บทที่ 163 รูปโฉมที่เปลี่ยนไป
แสงดาวสาดส่องลงมาในป่ามืด
เยว่หงเซียงยืนอยู่ตรงข้ามหลินเป่ยเฉิน
ชุดเสื้อคลุมมือกระบี่ของนางขาดรุ่งริ่ง แทบจะปิดบังร่างกายขาวเนียนไม่มิด คราบสกปรกที่เปรอะเปื้อนอยู่ตามเนื้อผ้านั้น หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจว่ามันเป็นคราบเลือดแห้งกรัง หรือเป็นเพียงคราบดินโคลนธรรมดากันแน่…
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มตกใจ
เพราะสิ่งที่ทำให้เขาต้องเบิกตาโต ก็คือใบหน้าครึ่งซีกซ้ายของเยว่หงเซียง นางมีรอยแผลขนาดใหญ่ตัดผ่านอยู่ข้างแก้มเป็นรูปกากบาท บาดแผลตกสะเก็ดเป็นสีน้ำตาลเข้ม มองไกลๆ เหมือนมีตะขาบยักษ์สองตัวเกาะไขว้อยู่บนใบหน้าที่เคยงามงดตลอดเวลา
เยว่หงเซียงเสียโฉมแล้ว
เด็กสาวที่เคยมีหน้าตาสะสวย พลันกลับกลายเป็นยัยหน้าผีในชั่วข้ามคืน
หลินเป่ยเฉินตกอยู่ในอาการตะลึงลาน ยืนตัวแข็งค้างอยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
เยว่หงเซียงเห็นสีหน้าแววตาและท่าทางของหลินเป่ยเฉิน พลัน ดวงตาของนางก็ฉายแววแห่งความเศร้าขณะฝืนยิ้มกล่าวว่า “ข้าได้รับบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้ ยังไม่มีเวลาได้รักษาบาดแผล เพราะฉะนั้น…อย่าพูดถึงมันเลยเจ้าค่ะ บัดนี้ ศิษย์พี่หลินรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง เดี๋ยวข้าจะช่วยประคองท่านออกไปจากที่นี่เอง”
ยิ่งเด็กสาวฝืนยิ้ม รอยแผลที่พาดเป็นทางยาวบนใบหน้าก็ยิ่งบิดเบี้ยว ทำให้รูปโฉมของนางดูน่าเกลียดน่ากลัวมากกว่าเดิม
หลินเป่ยเฉินได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง
เขารับรู้ได้ถึงความเศร้าและความเจ็บปวดที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน หัวใจของเขาเหมือนถูกกำปั้นเหล็กบีบเค้นหนักหน่วง
ในเวลาเดียวกันนั้น สมองก็เริ่มขบคิดด้วยความว้าวุ่น
บาดแผลบนใบหน้าของเยว่หงเซียงเริ่มตกสะเก็ด หมายความว่าอย่างน้อยขณะนี้ ก็คงผ่านค่ำคืนแห่งความโกลาหลมาได้ 3 วันแล้ว
ตลอด 3 วันที่ผ่านมา หากเยว่หงเซียงใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับการช่วยเหลือเขาหลบหนี แล้วฉู่เหิน พานเว่ยหมิน ไป๋ชินหยุน และฮันปู้ฟู่หายไปไหนกันหมดเล่า?
“ตกลงในคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
เยว่หงเซียงลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตอบออกมาในที่สุด “ศัตรูของพวกเราในคืนนั้นมีกำลังเสริมคอยซุ่มอยู่ในความมืดเจ้าค่ะ อาจารย์พานหายตัวไป อาจารย์ฉู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าพาท่านหลบหนีออกมา ส่วนศิษย์พี่ฮันกับศิษย์น้องไป๋ก็แยกจากกันไม่ทราบชะตากรรม…”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
ความทรงจำเริ่มกลับคืนมาทีละเล็กทีละน้อย
เขาถูกเด็กหญิงหลิงเอ๋อร์ปักมีดแทงหัวใจ
นางลงมือด้วยตัวเอง
จึงไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะอะไรก่อนหน้านั้น เด็กหญิงถึงได้พยายามเข้าหาเขานัก
หลินเป่ยเฉินหลงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพราะความหล่อเหลาของตัวเอง
แต่ความจริงนั้น หลิงเอ๋อร์พยายามเข้ามาตีสนิทเขา ก็เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ เพื่อที่จะได้สังหารเขาในเวลาอันเหมาะสม
ทุกอย่างเป็นแผนการที่ถูกจัดวางไว้อย่างรัดกุม
“ข้าสลบไปนานแค่ไหน?”
หลินเป่ยเฉินถาม
เยว่หงเซียงตอบ “2 วันกับอีก 3 คืนเจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว
คิดไว้ไม่ผิดจริงๆ ด้วย
“พวกที่กำลังตามล่าเรามันเป็นใคร?” หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
เยว่หงเซียงตอบว่า “เป็นพวกโจวเฉิงเจ้าค่ะ ดูเหมือนเขาจะได้รับการสนับสนุนจากสมาคมนักล่าอสูรประจำหุบเขาชายแดนเหนือ”
“แล้วนี่เจ้าคอยแบกข้าหลบหนีพวกมันตลอด 3 วันเลยหรือ?”
เมื่อได้ยินคำถามของเด็กหนุ่ม เยว่หงเซียงก็พยักหน้า ไม่พูดคำใดออกมาอีก
หลินเป่ยเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง
บัดนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดขณะอยู่ในถ้ำใต้ดิน เยว่หงเซียงถึงร้องไห้ออกมาตอนที่เขาได้สติ
นางเป็นเพียงเด็กสาวอายุ 14 – 15 ปีเท่านั้น ต้องตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์อันชุลมุนวุ่นวาย อาจารย์สูญหาย พลัดพรากเพื่อนร่วมสถาบัน ใบหน้าได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง แต่นางก็ยังอุตส่าห์ข่มกลั้นความหวาดกลัวทั้งหมดนั้น แบกเขาขึ้นหลัง ตะเวนหาที่หลบซ่อนในป่าชายแดนเหนือด้วยความเจ็บปวดทรมาน
ทั้งๆ ที่ในสถานการณ์อย่างนี้ หากเยว่หงเซียงตัดสินใจโยนเขาทิ้งข้างทางและหลบหนีไปเพียงลำพัง หลินเป่ยเฉินก็จะไม่ถือโทษโกรธเคืองนางเลย นั่นเท่ากับว่าในเหตุการณ์ครั้งนี้ เยว่หงเซียงเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้อย่างแท้จริง
“ขอบใจเจ้ามากนะ”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาจากความรู้สึกของก้นบึ้งหัวใจ
เยว่หงเซียงเข้าใจดีว่าเขาซาบซึ้งในบุญคุณของนาง จึงส่ายหน้า กล่าวว่า “ถ้าข้าได้รับบาดเจ็บบ้าง ข้าเชื่อว่าศิษย์พี่หลินก็คงไม่ทอดทิ้งข้าเหมือนกัน”
หลินเป่ยเฉินไม่พูดอะไรอีกแล้ว
