บทที่ 166 หัวหน้าใหญ่
จะบอกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนลานหินก็คงไม่ผิดนัก
บนยอดเขาสุสานอินทรีมีอาณาบริเวณพื้นที่ราบทั้งหมดหลายสิบลี้ ตรงส่วนชายแดนรอบนอกปรากฏกำแพงหินธรรมชาติตั้งรายล้อม ลึกเข้าไปเล็กน้อยก็จะกลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกพืชพันธุ์นานาชนิด
ด้านในกำแพงหินนี้เองที่สมาคมนักล่าอสูรได้สร้างหมู่บ้านเล็กๆ ขึ้นมา เพียงพอสำหรับรองรับผู้คนได้ประมาณพันคน
กำแพงหินมีความสูงกว่า 4 จั้ง ยากที่จอมยุทธ์ทั่วไปจะไต่ข้ามเข้าไปได้
สองข้างของกำแพงหินเป็นหน้าผาสูงชัน
เพราะฉะนั้น บนกำแพงจึงไม่ต้องมีเวรยามคอยลาดตะเวน
กำแพงเมืองมีทางเข้าออกเพียงทางเดียว คือประตูเหล็กขนาดใหญ่ที่จะเปิดออกได้ ด้วยการชักรอกสายโซ่ทางซ้ายและทางขวา
หลินเป่ยเฉินกระโดดเข้าไปซ่อนตัวในพงหญ้าและคอยสังเกตการณ์อย่างระมัดระวัง
เด็กหนุ่มพบว่าถึงจะเป็นยามดึกสงัดแล้ว แต่ก็ยังมีคนผ่านเข้าออกประตูเมืองอย่างคึกคัก ทุกคนสวมใส่เครื่องแบบของนักล่าอสูรไม่ได้แตกต่างไปจากพวกของโจวเฉิง บางคนก็รับหน้าที่ขนส่งสินค้าอันตราย มีทั้งผู้ชายผู้หญิงขับขี่รถม้าเข้าออกอยู่ตลอดเวลา
การรักษาความปลอดภัยบริเวณประตูใหญ่ค่อนข้างหละหลวม
หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนมาใส่ชุดเครื่องแบบลายทางที่ถอดจากศพของโจวเฉิง แกล้งปลอมตัวเป็นนักล่าอสูรจากเขตชายแดนเหนือ ปะปนกับผู้คนเข้าไปในตัวเมืองได้อย่างง่ายดาย
ถนนหนทางทอดยาวเป็นเส้นตรง
สองข้างทางก่อสร้างด้วยอาคารหินที่มีความสูงแตกต่างกันไป
ผังเมืองจัดวางอย่างเป็นระบบระเบียบ
เมื่อเข้าสู่พื้นที่ภายในตัวเมืองแล้ว ก็จะพบกับโรงเตี๊ยม หอนางโลม โรงพนัน ตั้งอยู่สองข้างฝั่งถนน
ถึงเป็นยามดึกสงัด แต่กิจการโลกีย์เหล่านี้ ก็ยังคึกคักมีชีวิตชีวา
บรรดานักล่าอสูรจำนวนไม่น้อยถูกโยนออกมาจากโรงพนันเพราะเล่นเสียจนหมดตัว
นอกจากนั้น ก็ยังมีบรรดานักล่าอสูรที่เมามาย ยืนพิงกำแพงเมืองอาเจียนและปัสสาวะไหลราดด้วยสภาพที่น่าอนาถนัก
ทำให้ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นของความสกปรก
หลินเป่ยเฉินพบว่าตลอดเส้นทางมีการต่อสู้เกิดขึ้นเป็นระยะ มีคนถูกฆ่าตายเลือดไหลนองเต็มพื้นดิน ไม่มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองคอยมากำกับดูแล ซากศพจะถูกนำมาโยนทิ้งไว้บนถนน รอให้ผู้ที่รู้จักคนตายมานำซากศพไปจัดการ
ความวุ่นวาย
ความชั่วร้าย
นี่คือความรู้สึกแรกที่เด็กหนุ่มมีต่อเมืองเล็กๆ บนยอดเขาแห่งนี้
ในอากาศอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกผิดบาป
“พวกมันรู้ว่าอาจารย์ฉู่เป็นใครมาจากไหน ถ้าอาจารย์ถูกจับตัวมาจริงๆ พวกมันก็ต้องขังอาจารย์ไว้ในสถานที่ที่มีความสำคัญมากแน่ๆ ก่อนอื่น เราต้องไปสำรวจตามสถานที่สำคัญก่อน” หลังตัดสินใจได้แล้ว หลินเป่ยเฉินก็เดินไปตามถนนเพื่อสำรวจพื้นที่ภายในเมือง
ห่างออกไปไม่ไกล เขาเจอกับลานจัตุรัสขนาดเล็ก
มีกองไฟหลายสิบกองถูกก่อขึ้นมา
นักล่าอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังนั่งดื่มกินอยู่รอบกองไฟ ยังเดินเข้าไปไม่ถึงตัว ก็ได้กลิ่นสุราลอยมาตามลมแล้ว
บริเวณจัตุรัสแห่งนี้มีแท่นวางอาวุธอยู่เต็มไปหมด
อาวุธที่วางอยู่บนนั้นส่วนใหญ่คือกระบี่
เลยลานจัตุรัสออกไป เป็นประตูทางเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่ คฤหาสน์หลังนี้มีความสูงเท่ากับคน 20 คนยืนต่อตัวรวมกัน เพียงดูจากภายนอกก็รับรู้แล้วว่าพื้นที่ด้านในต้องซับซ้อนยิ่งกว่าเขาวงกตแน่ๆ
บริเวณสองข้างประตูทางเข้าคฤหาสน์ มีเสาหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน ที่น่ากลัวคือบนเสาหินนั้น มีศพมนุษย์แขวนอยู่เป็นจำนวนมาก
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ อาศัยแสงสว่างจากกองไฟหรี่ตามองซากศพเหล่านั้น นับดูได้สองเสาหินมีแขวนอยู่จำนวน 8 ศพ และเมื่อไม่พบร่องรอยของฉู่เหิน เด็กหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“จะไปหาที่ไหนดีวะเรา?”
