บทที่ 16 ข้าชอบปั่นประสาทคนแบบเจ้าซะด้วยสิ
ตามกฎหมายของจักรวรรดิเป่ยไห่ หากใครลงนามในสัญญาทาสแล้ว ทั้งชีวิตและความตายของผู้ลงนามจะตกอยู่ในกำมือของผู้ร่างสัญญาแบบเบ็ดเสร็จ คนที่ต้องเป็นทาสนั้นไม่มีเกียรติใด ๆ ทั้งยังไม่ผิดกฎหมายหากผู้ร่างสัญญาอยากจะฉีกร่างทาสเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนให้สุนัขรับประทาน นี่ยังไม่รวมถึงการทำร้ายและทุบตีที่เกิดขึ้นได้ในทุกวันอีกด้วย
อู๋เสี่ยวฟางนั้นช่างเต็มไปด้วยจุดประสงค์ชั่วร้ายจริง ๆ
แต่หลินเป่ยเฉินมีโทรศัพท์วิเศษที่หากเขาใช้งานมันได้อย่างถูกต้องละก็ คงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับการเอาชนะการสอบกลางภาค
เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นครุ่นคิด ทั้งที่ในใจเขามีคำตอบให้กับตนเองเรียบร้อยแล้ว
และเมื่อพ่อบ้านหวังที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ ชายชราก็รีบกระตุกชายเสื้อของหลินเป่ยเฉินและส่ายหัวก่อนกระซิบเบา ๆ ว่า “นายน้อย…ท่านจะยืมเงินนั่นไม่ได้นะ”
และเมื่อเห็นดังนั้น อู๋เสี่ยวฟางก็ยิ้มออกมา
“หลินเป่ยเฉิน…ในวันนี้ เจ้าสามารถเอาชนะเฝิงหลุนซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 3 ได้อย่างสบาย ๆ นี่แสดงว่าเจ้าได้ซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ภายใน ข้าคิดว่าเจ้าอาจได้อันดับที่ดี ๆ ในการประลองยังได้เลยนะ ยังมีผู้คนอีกมากที่อยากจะฆ่าเจ้ารออยู่ข้างนอก สำหรับเจ้าแล้ว ที่เดียวที่ปลอดภัยก็คือภายในสถานศึกษานี่ไงล่ะ”
“แต่ตอนนี้เจ้าไม่มีแม้แต่เงินจะซื้ออาหารกิน เดี๋ยวอีกหน่อย…อาจยังไม่ทันจะได้เข้าประลองด้วยซ้ำ มีหวังเจ้าต้องได้เป็นลมเพราะความหิวแน่ ๆ แล้วแบบนั้นเจ้าจะเอาชนะคนอื่นได้ยังไง”
“ยังไงซะ เจ้าก็จะต้องตายอยู่แล้ว เจ้าน่าจะลองคิดเรื่องข้อเสนอของข้าดูนะ แบบนั้นเจ้าอาจยังพอมีโอกาสบ้าง”
“ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ในฐานะมนุษย์ เจ้ายังสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ได้เสมอ”
“เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ หลินเป่ยเฉิน”
หลังจากพูดประโยคทั้งหมดรวดเดียวจบ อู๋เสี่ยวฟางก็ยิ้มและนิ่งเพื่อรอคำตอบ
เขานั้นแสนจะมั่นใจในสำบัดสำนวนของตนเอง
และทำให้ยิ่งมั่นใจกับแผนการของตนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
เพราะในที่สุดแผนการนี้ก็เป็นไปตามที่เขาคิดไว้
ต่อให้หลินเป่ยเฉินจะมองเจตนาของอู๋เสี่ยวฟางออก แต่เขาก็ยังตัดสินใจจะเข้าไปติดกับ
เด็กหนุ่มไม่มีทางเลือกอีกแล้ว
หลังแสร้งทำเป็นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลินเป่ยเฉินก็ตีหน้าสิ้นหวัง
“อู๋เสี่ยวฟาง เจ้าลูกเต่าเอ๊ย นี่เจ้าคิดจะช่วยข้าจริง ๆ งั้นหรือ เจ้าน่ะสร้างกับดักมาให้ข้าเข้าไปติดชัด ๆ นี่เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือยังไง คิดว่าข้าจะไม่เห็นกลอุบายง่าย ๆ ของเจ้ารึ นี่เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว คิดว่าข้าจะยอมรับเงื่อนไขป่าเถื่อนของเจ้าเพื่อให้ได้ยืมเงินหรือยังไงกัน” เขาพูดขึ้นด้วยความโกรธแค้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พ่อบ้านหวังก็หัวเราะออกมาอย่างโล่งใจที่ในที่สุดนายน้อยของเขาก็ฉลาดขึ้นมาบ้าง
แต่จังหวะนั้นเอง หลินเป่ยเฉินก็เปลี่ยนน้ำเสียงและพูดออกมาเสียงดัง “และใช่…เจ้าคิดถูก ข้าจะยืมเงินของเจ้า!”
อู๋เสี่ยวฟางถึงกับผงะ
คำพูดจากคนงี่เง่าแบบนั้นมันช่างเข้าใจยากจริง ๆ
คนธรรมดาทั่วไปคงไม่มีทางเข้าใจความคิดของเจ้าโง่นี่ได้แน่
พ่อบ้านหวังพยายามจะหยุดผู้เป็นนายน้อย แต่หลินเป่ยเฉินเตะเขาออกไปให้พ้นทาง และยังคงทำตัวเป็นไอ้เจ้าแกะดำโง่ ๆ เช่นเดิม แสร้งทำเป็นโกรธและก่นด่าออกมา “เจ้าเฒ่าสวะ หลีกไปให้พ้นทางข้า อย่าเข้ามาขวางเชียวนะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ก็มาลงนามในสัญญานี่เถอะ”
อู๋เสี่ยวฟางหยิบร่างสัญญาออกมา
และเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างลงชื่อในเอกสารเรียบร้อย สัญญาก็ถือว่ามีผลในทันที และถือว่าถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิทุกประการ
หลังจากนั้น อู๋เสี่ยวฟางก็ควัก 20 เหรียญทองคำออกมา โยนไปให้หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยอมรับมันอย่างไม่ลังเล
“เอาล่ะ ก็…มีความสุขกับช่วงสุดท้ายในชีวิตของเจ้าแล้วกันนะ หลินเป่ยเฉิน”
เมื่อสัญญาเสร็จสมบูรณ์ อู๋เสี่ยวฟางก็เลิกเสแสร้งทันที
เขามองหลินเป่ยเฉินอย่างสมเพชและพูดต่ออย่างช้า ๆ “เจ้ารู้ว่านี่เป็นอุบาย แต่เจ้าก็กระโดดใส่แบบไม่ลังเล ไม่รู้ว่าข้าจะชื่นชมในความกล้าของเจ้า หรือควรจะด่าเจ้าว่าเป็นตัวโง่งมดี”
หลินเป่ยเฉินเขย่าเหรียญทองในมือของเขาก่อนจะยิ้มกว้างขึ้น “เจ้าสารเลวเอ๊ย นี่เจ้าคิดว่าข้าจะแพ้จริง ๆ งั้นเหรอ?”
“คิดว่ายังไงล่ะ?” อู๋เสี่ยวฟางยิ้มด้วยความภาคภูมิ
“ข้าคิดว่าเจ้าเป็น 1 ใน 3 ตัวเต็งของระดับชั้นไม่ใช่หรือไง หืม? ในการประลองปีที่แล้ว เจ้าได้อันดับ 1 มาเลยไม่ใช่หรือไง” หลินเป่ยเฉินถาม
“ฮะฮ่า…ในการประลองปีที่แล้ว ข้าก็แค่เล่น ๆ ไปอย่างนั้นเอง แต่ข้าดันได้ที่ 1 มาได้ยังไงก็ไม่รู้”
อู๋เสี่ยวฟางยักไหล่
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ เอาเถอะ เจ้าน่ะรู้วิธีการเสแสร้งจริง ๆ สินะ แต่ข้ากลับชอบปั่นประสาทคนแบบเจ้าซะด้วยสิ”
หลินเป่ยเฉินนั้นมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยแววตาเย่อหยิ่งแสนสุขก่อนจะหัวเราะและกล่าวขึ้นว่า “ฮ่า ๆ การประลองจะเริ่มขึ้นในอีกสองวันแล้ว เดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็นว่าตัวเองน่ะโง่แค่ไหน และข้าหวังว่าเจ้าจะยังสามารถโอหังและหัวเราะอย่างมีความสุขได้เท่าวันนี้”
อู๋เสี่ยวฟางกล่าวว่า “ปั่นประสาทข้างั้นหรือ…ได้…ข้าจะรอดูแล้วกัน”
เรียบร้อยดีแล้ว เด็กหนุ่มก็หันหลังกลับเดินจากไป
“โธ่…หลินเป่ยเฉิน เจ้าไม่น่าเซ็นสัญญานั่นเลย”
มู่ซินเยว่โผล่ออกมาก่อนจะเข้ามาเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาแสดงความสงสาร ท่ามกลางบรรดาศิษย์ทั้งหลาย และกล่าวต่อว่า “อย่าว่าแต่อู๋เสี่ยวฟางเลย เจ้าไม่มีปัญญาแม้แต่จะเอาชนะ อู่สี่ ซือซินหลิน หรือเยว่หงเซียงด้วยซ้ำ”
“เทพธิดานี่ช่างสวยและยังอ่อนโยนจริง ๆ ”
เหล่าศิษย์มากมายต่างเห็นสิ่งนี้ พวกเขาอดที่จะรู้สึกชื่นชมนางอยู่ลึก ๆ ในใจไม่ได้
หรือว่าหมอนั่นจะร่วมมือกับยัยคนนี้?
หลินเป่ยเฉินมองตามหลังอู๋เสี่ยวฟางไปอย่างครุ่นคิด
“หัดทำตัวเป็นคนงามมีสมองเสียบ้างเถอะ เอ๊ะ…ลืมไปเลยว่าเจ้าไม่มี”
และเขาก็ชูนิ้วที่แสนหยาบคายนั่นใส่หน้าเด็กสาว
ก่อนที่มู่ซินเยว่จะตอบโต้อะไร หลินเป่ยเฉินก็รีบวิ่งเข้าไปในโรงอาหารกับหวังจงที่แสนโศกเศร้า และเริ่มสวาปามอาหารอย่างบ้าคลั่ง
มู่ซินเยว่ได้แต่ยืนตกตะลึง
ครึ่งชั่วยามต่อมา นายน้อยและพ่อบ้านประจำตัวของเขาก็เดินมายืนคุยกันอยู่ริมกำแพง
“นายน้อย…ท่านไม่น่า…เอิ้ก…ไม่น่าขายตัวเองไปแบบนั้นเลย ไอ้…ไอ้ความคิดในการใช้เงินพวกนี้มัน…เอิ้ก…ทำให้ข้าไม่อยากอาหารแล้ว” พ่อบ้านหวังกล่าวขึ้นในขณะที่กำลังเรอไปด้วย
“ตาเฒ่าเอ๊ย ก็เจ้าเพิ่งกินขาแกะทั้งขาไปนั่นไง แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่อยากอาหารอีกหรือ”
หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดไม่ออก
“ข้าน่ะเปลี่ยนความโกรธและความผิดหวังเป็นความหิวต่างหากเล่า…เอิ้ก”
“ใครมันจะไปเชื่อเจ้าล่ะ เจ้าคงมีความสุขมาก และภาวนาให้ข้าลงนามในสัญญาอยู่แล้วต่างหาก”
“นายน้อย ทำไมท่านถึงมองข้าในแง่ร้ายเช่นนั้น จง ในชื่อข้าหมายถึงจงรักภักดีเชียวนะ และข้าก็แสนจะเลื่องชื่อในด้านนั้นเสียด้วย”
“อย่าพูดจาไร้สาระเลย เอา 20 เหรียญเงินนี่ไป แล้วหาซื้อกระโจมมาซักหลัง แปรงสีฟัน แล้วก็ไอ้พวกของใช้จิปาถะนั่นซะด้วย วันนี้เราจะตั้งกระโจมมันในสถานศึกษานี้นี่แหละ”
“ได้ขอรับนายน้อย”
พ่อบ้านชราจากไปอย่างมีความสุข
หลินเป่ยเฉินไม่ลังเลที่จะหยิบเหรียญทองออกมา แล้วชาร์ตแบตเตอรี่โทรศัพท์นั่นเสีย
และเมื่อเห็นแบตเตอรี่เต็ม 100% เขาก็รู้สึกปลอดภัยเป็นครั้งแรก
เด็กหนุ่มเปิดแอปพลิเคชันที่มีทั้ง 2 แอปขึ้นมา ทั้งแอปพลิเคชันกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาต และแอปพลิเคชันการหลอมรวมพลังลมปราณระดับกลาง ก่อนจะปล่อยให้พวกมันทั้ง 2 แอปทำงานไปเรื่อย ๆ
ในตอนนี้ ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว
ในช่วงบ่าย มี 2 คาบเรียนด้วยกัน
วิชาแรกคือวิชาพืชสมุนไพรและการปรุงยา และอีกวิชาคือวิชาการสร้างม่านพลัง
ซึ่งล้วนแต่เป็นวิชาทฤษฎีทั้งคู่
แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินไม่มีทางตั้งใจเรียนในคาบเป็นแน่
เขานั่งอัดวิดีโอการสอนทั้ง 2 วิชาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสอบภาคทฤษฎีที่กำลังจะเริ่มขึ้นพรุ่งนี้
เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายการสอบก็มาถึง
การสอบในวันแรก เป็นการทดสอบความรู้ภาคทฤษฎีของสถานศึกษาทุกแห่งในเมืองหยุนเมิ่ง
และสิ่งที่เรียกว่าการสอบความรู้ภาคทฤษฎีนั้น เหล่าศิษย์จะได้รับข้อสอบชุดเดียวกันและคำถามแบบเดียวกันทั้งหมด เช่นเดียวกับกฎกติกาในการสอบที่เป็นแบบเดียวกันทุกสถาบัน