เยว่หงเซียงรีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว “ศิษย์พี่หลิน ที่นี่ไม่เหมาะให้พูดคุยกัน เรารีบออกเดินทาง หาที่ๆ เงียบสงบมากกว่านี้ดีกว่า ท่านจะได้รักษาบาดแผล หลังจากนั้น เราค่อยหาทางออกจากหุบเขาชายแดนเหนือกลับไปที่เมืองหยุนเมิ่ง มีแต่กลับถึงตัวเมืองแล้วเท่านั้น เราถึงจะปลอดภัย”
หลินเป่ยเฉินยิ้มเล็กน้อยขณะส่ายหน้า
“เจ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าข้าเป็นตัวฮีลของพวกเจ้านะ”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นมาเล็กน้อย
วงแหวนสีฟ้าพลันครอบคลุมลงไปบนร่างเยว่หงเซียง
“อ๊า…”
เด็กสาวส่งเสียงครางแผ่วเบา แก้มขาวนวลของใบหน้าซีกที่ไม่เสียโฉมแดงระเรื่อ
นางรู้สึกสบายตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
หลายวันที่ผ่านมา เพราะต้องคอยแบกร่างหลินเป่ยเฉินวิ่งหลบหนีผู้ไล่ล่า เยว่หงเซียงทั้งเจ็บแผลทั้งเหนื่อยล้าแสนสาหัส แต่บัดนี้ ความเหนื่อยล้าเหล่านั้นอันตรธานหายไปหมดสิ้นแล้ว
แม้แต่พลังลมปราณในร่างกายก็กลับคืนเต็มอัตรา
หลินเป่ยเฉินรีบจ้องมองไปที่ใบหน้าของเยว่หงเซียงอีกครั้ง
เมื่อได้รับการเยียวยาจากวงแหวนวารี เยว่หงเซียงก็หายเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายกลับมาสมบูรณ์แข็งแรง บาดแผลตามร่างกายสมานตัวหายดี ไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็นทิ้งเอาไว้ด้วยซ้ำ ทว่า บาดแผลตกสะเก็ดบนใบหน้าครึ่งซีกซ้ายของนางยังคงอยู่เช่นเดิม ซ้ำสะเก็ดของมันยังมีสีเข้มมากขึ้นอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินใจหายวูบ
เขารู้ดีว่าวงแหวนวารีไม่สามารถกำจัดแผลเป็นบนใบหน้าของนางได้อีกแล้ว เขารักษานางช้าเกินไป กว่าที่หลินเป่ยเฉินจะรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา บาดแผลบนใบหน้าของเยว่หงเซียงเริ่มสมานตัวเองเรียบร้อยแล้ว
เยว่หงเซียงยกมือขึ้นลูบคลำแก้มฝั่งซ้าย เมื่อสัมผัสได้ว่ารอยแผลเป็นยังคงอยู่ เด็กสาวก็นิ่งเงียบไปเลยน้อย ก่อนตัดใจพูดออกมาว่า “ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่ใช่คนที่มีหน้าตางดงามอันใดอยู่แล้ว…”
“ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงข้าก็ต้องหาทางรักษาหน้าเจ้าให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้” หลินเป่ยเฉินสัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เยว่หงเซียงพยักหน้ายิ้มเศร้า “ถ้าอย่างนั้นคงต้องฝากความหวังไว้ที่ศิษย์พี่หลินแล้ว ว่าแต่ว่า บัดนี้ศิษย์พี่หลินรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
เด็กสาวพยายามเปลี่ยนเรื่องพูดอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินลองเหยียดแขนเหยียดขาดูเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่นิดหน่อย แต่ช่างมันเถอะ…”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็นำวงแหวนวารีครอบคลุมตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ความเหนื่อยล้าสลายหายไป
ความเจ็บปวดเลือนหายไป
แม้แต่พลังลมปราณในร่างกายก็ฟื้นฟูกลับคืนมาเต็มอัตรา
หลินเป่ยเฉินแก้มัดสายรัดเสื้อคลุมออก จึงได้เห็นสายรัดสีขาวพันไว้ที่หน้าอกของเขาแทนผ้าพันแผล เมื่อลองพินิจดูใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่ามันเป็นสายรัดเอวจากเสื้อคลุมสตรี และบางส่วนก็เป็นเนื้อผ้าที่ฉีกออกมาห้ามเลือดให้กับเขา