หลินเป่ยเฉินคิดกับตัวเอง
ทันใดนั้น นักล่าอสูรกลุ่มหนึ่งที่กำลังกินดื่มอยู่ในลานจัตุรัส ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พูดจาเสียงดังโหวกเหวกว่า “ฮ่าฮ่า สาวๆ จากสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟสู้เก่งยิ่งกว่าม้าพยศเสียอีก โดยเฉพาะแม่นางน้อยที่มีอายุ 16 หรือ 17 ปีคนนั้น ให้ตายเถอะ…น่าเสียดายเหลือเกิน ข้ายังเล่นสนุกกับนางไม่หนำใจเลย ก็ต้องขายต่อให้ท่านหัวหน้าใหญ่ซะแล้ว ข้าไม่น่ามาเสียเวลาอยู่ในเมืองนี้นานเกินไปเลยจริงๆ”
ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งส่งเสียงหัวเราะออกมาเช่นกันว่า “เจ้ามันจะไปรู้อะไร ม้าพยศเช่นพวกนาง ยุ่งเกี่ยวมากเกินไปมันจะเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าเอง นางจะเล่นงานเจ้าตอนไหนก็ไม่รู้…ฮ่าฮ่า ถ้าเจ้าต้องการผู้หญิงละก็ เข้าไปใช้บริการที่หอนางโลมสิ ที่นั่นมีโฉมสะคราญทุกรูปแบบที่เจ้าต้องการ”
“ถูกต้อง แม่นางน้อยคนนั้น ถ้าโดนเจ้าทรมานต่ออีกสัก 2-3 วัน ร่างกายคงบอบช้ำ ไม่สามารถขายได้อีกแล้ว” ชายฉกรรจ์คนที่สามพูด พร้อมกับหัวเราะในลำคอ
“เออ ได้ข่าวว่ากลุ่มของพวกโจวเฉิงกำลังพยายามตามจับตัวลูกศิษย์หญิงคู่หนึ่งอยู่ใช่ไหม พวกนางเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง…แหม คิดแล้วน้ำลายไหลนัก” นักล่าอสูรกลุ่มนี้ไม่ได้มีเจตนาดี เมื่อได้ยินภาษาอันหยาบคายและเรื่องราวที่พวกมันพูดออกมา แววตาของหลินเป่ยเฉินก็เต็มไปด้วยประกายอำมหิต
สุดท้าย สมาชิกของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ ก็ต้องพบเจอชะตากรรมที่น่าสงสารเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินรับฟังข้อมูลต่อไป จึงได้ทราบว่าพวกนางถูกจับตัวไปขายเกือบหมดแล้ว
เด็กหนุ่มซ่อนตัวอยู่ในความมืด เริ่มต้นวางแผนการสิ่งที่จะทำต่อไป
ในจำนวนกลุ่มคนที่นั่งสังสรรค์กันอยู่รอบกองไฟ มีส่วนหนึ่งสวมใส่ชุดเกราะคุณภาพสูง ร่างกายกำยำ มีพลังคุกคามแผ่ออกมาจากลำตัว น่าจะเป็นเวรยามผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ ต้องรู้แน่ว่าฉู่เหินถูกจับตัวไปไว้ที่ไหน
หลินเป่ยเฉินนับจำนวนฝ่ายตรงข้ามด้วยความเร็วไว
เวรยามเฝ้าคฤหาสน์มีทั้งหมด 12 นาย ทุกคนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ ด้วยระดับฝีมือในตอนนี้ หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองสามารถกำจัดทั้ง 12 คนนั้นได้ในเวลาชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย
แต่ถ้าเขาทำแบบนั้น ฝ่ายศัตรูจะรู้ตัวทันที
หลินเป่ยเฉินเริ่มคิดหาหนทางที่จะสืบเสาะหาที่อยู่ของฉู่เหินโดยไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัว
ทันใดนั้น มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากด้านในคฤหาสน์
