว่หงเซียง ไป๋ชินหยุน และฮันปู้ฟู่ดังห่างไกลออกไปทุกทีทุกที
สายตาพร่าเลือน ใบหน้าที่แสดงความวิตกกังวลปรากฏขึ้นรอบตัว
หลินเป่ยเฉินเห็นว่าอาจารย์ฉู่กำลังส่งเสียงตะโกนสติแตก…
แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว
ความมืดมิดครอบคลุม
รู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังจะหลุดลอยออกจากร่าง
นี่เขากำลังจะตายใช่ไหม?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองกำลังดำดิ่งลงไปในหุบเหวที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
ถ้าตายจากโลกนี้ จะได้กลับโลกมนุษย์หรือเปล่านะ?
นี่สวรรค์เห็นว่าชีวิตของเขาเป็นเรื่องตลกหรืออย่างไร?
หลินเป่ยเฉินภาวนาว่าเมื่อตนเองได้สติฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะได้เห็นตึกสูงเสียดฟ้าที่คุ้นเคย ถนนหนทางที่เต็มไปด้วยการจราจรเนืองแน่น ข้างตัวเขาจะมีหน้าจอคอมพิวเตอร์ เมาส์และแท็บเล็ต…เขากำลังจะได้กลับไปพบเจอพ่อแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนๆ แล้วใช่ไหม?
ความมืดมิดกลืนกินสติสัมปชัญญะของหลินเป่ยเฉิน
ทุกอย่างดับวูบลง
…
“อ๊าก…”
หลินเป่ยเฉินร่างกระตุกเฮือก แผดเสียงตะโกนออกมาแหบแห้ง
ร่างกายของเขาร้อนเป็นไฟ
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
พบเจอแต่ความมืดมิด
มือของใครบางคนกำลังปิดปากเขาอยู่
“อย่าเพิ่งส่งเสียงเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู
เสียงกระซิบที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
หลินเป่ยเฉินพยายามรวบรวมสติอีกครั้ง
ความทรงจำของเขากระจัดกระจาย แยกย้ายไม่เป็นระเบียบ เหมือนเศษแก้วที่ตกแตกเกลื่อนกลาด
ที่นี่คือที่ไหน?
เขา…ตายแล้วใช่ไหม?
เด็กหนุ่มพยายามทบทวนความทรงจำ
“ชู่ว์ ข้าน้อยเองเจ้าค่ะ ศิษย์พี่หลิน อย่าเพิ่งส่งเสียงตอนนี้เลย”
เนื้อตัวที่นุ่มนิ่มบดเบียดกับร่างกายของเขา ขณะที่เสียงของเด็กสาวดังขึ้นอีกครั้ง
นั่นเอง หลินเป่ยเฉินถึงจำได้ว่านี่เป็นเสียงของเยว่หงเซียง
“ข้า…ยังไม่ตายอีกหรือ ข้า…อยู่ที่ไหนกัน?”
หลินเป่ยเฉินแสบคอเหมือนมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงอยู่ในกล่องเสียง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เสียงพูดของเขาแหบแห้งน่าขนลุก
แต่โชคดีที่เยว่หงเซียงเตือนเอาไว้ก่อน เขาจึงกระซิบออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ตอนนี้อย่าเพิ่งคุยอะไรกันเลยเจ้าค่ะ”
ลำตัวของเยว่หงเซียงพลันแนบชิดติดกับหลินเป่ยเฉินมากกว่าเดิม
เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในสภาพอ่อนระโหยโรยแรง แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงก้อนเนื้อนุ่มนิ่มที่บดเบียดกับหน้าอกตนเองอย่างชัดเจน
สายตาของเขาเริ่มปรับตัวกับความมืดได้ดีขึ้น
ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นโพรงถ้ำใต้ดินขนาดเล็กแคบแห่งหนึ่ง
เสียงผู้คนตะโกนอยู่ด้านบนว่า
“แถวนี้ไม่มีใครอยู่เลย”
“พวกเราหาให้เจอ พี่สี่บอกว่าถ้าไม่พบตัวคนเป็น อย่างน้อยก็ต้องเห็นศพคนตาย”
“งั้นเราลองไปค้นหาดูแถวริมน้ำกันดีกว่า”
“หรือพวกมันจะข้ามแม่น้ำหนีไปแล้วนะ”