เด็กหนุ่มหันหน้ามองไปที่เยว่หงเซียงโดยไม่รู้ตัว
นางมีใบหน้าแดงก่ำแล้ว
เมื่อหลินเป่ยเฉินแกะสายรัดที่พันแผลบนหน้าอกออก เขาก็เห็นว่าบาดแผลสมานตัวใกล้หายดี ขณะนี้ มันมีสภาพเป็นแนวเส้นสีชมพูเลือนลางเท่านั้น
เหนือบาดแผลมีผงรักษาสีทองถูกโรยเอาไว้เป็นชั้นหนาแน่น
หลินเป่ยเฉินรู้โดยไม่ต้องถามว่า เยว่หงเซียงอุทิศผงรักษาทั้งหมดที่นางมี มารักษาบาดแผลบนหน้าอกให้กับเขา เพราะฉะนั้น บาดแผลของเขาถึงใกล้หายดีแล้ว…นางไม่คิดเจียดผงรักษาไว้เยียวยาบาดแผลบนใบหน้าตัวเองสักนิด หากนางทำเช่นนั้น ข้างแก้มของนางก็คงไม่มีตะขาบยักษ์สองตัวรัดพันกันอยู่อย่างนี้แน่
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ใช้วงแหวนวารีรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองต่อไป
เพียงไม่นาน ร่างกายของเขาก็กลับมาสมบูรณ์ดีดังเดิม
“เสี่ยวจี้” เขาเรียกผู้ช่วยส่วนตัวในใจ
“เจ้าคะนายท่าน”
น้ำเสียงอ่อนหวานของหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้นตอบรับ
“ตอนนี้โทรศัพท์เหลือแบตอยู่เท่าไหร่?”
“เรียนนายท่าน เหลือแบตเตอรี่อยู่อีก 5% เท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ชาร์จโทรศัพท์ได้”
“ชาร์จโทรศัพท์เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“เปิดใช้งานแอปโคจรพลังลมปราณแบบเต็มอัตรา ส่วนแอปอื่นๆ ให้หยุดการทำงานเอาไว้ก่อน… “
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เมื่อมีแอปโคจรพลังลมปราณคอยทำงานอยู่ในพื้นหลัง หลินเป่ยเฉินไม่ต้องทำอะไร อาการของเขาก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองตามลำดับ
เด็กหนุ่มหันไปโยนวงแหวนวารีใส่เยว่หงเซียงอีกหลายรอบ
“อ๊า ข้าไม่เป็นไรแล้ว…ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ…อะ…อุ๊ย…อ๊า…” เยว่หงเซียงกัดริมฝีปากตัวเอง พยายามไม่ส่งเสียงร้องครางออกมา
เมื่อได้รับการเยียวยาจากวงแหวนวารีของเด็กหนุ่ม เยว่หงเซียงก็กลับมามีร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า พลังลมปราณในร่างกายหวนคืนเต็มอัตรา เสมือนได้พักผ่อนเต็มที่ นอนหลับเต็มอิ่ม
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้ากลุ่มคนดังขึ้นจากที่ห่างไกล
“แปลกแฮะ ไม่เจอร่องรอยของพวกมันริมน้ำเลย…”
“เราลองหาแถวนี้ดูอีกครั้งเถอะ”
“เฮ้ย พวกมันอยู่นั่น ข้าเห็นแล้ว ฮ่าฮ่า พวกเราล้อมมันเอาไว้ อย่าให้นางเด็กคนนี้หนีรอดไปได้อีก…”
คิดไม่ถึงเลยว่าในเวลาเพียงไม่นาน กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ออกไปตรวจค้นบริเวณริมแม่น้ำ จะกลับมาตามหาผู้คนที่บริเวณเดิมอีกครั้ง เนื่องจากพวกมันเดินหาอยู่หลายรอบก็ไม่พบเจอร่องรอยผู้หลบหนี เมื่อเดินกลับมาที่นี่ หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์มีสายตาดีมาก ถึงกับมองเห็นหลินเป่ยเฉินยืนพิงก้อนหินคุยอยู่กับเยว่หงเซียง จึงร้องตะโกนบอกพวกพ้องตั้งแต่ไกล
เป็นเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจที่ดังขึ้น!