“ของขวัญสำหรับปีนี้ พวกเราได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ในเมื่อท่านพี่หวันเหนียนอยากจะเดินทางตอนกลางคืน ข้าก็คงห้ามไม่ได้” ชายชราร่างกายกำยำผู้มีผมสีเทา เดินนำออกมาเป็นคนแรกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กน้อย “เพียงแต่หวังว่าเมื่อท่านพี่พบเจออาจารย์ ช่วยบอกด้วยว่าข้าฝากความคิดถึงไปหา และข้าหวังว่าดินแดนแห่งนี้จะเปลี่ยนจากดินแดนแห่งความยากจน กลายเป็นดินแดนแห่งความร่ำรวยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ชายชราร่างเตี้ยผู้ใส่เสื้อคลุมลายทางเหมือนลูกแตงโมมีชีวิต ยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น “ไม่ต้องห่วงหรอก น้องอู๋จี คราวนี้เจ้าทำความดีความชอบใหญ่หลวง ข้าจะลืมเลือนได้อย่างไร? ข้าจะต้องหาทางพูดถึงความดีของเจ้าให้อาจารย์ได้รับฟังแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็คงต้องขอขอบคุณท่านพี่หวันเหนียนมากมายแล้ว” ชายชราผมเทาหัวเราะออกมาด้วยความเบิกบานใจ
รอบตัวชายชราทั้งสองคนนี้ มีชายฉกรรจ์ประมาณ 8 ถึง 9 คนยืนรักษาความปลอดภัย ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้มีพลังระดับปรมาจารย์ทั้งสิ้น
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วอยู่ในความมืด
“เสี่ยวจี้ ใช้แอปจำลองภาพ 4 มิติ สแกนภาพคนกลุ่มนี้เร็วเข้า”
เขาออกคำสั่งอยู่ในใจ
แอปพลิเคชั่นเริ่มต้นทำงานทันที
แล้วแสงสว่างที่มีแต่เพียงหลินเป่ยเฉินเท่านั้นมองเห็นได้ มันก็ได้สแกนไปทั่วร่างของกลุ่มคนทั้ง 11 คนนั้นอย่างรวดเร็ว
จังหวะนั้น เวรยามที่รับประทานอาหารอยู่ข้างกองไฟพลันลุกขึ้นยืน เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมเวรอีก 2 คน ที่พวกเขาพร้อมใจกันทำความเคารพด้วยความตื่นกลัว “คารวะท่านหัวหน้าใหญ่ขอรับ”
ชายชราผมสีเทาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงคำรามในลำคอ ไม่ตอบรับคำใดออกมาอีก
แล้วคนกลุ่มนั้นก็เดินออกจากคฤหาสน์ ตรงไปยังถนนที่ทอดนำออกสู่นอกตัวเมือง
นี่จะต้องเป็นการยกขบวนออกไปส่ง ‘ท่านพี่หวันเหนียน’ ออกนอกเมืองแน่นอน
ชายฉกรรจ์ผู้สวมชุดเกราะเวรยามทุกคนไม่กล้าทำตัวเหลวไหลอีกต่อไป พวกเขาเหลือคนไว้เฝ้าประตูคฤหาสน์เพียงสองคนเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือก็ติดตามกลุ่มของหัวหน้าใหญ่ เดินออกไปส่งแขกคนสำคัญ
“โอกาสนี้แหละ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากด้วยความลิงโลด
ชายชราผมเทาคนนั้นจะต้องเป็นหัวหน้าใหญ่ของสมาคมนักล่าอสูรประจำเขตชายแดนเหนือแน่นอน เขาเดินนำอยู่หน้าสุด คนอื่นๆ ต้องเดินตามหลัง ส่วน ‘ท่านพี่หวันเหนียน’ อะไรนั่น เป็นใครมาจากไหนเด็กหนุ่มยังไม่มีข้อมูล แต่ดูจากกิริยาท่าทางที่เต็มไปด้วยความเคารพนบนอบของหัวหน้าใหญ่ ย่อมหมายความว่าชายชราที่สวมเสื้อคลุมเหมือนชุดแตงโมต้องมีสถานะไม่ต่ำต้อยเด็ดขาด
เพียงพริบตาเดียว ก็แทบไม่เหลือใครเฝ้าประตูคฤหาสน์อีกแล้ว