เสียงพูดคุยของกลุ่มคนจำนวนมากที่ดังขึ้นเหนือศีรษะหลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียง พลันห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเสียงผีเท้า
หลินเป่ยเฉินสังเกตได้ว่าเยว่หงเซียงมีท่าทีผ่อนคลายลง ตลอดร่างของนางไม่ได้แข็งเกร็งด้วยความตึงเครียดเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
แต่นางยังคงกอดหลินเป่ยเฉินแนบแน่นไม่ยอมปล่อย
ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูปเต็มๆ นางถึงได้ระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ศิษย์พี่หลิน ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว ท่านรู้สึก…เป็นอย่างไรบ้าง?” เสียงของนางสั่นเครือเหมือนคนกำลังร้องไห้
เด็กสาวคงแก่เรียนผู้นี้กำลังพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะสะกดกลั้นความดีใจเอาไว้
“อะแฮ่ม…ข้าไม่เป็นไร แค่รู้สึกเหนื่อยล้ากับเจ็บอีกนิดหน่อยเท่านั้น…”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปเสียงนุ่ม
เขารู้สึกเหนื่อยล้าจริงๆ
ร่างกายของเขาอ่อนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่ใช่ว่าพลังลมปราณในร่างกายจะสูญหายสลายสิ้น มันยังมีอยู่ แต่มีอยู่ในจำนวนอันน้อยนิด ไม่เพียงพอที่จะใช้เยียวยาอาการบาดเจ็บได้เลย
หลินเป่ยเฉินจำได้แล้วว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
เขาโดนยัยเด็กนรกนั่นหลอกซะสนิทใจ
ที่หน้าอกตอนนี้ยังรู้สึกเจ็บแปลบๆ ก็เพราะว่าบาดแผลยังไม่สมานตัวดีนัก
โดยเฉพาะเมื่อมีการกดทับจากหน้าอกของเยว่หงเซียง ความเจ็บปวดก็ยิ่งชัดเจนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น มีหยดน้ำตาไหลแหมะลงมาบนใบหน้าหลินเป่ยเฉิน
หยดน้ำตากลิ้งผ่านข้างแก้ม ไหลย้อยเข้าสู่มุมปากของเขา
รสชาติเค็มปร่า
“อย่าร้องไห้ไปเลยนะ” หลินเป่ยเฉินพยายามฝืนยิ้ม “ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
แม้ว่าในถ้ำใต้ดินแห่งนี้จะมืดมิด เด็กหนุ่มไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แต่เขาก็รู้ดีว่าเยว่หงเซียงคงกำลังฉีกยิ้มอยู่แน่นอน
“ข้าจะพาท่านออกไปจากที่นี่ก่อน” เยว่หงเซียงสงบจิตสงบใจ แล้วกล่าวต่อ “เดี๋ยวพวกมันต้องกลับมาค้นหาที่นี่อีกแน่”
เด็กสาวคลานไปข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยกก้อนหินที่อยู่ข้างตัวขึ้นจำนวนสองสามก้อน
แสงดาวสาดส่องลงมาจากช่องว่างด้านบน
อากาศบริสุทธิ์ไหลทะลักเข้ามา
เยว่หงเซียงดันตนเองขึ้นไปด้านบน ก่อนจะโน้มกายกลับลงมาอีกครั้ง เพื่อช่วยดึงเขากลับขึ้นไป “ศิษย์พี่หลินทนเจ็บแผลหน่อยนะเจ้าคะ มันอาจกระทบกระเทือนเล็กน้อย…”
“ไม่เป็นไร”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
เยว่หงเซียงออกแรงดึงแขนฉุดลากหลินเป่ยเฉินกลับขึ้นไปสู่พื้นดินด้านบนได้อีกครั้ง
ขณะนี้เป็นเวลายามราตรี
ดวงดาวเกลื่อนฟ้าสว่างสดใส
แต่พระจันทร์กลับแอบตัวอยู่หลังก้อนเมฆ
หลินเป่ยเฉินยืนพิงก้อนหินที่ตั้งอยู่ปากทางเข้าถ้ำใต้ดิน เขาหันหน้าไปถามเยว่หงเซียงว่า “หลังจากที่ข้าหมดสติไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
พลัน ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้าง สีหน้าตกตะลึงเหมือนได้พบเห็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว