บทที่ 168 หลินเป่ยเฉินผู้โหดร้ายอำมหิต
เมื่อชายฉกรรจ์ผู้รับหน้าที่นำทางเห็นดังนั้น หนังหัวก็ชายิบขึ้นมาทันที
เพราะเขาจำได้ดีว่าครั้งสุดท้ายที่อาจารย์มีอารมณ์ฉุนเฉียวขนาดนี้ ท่านถึงกับจำใครไม่ได้ด้วยซ้ำ ศิษย์พี่รองของเขาพูดขัดจังหวะตอนที่อาจารย์กำลังสอนอยู่เพียงนิดเดียว ก็ถูกจับตัวไปทดสอบยาพิษ ไม่มีคำว่าศิษย์อาจารย์ให้จดจำอีกต่อไป
ดังนั้น ชายฉกรรจ์ชุดดำจึงไม่กล้าสบตามองชายชรา ทำได้เพียงหันหน้ากลับมามองหลินเป่ยเฉิน แล้วกล่าวว่า “เจ้ามาทำธุระอะไร จงเข้ามาบอกอาจารย์เสีย”
หลินเป่ยเฉินขยับมายืนข้างกายชายชราชุดแดง แล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยคาราวะนายท่านสี่”
“ช่างมันเถอะ เจ้าเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” ชายชราหันมามองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาอันแดงก่ำ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นดวงตาของงูพิษคู่หนึ่ง หลินเป่ยเฉินถูกสำรวจมองขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายรอบ เหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะแยกอวัยวะส่วนไหนของเขาออกก่อนดี
“ท่านหัวหน้าใหญ่สั่งให้ข้าน้อยมาเอาของขอรับ”
หลินเป่ยเฉินก้มหน้าก้มตารายงาน
“หา? ถ้าพี่ใหญ่อยากได้ของหรือ งั้นทำไมเขาไม่มาเอาเองเล่า?” ชายชราท่าทางวิกลจริตมีสีหน้าไม่ไว้ใจ ก่อนจะแผ่รังสีอำมหิตออกจากร่างกาย
หลินเป่ยเฉินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา กล่าวว่า “สิ่งที่ท่านหัวหน้าใหญ่อยากได้ ก็คือตัวอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามแห่งเมืองหยุนเมิ่ง เขาถูกส่งตัวมาทดสอบยาพิษ เพราะฉะนั้น…”
พูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเด็กหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไป เขาจ้องมองไปที่ด้านหลังชายชราชุดแดงด้วยสายตาตื่นตระหนก “ทะ…ท่านหัวหน้าใหญ่ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรกันขอรับ?”
เมื่อชายชราชุดแดงหันกลับไปมอง ก็ต้องตกอยู่ในอาการตะลึงลานเช่นกัน
เพราะเขาพบว่าผู้เป็นหัวหน้าใหญ่กำลังยืนอยู่ด้านหลังจริงๆ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ท่านหัวหน้าใหญ่มาตั้งแต่เมื่อไหร่?
ทันใดนั้นเอง หลินเป่ยเฉินก็ยุติปัญหาทุกอย่าง
กระบี่โดรานถูกดาวน์โหลดออกมา
คมกระบี่สาดประกาย
หลินเป่ยเฉินตัดศีรษะชายชราวิกลจริตขาดสะบั้น
เพียงกระบวนท่าเดียว
ชายชราก็กลายเป็นศพไร้หัว
นายท่านสี่ผู้ชำนาญเรื่องการใช้ยาพิษ ไม่มีโอกาสได้ยกมือขึ้นป้องกันด้วยซ้ำ
เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอเหมือนน้ำพุ
ในเวลาเดียวกันนี้ ร่างจำลอง 4 มิติของหัวหน้าใหญ่ก็ค่อยๆ จางหายไป
ชายฉกรรจ์ชุดดำผู้รับหน้าที่นำทางและลูกศิษย์อีก 3 คนของนายท่านสี่พากันยืนอ้าปากค้าง
หลินเป่ยเฉินไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งตั้งสติ เขาใช้วิชาตัวเบาย่องหาโฉมสะคราญ ปรับเปลี่ยนตำแหน่งของตนเองอย่างรวดเร็ว และใช้กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตเล่นงานชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นตกตายไปทีละคน รวมถึงชายฉกรรจ์ผู้นำทางเข้ามาที่นี่ด้วยเช่นกัน
ตอนที่ชายฉกรรจ์ทุกคนเสียชีวิต ศพไร้หัวของนายท่านสี่เพิ่งจะล้มลงกระแทกพื้นดิน มือเท้าชักกระตุกไม่หยุดยั้ง
“หัวขาดแล้วยังไม่ตายอีกเหรอวะ?”
หลินเป่ยเฉินนำกระบี่ไปจ่อที่หัวใจของศพ ก่อนแทงทะลุลงไปเพื่อทำให้แน่ใจว่านายท่านสี่เสียชีวิตแล้วจริงๆ
เมื่อเห็นซากศพไม่กระดุกกระดิกแล้ว หลินเป่ยเฉินถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็เดินไปสำรวจศพของชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่อีก 4 คน และจัดการใช้กระบี่แทงซ้ำไปที่หัวใจของแต่ละคน เพื่อทำให้แน่ใจว่าชายฉกรรจ์กลุ่มนี้หมดลมหายใจแล้วจริงๆ ไม่ได้แกล้งตายตบตาเขา
สุดท้าย ก็เหลือลูกศิษย์ของชายชราเพียงหนึ่งคนที่น่าจะมีอายุน้อยที่สุด อยู่ในสภาพร่อแร่ปางตาย แต่ยังไม่เสียชีวิต
หลินเป่ยเฉินตั้งใจจะยังไม่สังหารฝ่ายตรงข้ามตอนนี้
เด็กหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งปิดปากชายฉกรรจ์ จากนั้นจึงดาวน์โหลดมีดเจิ้งอี้มาแทงลงไปที่ต้นขาของอีกฝ่าย
“อื้อ…” ชายฉกรรจ์พลันได้สติฟื้นขึ้นมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ มือและเท้าชักกระตุก พยายามดิ้นรน พยายามส่งเสียงร้องตะโกน แต่เพราะว่าหลินเป่ยเฉินใช้มือปิดปากเขาอยู่ ชายฉกรรจ์จึงทำได้เพียงส่งเสียงคำรามอยู่ในลำคอเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินใช้สันมีดลูบไปที่ใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ห้ามส่งเสียง เมื่อข้าถามคำถาม เจ้าต้องตอบ หากกล้าส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ข้าจะส่งเจ้าตามลงไปรับใช้อาจารย์ในขุมนรก”
ชายฉกรรจ์ผู้น่าสงสารทั้งบาดเจ็บทั้งตื่นกลัว รีบพยักหน้ารับคำ ไม่กล้าส่งเสียงออกมาอีกแล้ว
“ข้าขอถามเจ้า อาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่ถูกส่งตัวมาก่อนหน้านี้? บัดนี้เป็นหรือตาย?”
เด็กหนุ่มกระซิบถามเสียงแผ่วเบา
“ข้า…” ชายฉกรรจ์อ้าปากส่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวด
แต่เมื่อเห็นสายตาดุดันของหลินเป่ยเฉิน เขาก็รีบตอบทันที “ข้ารู้ว่าท่านกำลังพูดถึงผู้ใด…. บุคคลผู้นั้นตอนที่ถูกส่งตัวมา กระดูกแขนของเขาแตกแหลกละเอียดทั้งสองข้าง จุดก่อกำเนิดลมปราณได้รับความเสียหายรุนแรง…อาจารย์…พยายามจะทดสอบตัวยาบางอย่างกับเขา…แต่ก็ล้มเหลว…ข้าจึงไม่ทราบว่าตอนนี้เขาเป็นหรือตาย…แต่เขาคงอยู่ในกระท่อมไม้หลังนั้นนั่นแหละ”
ชายฉกรรจ์ยกนิ้วมืออันสั่นเทาชี้ตรงไปที่กระท่อมไม้ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังพวกเขา
หลินเป่ยเฉินถามว่า “ในกระท่อมมีกับดักหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์ตัวสั่นเทา ตอบว่า “ไม่มี…ที่นี่เป็นสถานที่ทดสอบยาพิษของอาจารย์ นอกจากลูกศิษย์แล้ว ก็ไม่ได้อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาอีก เพราะฉะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องติดตั้งกับดัก ไม่เหมือนถ้ำที่อยู่ด้านนอก ภายในถ้ำเต็มไปด้วยกลไกและยาพิษมากมาย น้องชาย ข้ารู้อะไรข้าก็พูดไปหมดแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ…ไว้ชีวิตข้าด้วย”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้า พูดโดยไม่มีความรู้สึกสงสารสักนิดว่า “ยังไงซะ เจ้าก็ต้องลงไปสมทบกับอาจารย์ในนรกอยู่ดี คนอื่นลงสู่ปรภพกันหมดแล้ว ถ้าเจ้าไม่ตามลงไปด้วย พวกเขาคงคิดถึงเจ้าตายชัก”
พูดจบ คมกระบี่ก็ตัดศีรษะชายฉกรรจ์ขาดสะบั้น
ไม่ใช่ว่าหลินเป่ยเฉินจะเป็นคนใจคออำมหิตกระไรปานนั้น
แต่สถานการณ์ตอนนี้อันตรายใหญ่หลวง ถ้าเขาไม่ระมัดระวังตัว อาจต้องเป็นฝ่ายเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ
ที่สำคัญก็คือ สมาคมนักล่าอสูรประจำชายแดนเหนือ มีแต่พวกขยะสังคม ถ้ำหมื่นพิษก็เป็นสถานที่เอาไว้ใช้ทดลองยาพิษ เมื่อผู้คนถูกพาตัวมาที่นี่ ก็ไม่เคยมีใครได้รอดชีวิตกลับออกไปอีกเลย
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจะไม่ฆ่าก็ไม่ได้แล้ว
เด็กหนุ่มเดินถือกระบี่ตรงไปที่กระท่อมไม้
เขาเปิดประตูก้าวเข้าไปด้านใน
แสงดาวส่องสลัว ในกระท่อมมีพื้นที่ไม่เล็กไม่แคบ
ผนังทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยชั้นวางสิ่งของ มีขวดแก้วทั้งเล็กทั้งใหญ่วางอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน บางขวดเป็นลักษณะโปร่งใสก็จะสามารถเห็นได้ว่าด้านในดองอวัยวะของมนุษย์เอาไว้หลายส่วน เพียงกวาดตามองเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกหนังหัวชายิบขึ้นมาทันที
ตรงกลางกระท่อม ตั้งไว้ด้วยถังไม้ขนาดเท่าตัวคนแบบที่เขาเห็นตั้งเรียงรายอยู่ด้านนอกถังหนึ่ง
ได้กลิ่นสุราโชยออกมาจากถังไม้
หลินเป่ยเฉินลองเข้าไปพินิจพิจารณาดูใกล้ๆ ก็พบว่าภายในถัง มีใครคนหนึ่งถูกจับแช่น้ำ มีเพียงส่วนใบหน้าเท่านั้นที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา
เด็กหนุ่มรีบดึงตัวคนผู้นั้นขึ้นมาจากถังน้ำทันที
“อาจารย์ฉู่…”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความเศร้า
ผู้ที่ถูกจับลงไปนอนแช่อยู่ในถังสุราก็คือฉู่เหิน
สภาพร่างกายของชายชราในขณะนี้ บอกชัดว่าเขาผ่านการทรมานมาอย่างหนัก แขนทั้งสองข้างถูกบิดเบี้ยวผิดรูปทรง จุดก่อกำเนิดลมปราณได้รับบาดเจ็บรุนแรง ร่างกายบอบช้ำ ผิวหนังเต็มไปด้วยบาดแผลที่กัดกินลึกลงไปจนเห็นกระดูกบางส่วน
เมื่อนำตัวอาจารย์ฉู่ขึ้นมาจากถังน้ำได้เรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็จัดการจับดูชีพจร จึงได้แน่ใจว่าชายชรายังไม่เสียชีวิต
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความลิงโลด
อย่างน้อยอาจารย์ฉู่ก็ยังไม่ตาย
“อาจารย์ฉู่ อดทนก่อนนะขอรับ ข้าน้อยจะต้องช่วยท่านให้ได้แน่นอน”
หลินเป่ยเฉินใช้วงแหวนวารีครอบคลุมลงไปที่ร่างกายของฉู่เหิน
บาดแผลบนร่างกายอาจารย์ฉู่ค่อยๆ สมานตัวอย่างเชื่องช้า น่าจะรักษาได้ไม่มีปัญหา
แต่ทว่ากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากแขนทั้งสองข้างที่กระดูกแตกละเอียดนั้นเลย
โชคดีที่ชีพจรเต้นเป็นจังหวะมั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ
หลินเป่ยเฉินยังคงใช้วงแหวนวารีรักษาอาจารย์ต่อไป
จนกระทั่ง…
“อะเฮื้อ…”
ฉู่เหินอ้าปากสำลักน้ำออกมาคำใหญ่ เริ่มขยับเขยื้อนร่างกายได้เล็กน้อย
รอยแผลเป็นที่อยู่ตามร่างกายก็เริ่มจางหายไปแล้วเช่นกัน
ทว่า ถึงจะใช้วงแหวนวารีครอบคลุมร่างกายอย่างต่อเนื่อง แต่อาการบาดเจ็บของฉู่เหินก็ยังไม่ได้ดีขึ้นจากเดิมสักเท่าไหร่ นั่นแสดงให้เห็นว่าคราวนี้ชายชราได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วจริงๆ
“อาจารย์ฉู่ ได้ยินข้าไหมขอรับ? นี่ข้าเอง ข้าหลินเป่ยเฉิน…”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
ฉู่เหินไม่ตอบอะไรกลับมาสักคำ
แต่หลินเป่ยเฉินรับรู้ได้ว่าฉู่เหินรู้สึกตัวแล้ว
เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาใช้วงแหวนวารีรักษาอาจารย์ชราไม่หยุดยั้ง
แต่ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็พบว่าต่อให้วงแหวนวารีซ้อนทับกันจนกลายเป็นวงแหวนสีเขียวอยู่เหนือศีรษะของฉู่เหิน อาการบาดเจ็บของชายชราก็ไม่สามารถเยียวยาได้อีกแล้ว
อย่าบอกนะว่า…ชายชราอาการหนักเกินไป จนเยียวยาไม่ได้?
เด็กหนุ่มใจหายวูบ
“แค่กแค่ก…”
แต่ทันใดนั้น ฉู่เหินส่งเสียงไอ ก่อนพูดออกมาในที่สุด “ละ…หลินเป่ยเฉิน…เจ้าลูกเต่า…เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร…แล้วที่นี่คือที่ไหนกัน?”